แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

วันสมโภชแม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์
วิวรณ์ 11:19, 12:1-6, 10; 1 โครินธ์ 15:20-20; ลูกา 1:39-56

บทรำพึงที่ 1

สัญลักษณ์ของการได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ของแม่พระ
การได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ของพระนางมารีย์ เป็นคำสัญญาว่าเราจะได้อยู่กับพระนางในสวรรค์สักวันหนึ่ง ทั้งร่างกาย และวิญญาณ

    ในเมืองเล็ก ๆ บางแห่งในประเทศอิตาลี ประชาชนจัดฉลองวันแม่พระได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์กันอย่างเรียบง่าย แทบจะเหมือนการฉลองของเด็ก ๆ

    การฉลองเริ่มต้นมิใช่ในวัด แต่บนถนนสายหลักของเมือง เขาจัดให้มีขบวนแห่สองขบวน ขบวนแรกเริ่มต้นที่ชานเมือง และเดินแห่มาตามถนนสายหลักไปยังจุดศูนย์กลางของเมือง ประชาชนในขบวนแห่นี้แบกรูปปั้นของพระนางมารีย์

    ขบวนแห่นี้หมายถึงพระนางมารีย์กำลังเสด็จขึ้นสู่สวรรค์หลังจากชีวิตบนโลกนี้ของพระนางสิ้นสุดลงแล้ว

    ขบวนแห่ขบวนที่สองเริ่มต้นจากชานเมืองอีกเช่นกัน แต่มาจากอีกฟากหนึ่งของเมือง และเดินแห่มาตามถนนสายหลักไปสู่ศูนย์กลางของเมืองเช่นกัน ประชาชนในขบวนแห่นี้แบกรูปปั้นของพระเยซูเจ้า

    ขบวนแห่นี้หมายถึงพระเยซูเจ้ากำลังเสด็จไปพบพระมารดาของพระองค์ขณะที่พระนางมาถึงสวรรค์

    ช่วงเวลาสำคัญของพิธีฉลองมาถึงเมื่อสองขบวนแห่มาพบกันภายใต้ซุ้มที่สร้างขึ้นด้วยกิ่งไม้และดอกไม้ที่ใจกลางเมือง เมื่อสองขบวนแห่มาพบกัน ทั้งสองขบวนจะหยุดเดิน พิธีต่อจากนั้นดูเรียบง่ายเหมือนการฉลองของเด็ก ๆ มากที่สุด เขาจับให้รูปปั้นทั้งสองรูปโค้งคำนับให้กันสามครั้ง การโค้งคำนับนี้เป็นสัญลักษณ์ว่าพระเยซูเจ้าทรงต้อนรับพระมารดาของพระองค์ที่ประตูสวรรค์

    เมื่อจบพิธีคำนับแล้ว ประชาชนจะแบกรูปปั้นทั้งสองเคียงข้างกัน รวมเป็นขบวนเดียวกันแห่เข้าไปในวัด เป็นสัญลักษณ์ว่าพระเยซูเจ้าทรงนำพระมารดาของพระองค์ไปยังบัลลังก์ หรือสถานที่ซึ่งจัดไว้เพื่อให้เกียรติพระนางในสวรรค์

    เมื่อขบวนแห่นี้เข้ามาภายในวัด ประชาชนจะตั้งรูปปั้นทั้งสองไว้ด้วยกันบนพระแท่น และชาวเมืองจะเริ่มพิธีบูชาขอบพระคุณฉลองวันแม่พระได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์

    การเฉลิมฉลองแบบเรียบง่ายนี้ อธิบายความจริงที่เราฉลองกันในวันนี้ ความจริงข้อนี้ คือ เมื่อชีวิตบนโลกของพระนางมารีย์สิ้นสุดลง ร่างกายของพระนางได้รับการยกขึ้นสวรรค์

    เมื่อมองในเชิงเทววิทยา วันสมโภชแม่พระได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์บอกเราว่าพระนางมารีย์ประทับอยู่ในสวรรค์ทั้งวิญญาณและร่างกาย เพราะพระนางไม่ได้ทำบาปเลยตลอดชีวิต ร่างกายของพระนางจึงไม่เน่าเปื่อย เช่นเดียวกับพระกายของพระเยซูเจ้า ร่างกายของพระนางออกจากสภาวะโลก และเข้าสู่สภาวะสวรรค์โดยตรง

    เมื่อมองในเชิงปฏิบัติ วันสมโภชแม่พระได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ เตือนใจเราว่าวันหนึ่งเราก็จะอยู่ในสวรรค์ทั้งวิญญาณและร่างกายเหมือนกัน

