แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

เสด็จสู่แดนมรณะ วันที่สามทรงกลับคืนพระชนม์ชีพจากบรรดาผู้ตาย

    มีคำถามเกิดขึ้นว่า เมื่อองค์พระเยซูคริสตเจ้าทรงสิ้นพระชนม์แล้ว พระวิญญาณของพระองค์เป็นอย่างไร อยู่ที่ไหน... 
    ก่อนที่จะกล่าวถึงเรื่องนี้ ขอเตือนความจำสักนิดว่า องค์พระเยซูคริสตเจ้านั้น ทรงมี 2 สภาวะ คือ ความเป็นพระเป็นเจ้าที่สมบูรณ์เที่ยงแท้ และความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์เช่นกัน…การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ คือ การสิ้นพระชนม์ในส่วนของความเป็นมนุษย์    พระวรกายของพระองค์ถูกนำไปเก็บไว้ในคูหาดังที่เราทราบกันดี... ส่วนพระวิญญาณ ของพระองค์ ตามความเชื่อบอกว่าพระวิญญาณของพระองค์ทรงเสด็จสู่แดนมรณะ
    พี่น้องส่วนใหญ่เมื่อได้ยินคำว่า “แดนมรณะ” หรือ สมัยก่อนเรียกว่า ใต้บาดาล ก็อาจคิดถึงสถานที่ซึ่งอยู่ลึกลงไปใต้พื้นดิน    อาจเป็นเพราะนำไปเทียบกับ “น้ำบาดาล” อันหมายถึงน้ำที่อยู่ลึกไปในดินมากๆ ผ่านชั้นดินทราย ดินดาน หรือ หิน ทำให้น้ำนั้นสะอาด นำขึ้นมาบริโภคได้
    คำว่า “แดนมรณะ” ในศาสนาของเรา หมายถึงสภาพของการอยู่ร่วมกันของบรรดาวิญญาณมนุษย์ที่อยู่ในสมัยก่อนการเสด็จมาขององค์พระเยซูคริสตเจ้า...    เพื่อความเข้าใจง่ายๆ คำว่าแดนมรณะจึงอธิบายเปรียบเทียบว่าเป็นสถานที่ของวิญญาณมนุษย์สมัยก่อนพระเยซูคริสตเจ้า...หรือถ้าจะทำความเข้าใจให้ดียิ่งขึ้น ก็อาจจะอธิบายได้ว่า เมื่อมนุษย์ที่เกิดในยุคพระธรรมเก่าหรือก่อนพระเยซูเจ้าเสด็จลงมานั้น สิ้นชีวิตลง ดวงวิญญาณของพวกเขาก็จะไปรวมกันอยู่ ณ สถานที่แห่งหนึ่งไม่ว่าวิญญาณนั้นจะเป็นวิญญาณของคนดีมีศีลธรรม หรือ คนบาปก็ตาม    เพื่อรอคอยการเสด็จมาขององค์พระผู้ไถ่...
    คล้ายๆ กับประเทศชาติใดประเทศชาติหนึ่งที่ประกอบไปด้วยคนดี คนไม่ดี มีทั้งความสุขและความทุกข์ รวมอยู่ด้วยกัน
    การเสด็จสู่แดนมรณะขององค์พระเยซูคริสตเจ้า ก็เพื่อไปประกาศถึงการเสด็จมาของพระองค์ เป็นการสิ้นสุดการรอคอยของบรรดาวิยญาณทั้งหลาย เป็นการทำให้บรรดาวิญญาณเหล่านั้นได้รับผลแห่งการกระทำของตนตาม ได้ปฏิบัติมาในชีวิต    ถือเป็นการสิ้นสุดยุคพระธรรมเก่าและเปิดเข้าสู่ยุคของพระธรรมใหม่ หรือ พระศาสนจักรในปัจจุบันนั่นเอง
    “วันที่สามทรงเสด็จกลับคืนพระชนม์ชีพจากบรรดาผู้ตาย” (ลก 24 : 1-12)
