15.    ภาวนาด้วยชีวิตแต่ละวัน – แบบเซลติก
    บางคนมีแนวโน้มที่จะคิดว่าการภาวนาเป็นกิจกรรมพิเศษที่ต้องทำกันในวันอาทิตย์โดยเฉพาะ คนเหล่านี้มองว่าการภาวนาเป็นเรื่องลึกลับ และควรปล่อยให้เป็นธุระของผู้เชี่ยวชาญมากกว่า เคยมีคนพ่นสีบนสะพานเป็นข้อความว่า “จงเตรียมตัวพบพระเจ้าของเจ้าเถิด – แต่งกายชุดราตรี แต่ไม่บังคับ”
    แต่ทุกคนที่เคยพยายามผ่านขั้นแรกของการภาวนา และการดำเนินชีวิตอย่างคริสตชนแล้ว ย่อมรู้สึกว่าเขาพบพระเจ้าได้ท่ามกลางชีวิตของเขา และไม่ใช่ผลักพระองค์ออกไปอยู่ข้างสนาม พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของเช้าวันพุธ เมื่อฝนตก และรถสตาร์ทไม่ติด เหมือนกับทรงเป็นพระเจ้าของเช้าวันอาทิตย์ในวัด เมื่อพิธีมิสซาผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับติดปีก ถ้าเรากักพระเจ้าไว้ในห้องรับแขกยุควิคตอเรีย ที่ซึ่งทุกคนในห้องต้องทำตัวสงบเสงี่ยม ก็ไม่น่าแปลกใจที่ความเชื่อของเราน่าเบื่อ และทำไปตามหน้าที่

    ชาวเซลท์ มีความสามารถพิเศษในการเชื่อมโยงความเชื่อเข้ากับชีวิต และกิจกรรมในแต่ละวัน พระศาสนจักรเซลติก ก่อตั้งขึ้นอย่างมั่นคงในพื้นที่ชายฝั่งตะวันตกของบริเตน โดยเฉพาะในประเทศไอร์แลนด์ มานานก่อนพระสันตะปาปาเกรโกรี จะส่งนักบุญออกุสติน ไปอ้างสิทธิในดินแดนนี้เพื่อพระคริสต์ใน ค.ศ. 597 นักบุญแพตทริก (ประมาณ ค.ศ. 390-460) เป็นพระสังฆราชธรรมทูตผู้สร้างแรงบันดาลใจให้ประชาชน โคลัมบา (ค.ศ. 521-597) นำความเชื่อไปเผยแผ่ในแผ่นดินใหญ่จากฐานปฏิบัติการของเขาที่ไอโอนา ไอดาน (ค.ศ. 600-651) เป็นประธานของชุมชนที่ลินดิสฟาร์น คิวธเบิร์ท (ค.ศ. 687) ดำเนินชีวิตอย่างศักดิ์สิทธิ์ และนำคนจำนวนมากไปหาพระคริสตเจ้า
    ชายหญิงเหล่านี้แสดงความเชื่อออกมาด้วยการดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายแต่ศักดิ์สิทธิ์ พวกเขามีบทภาวนาและพิธีกรรมสำหรับการรีดนมวัว หรือสร้างกระท่อม หรือก่อนออกเดินทาง เขาเห็นการประทับอยู่ของพระเจ้าในวิถีชีวิตของเขาในน้ำขึ้นน้ำลงของทะเล และในช่วงเปลี่ยนฤดูกาล ไม่มีแนวโน้มที่จะแยกกิจกรรมทางโลก และกิจกรรมศักดิ์สิทธิ์ให้อยู่กันคนละโลกเหมือนในสมัยนี้
    การภาวนาของเราจะกลายเป็นกิจกรรมสำคัญที่มีชีวิตชีวา ถ้าเราเข้าใจว่าพระเจ้าประทับอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่างตลอดวัน และพระองค์ไม่ได้เพียงแต่รอเราอยู่ในวัด หรือในมุมเงียบ ๆ ของบ้านเราเท่านั้น พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ประทับอยู่ในรถไฟที่เต็มไปด้วยผู้โดยสาร และในการประชุมที่เร่งด่วน ในวันที่เรามีนัดพบแพทย์ และขณะที่เราย่างบาร์บีคิวในวันสุดสัปดาห์ พระองค์ประทับอยู่ในใบแจ้งยอดบัญชีเงินฝากธนาคาร และในงานเลี้ยงฉลองวันเกิด พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงยินดีในโลกทางวัตถุ และก็มีเหตุผลที่ดีที่เป็นเช่นนี้ เพราะพระองค์ทรงสร้างโลกนั้นขึ้นมาเอง