    บางครั้งเราลืมไปว่าเมื่อเราอยู่ในสวรรค์ เราจะมีร่างกาย แต่ไม่ใช่ร่างกายตามธรรมชาติแน่นอน แต่เป็นร่างที่มีพระจิตเจ้าเป็นชีวิต (spiritual body) นักบุญเปาโลกล่าวถึงประเภทของร่างกายของเรา เมื่อเราอยู่ในสวรรค์ว่า

    “บางคนอาจถามว่า คนตายจะกลับคืนชีพได้อย่างไร เขาจะกลับมีร่างกายแบบใด” (1 คร 15:35) นักบุญเปาโลตอบคำถามนี้โดยเปรียบเทียบร่างกายของเรากับเมล็ดพืช และเปรียบเทียบร่างกายในสวรรค์ของเรากับต้นพืชที่จะงอกขึ้นจากเมล็ดนั้น เขาบอกว่า

    “เมล็ดที่ท่านหว่านลงไปนั้นจะมีชีวิตใหม่ได้อย่างไรถ้าไม่ตายเสียก่อน เมล็ดข้าวสาลี หรือเมล็ดพืชอย่างอื่นที่ท่านหว่านลงไปนั้นเป็นเพียงเมล็ด มิใช่ลำต้นที่งอกขึ้น พระเจ้าประทานลำต้นแบบต่าง ๆ ตามพระประสงค์ให้กับเมล็ด เมล็ดแต่ละชนิดมีลำต้นตามชนิดของมัน ... การกลับคืนชีพของผู้ตายก็เช่นเดียวกัน สิ่งที่หว่านลงไปนั้นเน่าเปื่อย แต่สิ่งที่กลับคืนชีพนั้นไม่เน่าเปื่อยอีก สิ่งที่หว่านลงไปนั้นไม่มีเกียรติ แต่สิ่งที่กลับคืนชีพนั้นมีความรุ่งเรือง สิ่งที่หว่านลงไปนั้นอ่อนแอ แต่สิ่งที่กลับคืนชีพนั้นมีอานุภาพ สิ่งที่หว่านลงไปเป็นร่างกายตามธรรมชาติ แต่สิ่งที่กลับคืนชีพเป็นร่างกายที่มีพระจิตเจ้าเป็นชีวิต” (1 คร 15:36-38, 42-44)

    บัดนี้เราจะพิจารณาการสมโภชแม่พระได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ในเชิงปฏิบัติ การสมโภชนี้เตือนใจเราว่าพระนางมารีย์ไม่ได้อยู่ในสวรรค์และชื่นชมการประทับอยู่ของพระเจ้าโดยไม่ทำอะไรเลย เหมือนกับว่าพระนางเพียงแต่นั่งรอให้เราไปอยู่ร่วมกับพระนาง

    ตรงกันข้าม พระนางมารีย์ไม่ได้ประทับอยู่ในสวรรค์อย่างนิ่งเฉย พระนางทรงทำงานตลอดเวลาเพื่อช่วยเหลือเรา พระนางทรงต้องการช่วยเหลือเรา ให้เราต่อสู้เพื่อให้ไปถึงสวรรค์

    นี่คือข่าวดีที่เราฉลองกันในวันสมโภชนี้ นี่คือข่าวดีที่เราได้ยินจากบทอ่านจากพระคัมภีร์ประจำวันนี้

    รางวัลที่พระนางมารีย์ได้รับสำหรับชีวิตที่รับใช้พระเจ้าบนโลกนี้ เป็นคำสัญญาว่าเราก็จะได้รับรางวัลในวันหนึ่งเช่นเดียวกัน สำหรับชีวิตที่รับใช้พระเจ้าบนโลกนี้ และเราจะได้ไปอยู่กับพระนางในสวรรค์ทั้งร่างกายและวิญญาณ

    เราจะสรุปบทรำพึงนี้ด้วยบทเริ่มขอบพระคุณของพิธีมิสซาวันนี้

    ข้าแต่พระเจ้า พระบิดาของเรา วันนี้ พระมารดาพรหมจารีของพระเจ้าทรงได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ และเป็นเครื่องหมายของความหวังสำหรับมนุษย์ทุกคน

    พระองค์ไม่ทรงยอมให้ความเน่าเปื่อยสัมผัสร่างกายของพระนาง เพราะพระนางทรงให้กำเนิดพระบุตรของพระองค์ ผู้ทรงเป็นนายของชีวิตทั้งมวล