    ข้อความเชื่อเรื่องการเสด็จกลับคืนชีพขององค์พระเยซูคริสตเจ้านี้ ถือเป็นจุดสำคัญอย่างยิ่ง    เช่นเดียวกับการเสด็จลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ในโลกนี้ของพระองค์ก็ว่าได้    เพราะเป็นบทสรุปสำคัญแห่งชัยชนะต่อความตายอย่างเด็ดขาด และที่ลึกซึ้งกว่านั้นก็คือ เป็นรูปแบบและเครื่องหมายแห่งความรอดพ้นจากบาปและความตายฝ่ายวิญญาณ
    บรรดาคริสตชนจึงถือว่า วันฉลองการเสด็จกลับคืนเป็นขึ้นมาจากความตายของพระองค์เป็นวันสมโภชอันยิ่งใหญ่ที่สุดวันหนึ่งในรอบปี    เราเรียกวันสมโภชนี้ว่า “ปัสกา” ซึ่งหมายถึงการผ่านพ้นจากสภาพหนึ่งไปสู่อีกสภาพหนึ่ง เช่นเดียวกับการผ่านพ้นจากการเป็นทาสในประเทศอียิปต์ของชาวอิสราเอลโดยการนำของโมเสส ด้วยการนำพวกเขาข้ามทะเลแดงมุ่งสู่แผ่นดินคานาอัน    อันเป็นแผ่นดินแห่งพันธสัญญา หรือ จากความเป็นทาสสู่ความเป็นไท
    องค์พระเยซูคริสตเจ้าจึงทรงถูกเปรียบเทียบว่าทรงเป็นโมเสสในพันธสัญญาใหม่ ที่พาประชากรของพระเป็นเจ้า คือ พวกเรา ให้พ้นจากการเป็นทาสของบาป เข้าสู่ความเป็นไทในการเป็นบุตรของพระเป็นเจ้านั่นเอง
    เมื่อพระเยซูคริสตเจ้าทรงเสด็จกลับเป็นขึ้นมาแล้ว พระองค์ยังทรงอยู่ในโลกนี้อีก 40 วัน    นักเทวศาสตร์อธิบายว่าพระองค์ทรงใช้เวลา 40 วันนี้เพื่อทำให้บรรดาศิษย์ของพระองค์ เป็นต้น บรรดาอัครสาวก มั่นใจ เข้มแข็ง และพร้อมที่จะออกไปสืบต่องานของพระองค์    ด้วยการประกาศเทศน์สอนถึงข่าวดีแห่งความรอดพ้นและองค์พระเยซูเจ้า
    เราจะเห็นว่า พระองค์ทรงประจักษ์มาหาพวกเขาหลายครั้งหลายหน (ยน 20 : 24-29) (ลก 24 : 13-47) และทุกครั้งจะทรงสอนและย้ำเตือนให้พวกเขามั่นใจในการเสด็จกลับคืนชีพของพระองค์จริงๆ เพราะพระองค์ทราบดีว่าสิ่งนี้จะทำให้พวกเขามั่นใจและกล้าหาญในการเป็นประจักษ์พยานถึงพระองค์    ว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้ไถ่มนุษยชาติ...และด้วยความเชื่อมั่นศรัทธา จะเกิดความรักอย่างแท้จริง     พร้อมที่จะยืนยันถึงพระองค์ด้วยชีวิตของพวกเขา...และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ    บรรดาอัครสาวกได้ถูกฆ่าตายเพราะการยืนยันถึงพระองค์แทบทั้งสิ้น...และนี่แหละคือจุดเริ่มต้นของพระศาสนจักรของเรา ซึ่งสืบทอดมาจนปัจจุบัน

ที่มา : หนังสือ หลักธรรมคำสอนคาทอลิก (คุณพ่อวุฒิเลิศ แห่ล้อม)