    ขอให้เราได้ไปอยู่ร่วมกับพระนางมารีย์ในสวรรค์สักวันหนึ่ง และพร้อมกับพระนาง สรรเสริญพระองค์ตลอดกาลนานเทอญ

บทรำพึงที่ 2
ลูกา 1:32-56

    พระศาสนจักรตะวันออก และตะวันตก จัดสมโภชแม่พระได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 5 พระสันตะปาปาปีโอ ที่ 12 กำหนดให้เป็นข้อความเชื่อเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 1950 ว่า “การยกขึ้นสวรรค์เป็นเอกสิทธิ์ที่พระมารดานิรมลของพระเจ้าทรงได้รับ เมื่อชีวิตบนโลกนี้ของพระนางสิ้นสุดลงแล้ว เพื่อยกย่องพระนางทั้งวิญญาณและร่างกาย โดยไม่ต้องรอจนถึงการกลับคืนชีพครั้งสุดท้าย” ... นี่คือความเชื่อของพระศาสนจักรมานานหลายศตวรรษ ตามหลักฐานที่ปรากฏในอาสนวิหารหลายแห่งในยุคกลาง และจากกระจกสีที่บอกเล่าเรื่องราวของ “การนอนหลับของพระนางมารีย์”...

วิญญาณข้าพเจ้าประกาศความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า จิตใจของข้าพเจ้าชื่นชมยินดีในพระเจ้า พระผู้กอบกู้ข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทอดพระเนตรผู้รับใช้ต่ำต้อยของพระองค์ ตั้งแต่นี้ไป ชนทุกสมัยจะกล่าวว่าข้าพเจ้าเป็นสุข พระผู้ทรงสรรพานุภาพทรงกระทำกิจการยิ่งใหญ่สำหรับข้าพเจ้า พระนามของพระองค์ศักดิ์สิทธิ์

    พระนางมารีย์เป็นมนุษย์คนแรกที่ได้รับความรอดพ้น ... บทเพลงสรรเสริญของพระนางยกเกียรติที่พระนางได้รับจากเหตุการณ์นี้ถวายคืนใน “พระผู้กอบกู้ ... พระผู้ทรงสรรพานุภาพ”...

    เอกสิทธิ์ของพระนางมารีย์ ผู้ทรงได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ทั้งร่างกายและวิญญาณ และเข้าสู่พระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้านี้ มิได้เกิดจากบุญบารมีใด ๆ ของพระนางเอง แต่เกิดจากพระหรรษทานของพระเยซูเจ้า พระบุตรของพระนางทั้งสิ้น...

    พระนางมารีย์ไม่ใช่เทพเจ้า พระนางทรงเรียกตนเองว่า “ผู้รับใช้ต่ำต้อยของพระเจ้า” บทเพลงสรรเสริญของพระนางไม่ใช่บทเพลงแสดงความภาคภูมิใจแต่อย่างใด แต่เป็นการประกาศยอมรับอย่างเจียมตนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบเป็นตัวพระนางล้วนมาจากพระเจ้าและเป็นของประทานแบบให้เปล่า และพระนางถวายคืนแด่พระเจ้าด้วยบทเพลงสรรเสริญ เพราะเหตุนี้ ความศรัทธาแท้ต่อพระนางมารีย์ จึงชักนำเราเสมอให้ใคร่ครวญธรรมล้ำลึกของพระคริสตเจ้า...

    เพื่อให้เข้าใจเรื่องการได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ของพระนางพรหมจารีมารีย์ ก่อนอื่นเราต้องเพ่งพินิจพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเยซูเจ้า ผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ...

พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย เป็นผลแรกของบรรดาผู้ล่วงหลับไปแล้ว ... มนุษย์ทุกคนจะกลับมีชีวิตเพราะพระคริสตเจ้า แต่จะเป็นไปตามลำดับของแต่ละคน พระคริสตเจ้าทรงเป็นผลแรก ต่อไปก็คือผู้ที่เป็นของพระศาสนจักร (1 คร 15:20-26)

    ในพระเยซูคริสตเจ้า “กาลอวสาน” ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว นี่คือสิ่งที่นักเทววิทยาเรียกว่าอันตกาลวิทยา (eschatology) (มาจากคำว่า eschaton ในภาษากรีก แปลว่าสิ่งสุดท้าย) ... เมื่อเราพูดถึง “กาลอวสาน” เรามักอยากคิดว่าเป็น “สิ่งสุดท้าย” ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันไกล ... นี่เป็นข้ออ้างที่เรายกมาแก้ตัวเพื่อจะไม่สนใจกับ “กาลอวสาน” นี้ ซึ่งเราคิดว่าเราคงตายก่อนจะได้เห็น แต่ความหมายของ “วันสิ้นพิภพ” ตามความหมายแท้ของอันตกาลวิทยา หมายถึงความเป็นจริงซึ่ง “ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว แม้ว่ายังไม่สำเร็จสมบูรณ์”...

    ในความหมายนี้ “อวสาน” คือ “เป้าหมาย” ซึ่งกำหนดทิศทางให้แก่กิจการหนึ่งมาตั้งแต่ต้น...

    “พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพ ... เป็นผลแรกของทุกคนที่มีชีวิต ... มนุษย์ทุกคนก็จะกลับมีชีวิต แต่จะเป็นไปตามลำดับของแต่ละคน” สิ่งที่ปรากฏในพระเยซูคริสตเจ้าคือความเป็นจริงสูงสุดของพระเจ้า รวมทั้งความเป็นจริงสูงสุดของมนุษย์ ... การกลับคืนชีพไม่ได้เป็นเพียง “อวสานของสิ่งต่าง ๆ” แต่เป็น “ความหมายลึกล้ำที่สุดของสิ่งต่าง ๆ” ในองค์พระเยซูเจ้า ผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ พระเจ้าทรงเปิดเผยแก่เราความลับอันลึกล้ำของการเนรมิตสร้างของพระองค์ และพระองค์ทรง “ตั้งโปรแกรม” ให้เรามาตั้งแต่ต้น เพื่อนำเราไปสู่อัศจรรย์แห่งชีวิตนี้ ... ในองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ กาลอวสาน ซึ่งเป็นเป้าหมายของประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ได้ยื่นมือมาหาเรา...

    ด้วยเอกสิทธิ์พิเศษ พระนางมารีย์ทรงบรรลุถึงพระสิริรุ่งโรจน์และความสมบูรณ์นี้แล้ว จึงกล่าวได้ว่าพระนางมารีย์ทรงเป็นตัวอย่างของสิ่งที่พระเจ้ายังทรงกระทำต่อไปกับผลงานสร้างสรรค์ทั้งหมดของพระองค์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพระนางมารีย์ในพระคริสตเยซู จะเกิดขึ้นกับพระศาสนจักรทั้งมวล และจะเกิดขึ้นกับเราแต่ละคน ... การเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง ซึ่งเปลี่ยนสภาพเราจากบุคคลที่รู้จักตาย ให้กลายเป็นบุคคลที่มีชีวิตอย่างสมบูรณ์นั้น และได้สำเร็จอย่างสมบูรณ์แล้วในองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับพระนางมารีย์ พระมารดาของพระองค์เช่นกัน ... แต่สำหรับมนุษย์คนอื่น ๆ กระบวนการนี้กำลังดำเนินอยู่ ... ตราบใดที่ประวัติศาสตร์ยังดำเนินต่อไป “ใบหน้า” ที่ชัดเจน และสมบูรณ์ของมนุษย์จะยังไม่ถูกเผยให้เห็น เราแต่ละคนถูกทำเครื่องหมายไว้ชั่วคราวด้วยเงาแห่งความตาย และ “ความทรมานของพระคริสตเจ้ายังขาดสิ่งใด ข้าพเจ้าก็เสริมให้สมบูรณ์ด้วยการทรมานในกายของข้าพเจ้า เพื่อพระกายของพระองค์คือพระศาสนจักร” (คส 1:24)…

เครื่องหมายยิ่งใหญ่ปรากฏในสวรรค์ คือ สตรีผู้หนึ่งมีดวงอาทิตย์เป็นอาภรณ์ มีดวงจันทร์อยู่ใต้เท้า มีมงกุฎดาวสิบสองดวงประดับศีรษะ นางมีครรภ์แก่ กำลังร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดจะคลอดบุตร (วว 12:1-2)

    ถูกกระทำทารุณกรรม ร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวด ... นี่คือภาพของมนุษยชาติที่เรามองเห็นมาโดยตลอดในประวัติศาสตร์ ... ข่าวสารเกี่ยวกับความเป็นไปของโลกที่เรารับรู้จากหนังสือพิมพ์ หรือโทรทัศน์ ทำให้เรานึกถึงภาพที่น่าอนาถใจนี้ ... ในวันที่เราเฉลิมฉลองพระสิริรุ่งโรจน์และความสุขของพระนางมารีย์ พระศาสนจักรกลับเตือนเราให้คิดถึงความเจ็บปวดของการเป็นมารดาของพระนางมารีย์ เมื่อพระนางทรงนำเราไปยืนอยู่ที่เชิงไม้กางเขน...

    ถูกแล้ว ความทุกข์ยากแต่ละอย่างของเราคือการคลอดบุตร ความเจ็บปวดทรมานในปัจจุบันของเราจะทำให้เกิดโลกใหม่ ที่รวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสตเจ้า ผู้ทรงถูกตรึงกางเขน...

มนุษย์ทุกคนตายเพราะอาดัมฉันใด มนุษย์ทุกคนก็จะกลับมีชีวิตเพราะพระคริสตเจ้าฉันนั้น ... แล้วจะถึงวาระสุดท้าย เวลานั้น พระองค์จะทรงมอบพระอาณาจักรให้แก่พระเจ้าพระบิดา หลังจากทรงทำลายการปกครอง อำนาจ และอานุภาพทั้งหลาย เพราะพระคริสตเจ้าจะต้องทรงครองราชย์ จนกว่าพระเจ้าจะทรงปราบศัตรูทั้งมวลให้อยู่ใต้พระบาทของพระองค์ ศัตรูสุดท้ายที่จะถูกทำลายคือความตาย (1 คร 15:20-26)

    บางคนคงพอใจแล้วกับ “วิญญาณที่ไม่มีวันตาย” คนเหล่านี้คงสงสัยว่าเราจะพูดถึง “การกลับคืนชีพของร่างกาย” ไปทำไม...

    แต่เราเชื่อว่าพระวจนาตถ์เสด็จมารับธรรมชาติมนุษย์ ... ในพิธีบูชาขอบพระคุณทุกครั้ง พระเยซูเจ้าทรงทำให้เรากลายเป็นพระกายของพระองค์ ... และพระนางมารีย์ได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ทั้งร่างกายและวิญญาณ ... เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หรือเป็นสัจธรรมที่ไม่สำคัญ “ผู้ที่กินเนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเรา ก็มีชีวิตนิรันดร เราจะทำให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย” (ยน 6:39, 51, 54)...

    ในวันสมโภชแม่พระได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ เราต้องค้นหาความหมายที่ถูกต้องของ “ร่างกาย” อีกครั้งหนึ่ง...

    “ร่างกายของเรา” ไม่ใช่เปลือกนอกของตัวเรา แต่เป็นองค์ประกอบสำคัญของตัวตนของเรา สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระเจ้าผู้ทรงสร้างเราขึ้นมา ในประเด็นนี้ ปรัชญาสมัยใหม่เห็นด้วยกับความเข้าใจของผู้เขียนพระคัมภีร์ กล่าวคือ แทนที่จะบอกว่าเรา “ประกอบด้วยวิญญาณหนึ่ง และร่างกายหนึ่ง” เราน่าจะพูดว่าเราคือ “ร่างกายที่มีพระจิตเจ้าเป็นชีวิต (spiritual body)” หรือเป็น “จิตที่มารับธรรมชาติมนุษย์ (incarnate spirit)”...

    นักบุญโทมัส อากวีนัส กล่าวว่า “พระเจ้าประทานจิตใจ (mind) และมือแก่เรา” ... จิตใจของข้าพเจ้าไม่ใช่อวัยวะที่เป็นเนื้อหนังแน่นอน แต่มีสติปัญญาแทรกซึมอยู่ และมือของข้าพเจ้าจะกระทำตามที่จิตใจของข้าพเจ้าสั่งให้ทำเท่านั้น ในทางกลับกัน จิตใจของข้าพเจ้าไม่สามารถทำอะไรได้โดยปราศจากมือของข้าพเจ้า ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างสองส่วนนี้ของธรรมชาติมนุษย์ของข้าพเจ้า ไม่มีส่วนใดที่เป็นกายภาพทั้งหมด และไม่มีส่วนใดที่เป็นจิตทั้งหมด...

    เมื่อเราพูดถึง “วิญญาณ” เราไม่ได้พูดถึง “บางสิ่ง” ที่แยกออก และต่อต้านร่างกาย ... เราใช้ภาษานี้เพื่อบอกว่าตัวบุคคลมนุษย์ (human person) ยังเป็นตัวบุคคลเดิม แม้ว่าได้ผ่านการเปลี่ยนสภาพทางกายภาพมาแล้วในชีวิตช่วงต่างๆ ของเขา ชายอายุ 80 ปี ที่มีร่างกายที่เหนื่อยล้าและเจ็บปวดคนนี้ เป็นบุคคลเดียวกับชายอายุ 40 ปี ที่เคยทำงาน และเป็นบุคคลเดียวกับเด็กชายวัย 10 วัน ที่นอนร้องไห้อยู่ในเปล ... ร่างกายนี้เปลี่ยนไปมาก – แต่บุคคลนั้นยังเป็นบุคคลเดิม ... เราเรียกองค์ประกอบถาวรนี้ว่า “วิญญาณ” และนี่คือคำอธิบายที่ถูกต้อง...

    ถึงกระนั้น ตามธรรมชาติแท้ของมนุษย์ชายหญิงซึ่งสอดคล้องกับแผนการของพระผู้สร้างของเรา ร่างกายของเราเป็นส่วนหนึ่งที่ไม่อาจแยกออกได้จากอัตลักษณ์ของเรา ... พระเยซูเจ้าทรงเคยมีร่างกายหนึ่ง พระเยซู “ยังทรงมี” ร่างกายหนึ่ง ... และการกลับคืนชีพของเนื้อหนังไม่ใช่ความจริงที่เป็นส่วนประกอบเท่านั้น แต่เป็นผลงานชิ้นเอกของแผนการของพระเจ้า...

    เราเข้าใจได้ว่า การที่พระนางมารีย์ได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการประทานแก่เราทุกคน พระเจ้าทรงต้องการ “ทำลายอำนาจ และอานุภาพทั้งหลายของความชั่ว” จนถึง “ศัตรูสุดท้ายที่จะถูกทำลายคือความตาย”

หลังจากนั้นไม่นาน พระนางมารีย์ทรงรีบออกเดินทางไปยังเมืองหนึ่งในแถบภูเขาแคว้นยูเดีย พระนางเสด็จเข้าไปในบ้านของเศคาริยาห์ และทรงทักทายนางเอลีซาเบธ เมื่อนางเอลีซาเบธได้ยินคำทักทายของพระนางมารีย์ บุตรในครรภ์ก็ดิ้น นางเอลีซาเบธได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยม...

    คำบอกเล่าในพระวรสารเกี่ยวกับการเสด็จมารับธรรมชาติมนุษย์ของพระวจนาตถ์ และพระนางมารีย์เสด็จเยี่ยมนางเอลีซาเบธ ทำให้เราคิดถึงความเป็นจริงของร่างกายเสมอ ในกรณีนี้ พระจิตเจ้าทรงใช้ครรภ์ของสตรีสองคนเพื่อขยายงานของพระองค์ให้กว้างขึ้นในหมู่มนุษย์ ... ร่างกายไม่ใช่สิ่งที่ต่ำช้า เป็นภาระ และน่าเหยียดหยาม ... ผู้ใดเหยียดหยามร่างกายก็เหยียดหยามพระเจ้าด้วย ... ผู้ใดทำให้ร่างกายกลายเป็นสิ่งเสื่อมทราม เขาก็ทำให้ “ภาพลักษณ์หนึ่งของพระเจ้า” เสื่อมทรามไปด้วย ... ความคิดว่าพระนางมารีย์จะได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ ได้เริ่มต้นพัฒนาขึ้นแล้วในฉากเหตุการณ์อันน่ายินดีนี้...

    “พระเยซู โอรสของท่านทรงได้รับพระพรยิ่งนัก ... และท่านก็ได้รับพระพรกว่าหญิงใด ๆ”...

    การได้ยินคำบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติมนุษย์อันต่ำต้อยเช่นนี้ในบทอ่านพระวรสารสำหรับวันสมโภชพระนางมารีย์ได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์เช่นนี้ มีข้อคิดสำหรับเรา...

    เราต้องเคารพที่พระคัมภีร์ไม่กล่าวถึงจุดจบของชีวิตบนโลกนี้ของพระนางมารีย์ เราไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับความตายของพระนาง พระนางทรงจบชีวิตลงอย่างเงียบ ๆ ... อย่างไร ... ไม่มีใครรู้ ... ไม่มีใครคิดว่าสมควรจะบอกเล่าเหตุการณ์นี้ ... เรารู้เพียงว่าพระนางมารีย์สิ้นใจ “ภายหลังพระบุตรของพระนาง” เพราะพระนางทรงยืนอยู่ที่เชิงไม้กางเขน ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นมองพระองค์ขณะที่พระองค์สิ้นพระชนม์...

    ดังนั้น ขอให้เราสรุปบทรำพึงวันนี้โดยเพ่งพินิจพระนางมารีย์ในวัยสาว ขณะที่พระนางรีบเดินไปตามถนนในแถบภูเขาแคว้นยูเดีย พร้อมกับพระกุมารในครรภ์ของพระนาง ... พระนางเสด็จไปหาญาติของพระนางเพื่อช่วยเหลือนาง และพระนางประทับอยู่กับนางเอลีซาเบธถึงสามเดือน คงเป็นโชคดีมากถ้าจะได้อยู่ร่วมกับพระนางมารีย์ ... พระมารดาของพระเจ้าใช้เวลาตลอดชีวิตของพระนางแสดงความรักต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และต่อผู้อื่น ชีวิตของพระนางเป็นไฟที่ลุกอย่างเงียบ ๆ แต่เผาผลาญจนไม่เหลือ “เถ้า” ... เวลาที่พระนางพบกับความตายทางกายภาพเป็นเวลาที่พระนางถวายความรักเป็นครั้งสุดท้ายโดยไม่เหลือเศษซากใด ๆ ไว้ในโลกนี้อีกเลย ... ในร่างกายของพระนางที่มีชีวิตอยู่ด้วยวิญญาณนี้ ไม่เหลืออะไรให้เน่าเปื่อยอีกต่อไปแล้ว เพราะทุกสิ่งได้ถูกเผาผลาญจนหมดสิ้นแล้ว...

บทรำพึงที่ 3

คำนำ
    การได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ของพระนางพรหมจารีย์มารีย์ เป็นการร่วมมือกับการกลับคืนพระชนมชีพของพระบุตรของพระนาง และเป็นการทำนายถึงการกลับคืนชีพของเราเอง เมื่อชีวิตของพระนางบนโลกนี้สิ้นสุดลงแล้ว และเพราะพระนางปราศจากมลทินจากบาปกำเนิด พระนางมารีย์จึงได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ทั้งร่างกายและวิญญาณ และเสด็จไปรับพระสิริรุ่งโรจน์ พระเจ้าทรงยกย่องพระนางให้เป็นราชินีเหนือสรรพสิ่ง เพื่อให้สมพระเกียรติของพระบุตรของพระนาง ผู้ทรงเป็นเจ้านายแห่งเจ้านายทั้งหลาย และเป็นผู้พิชิตบาปและความตาย (CCC § 966)

บทเทศน์
    พระสันตะปาปาปีโอ ที่ 12 ทรงประกาศสมณธรรมนูญว่าด้วยการได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ของพระนางพรหมจารีมารีย์ ซึ่งระบุว่า “บรรดาปิตาจารย์ของพระศาสนจักร และนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายได้เทศน์สอนเรื่องการสมโภชพระมารดาของพระเจ้าได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ โดยมีหัวข้อคำสอนซึ่งโลกคริสตชนรู้และยอมรับ แต่ท่านเหล่านี้มีหน้าที่อรรถาธิบาย และกลั่นกรองความหมายที่เป็นแก่นสาร นอกเหนือจากความหมายระดับเปลือกนอก การกล่าวว่าร่างกายของพระนางพรหมจารีไม่เคยเน่าเปื่อยไม่ใช่ความหมายทั้งหมดของการสมโภชนี้ สิ่งที่เราเฉลิมฉลองก็คือชัยชนะของพระนางเหนือความตาย เมื่อพระนางทรงได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในลักษณะเดียวกับที่พระเยซูคริสตเจ้า พระบุตรพระองค์เดียวของพระนาง ในสวรรค์”

    ดังนั้น นักบุญยอห์น ดามัสซีเน ซึ่งเป็นผู้แปลความหมายธรรมประเพณีนี้ได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุด จึงได้เปรียบเทียบให้เห็นได้อย่างชัดเจน ระหว่างเอกสิทธิ์อันสูงส่งโดยทั่วไปที่พระเจ้าประทานแก่พระมารดาของพระเจ้า และการที่ร่างกายของพระนางได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์

-    “เป็นการเหมาะสมแล้วที่พระนาง ผู้รักษาพรหมจรรย์ของพระนางจากมลทินทั้งปวงเมื่อทรงให้กำเนิดบุตร จะรักษาร่างกายของพระนางไว้ไม่ให้เน่าเปื่อยแม้แต่ภายหลังความตาย
-    เป็นการเหมาะสมแล้วที่พระนางผู้ทรงอุ้มพระผู้สร้างในสภาพของเด็กน้อยแนบพระอุระ จะมีสถานที่พำนักร่วมกับพระเจ้า
-    เป็นการเหมาะสมแล้วที่เจ้าสาว ผู้ที่พระบิดาทรงหมั้นหมายไว้ จะพำนักในห้องหอแห่งสวรรค์
-    เป็นการเหมาะสมแล้วที่พระนางผู้เพ่งพินิจพระบุตรของพระนางบนไม้กางเขน และคมดาบแห่งความทุกข์ได้แทงพระอุระของพระนาง หลังจากที่พระนางทรงรอดพ้นจากความทุกข์นี้เมื่อพระองค์ทรงบังเกิด จะได้เพ่งพินิจพระองค์ผู้ประทับอยู่กับพระบิดา
-    เป็นการเหมาะสมแล้วที่พระมารดาของพระเจ้าจะได้ร่วมรับเอกสิทธิ์ต่าง ๆ ของพระบุตร และการถวายเกียรติจากสิ่งสร้างทั้งมวลในฐานะพระมารดา และผู้รับใช้ของพระเจ้า”
    นักบุญเยอร์มานัสแห่งคอนสแตนติโนเปิล แปลความหมายว่าร่างกายที่ไม่เน่าเปื่อยของแม่พระเป็นเรื่องเหมาะสม ไม่เพียงเพราะพระนางทรงเป็นพระมารดาของพระเจ้า แต่เพราะความศักดิ์สิทธิ์พิเศษที่เป็นผลมาจากสภาวะพรหมจารีของพระนางว่า “มีเขียนไว้ว่าพระนางทรงความงาม และร่างกายพรหมจารีของพระนางศักดิ์สิทธิ์ บริสุทธิ์ และเป็นที่ประทับของพระเจ้า ดังนั้น ร่างกายนี้จึงไม่อาจสลายกลายเป็นฝุ่นดิน แต่เปลี่ยนสภาพจากร่างกายมนุษย์ เข้าสู่ความรุ่งเรืองแห่งชีวิตที่ไม่เน่าเปื่อย แต่ก็ยังเป็นร่างกายเดิมที่มีชีวิตและรุ่งโรจน์ รอดพ้นจากอันตรายและมีส่วนร่วมในชีวิตอันสมบูรณ์”

    นักประพันธ์ยุคโบราณอีกคนหนึ่งระบุว่า “เนื่องจากพระนางทรงเป็นพระมารดาผู้ทรงเกียรติของพระคริสตเจ้า พระผู้ไถ่ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าผู้ประทานชีวิตและอมตภาพ พระองค์จึงคืนชีวิตให้แก่พระนาง และทรงโปรดให้ร่างกายของพระนางได้รับความไม่เน่าเปื่อยของร่างกายร่วมกับพระองค์ผู้ทรงยกพระนางขึ้นมาจากหลุมฝังศพ และทรงรับพระนางไว้ในลักษณะที่พระองค์เท่านั้นทรงรู้”

    ปิตาจารย์เหล่านี้สรุปความคิดของเขาโดยอ้างอิงข้อความในพระคัมภีร์ ซึ่งแสดงให้เราเห็นภาพของพระมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ว่าทรงไม่อาจแยกจากพระบุตรของพระนางได้เลย และทรงร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพระองค์เสมอ เราจึงย้ำคำสั่งสอนอย่างเป็นทางการของพระศาสนจักรคาทอลิกเกี่ยวกับการฉลองอย่างสง่านี้ว่า “การได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ของพระนางพรหมจารีย์มารีย์ เป็นการร่วมมือกับการกลับคืนพระชนมชีพของพระบุตรของพระนาง และเป็นการทำนายถึงการกลับคืนชีพของเราเอง เมื่อชีวิตของพระนางบนโลกนี้สิ้นสุดลงแล้ว และเพราะพระนางปราศจากมลทินจากบาปกำเนิด พระนางมารีย์จึงได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ทั้งร่างกายและวิญญาณ และเสด็จไปรับพระสิริรุ่งโรจน์ พระเจ้าทรงยกย่องพระนางให้เป็นราชินีเหนือสรรพสิ่ง เพื่อให้สมพระเกียรติของพระบุตรของพระนาง ผู้ทรงเป็นเจ้านายแห่งเจ้านายทั้งหลาย และเป็นผู้พิชิตบาปและความตาย (CCC § 966)”