คำถาม
    คุณคิดหรือไม่ว่าพระเจ้าประทับอยู่กับเราทุกวัน ทุกชั่วโมง และทรงพร้อมรับมือกับทุกสิ่งทุกอย่าง คุณคิดว่าชีวิตประจำวันของคุณเกี่ยวข้องกับพระองค์อย่างไร

ลองทำดู
•    ใช้รูปแบบการภาวนาที่ชาวเซลท์ เรียกว่า คายิม (Caim) ซึ่งล้อมบุคคลหนึ่ง บ้านหลังหนึ่ง วัดหลังหนึ่ง หรือสิ่งอื่น ๆ ให้อยู่ภายในการประทับอยู่ของพระเจ้าเพื่อพิทักษ์รักษา วิธีนี้อาจน่าพึงพอใจสำหรับบุคคล และสถานการณ์ต่าง ๆ เพราะทำให้มีความรู้สึก “ทางกายภาพ” ราวกับว่าคุณกำลังทำบางสิ่งบางอย่างที่มีนัยสำคัญด้วยการภาวนานี้ เช่น “พระเจ้าข้า โปรดทรงล้อมสตีฟ ผู้รับใช้ของพระองค์ ไว้ด้วยความมั่นคงปลอดภัยและความมั่นใจของพระองค์ ขณะที่เขาต้องเข้าสัมภาษณ์ครั้งนี้” “พระเจ้าข้า โปรดทรงล้อมบ้านหลังนี้ไว้ด้วยความรักของพระองค์ และทำให้เต็มไปด้วยสันติสุขในช่วงเวลาอันยุ่งยากนี้” คุณอาจใช้นิ้วขีดเป็นวงกลมขณะที่สวดภาวนาด้วยก็ได้ เหมือนกับที่ชาวเซลท์ทำ เพื่อเน้นย้ำ และทำให้เห็นจริง
•    ขอบคุณพระเจ้าสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณพบในแต่ละวัน และภาวนาขอให้คุณใช้มันให้เป็นประโยชน์ เช่น น้ำที่ไหลออกมาทันทีที่คุณเปิดก๊อก รถยนต์ที่ทำให้คุณเดินทางได้อย่างง่ายดาย เครื่องคอมพิวเตอร์ที่บัดนี้คุณได้กลายเป็นทาสของมันไปแล้ว(!) โทรศัพท์มือถือที่เชื่อมโยงระหว่างตัวคุณผู้กำลังเดินทางอยู่ในซัสเสกซ์ กับบุตรสาวที่กำลังเข้าห้องสอบในเมืองเอดินบะระ (นี่เป็นตัวอย่างจริง) เหล่านี้คือประสบการณ์ของเราที่เกิดขึ้นทุกวันในโลกวัตถุ ซึ่งเทียบเท่ากับการรีดนมวัว และมุงหลังคาบ้านสำหรับชาวเซลท์ เมื่อศตวรรษที่ 6 เรากำลังของคุณพระเจ้าองค์เดียวกัน
•    ใช้บทภาวนาที่เรียกกันว่า “เกราะคุ้มกันของนักบุญแพตทริก” เป็นต้นแบบของบทภาวนาที่คุณใช้สวดทุกวันดังนี้
พระคริสตเจ้าประทับอยู่กับข้าพเจ้า พระคริสตเจ้า ในตัวข้าพเจ้า
พระคริสตเจ้า ข้างหลังข้าพเจ้า พระคริสตเจ้า ข้างหน้าข้าพเจ้า
พระคริสตเจ้า ข้างกายข้าพเจ้า พระคริสตเจ้า ชนะใจข้าพเจ้า
พระคริสตเจ้า เพื่อปลอบโยน และฟื้นฟูกำลังของข้าพเจ้า
พระคริสตเจ้า ใต้ตัวข้าพเจ้า พระคริสตเจ้า เหนือตัวข้าพเจ้า
พระคริสตเจ้า ในยามสงบ พระคริสตเจ้าในยามมีภัย
พระคริสตเจ้า ในหัวใจของผู้ที่รักข้าพเจ้า
พระคริสตเจ้า ในปากของมิตร และคนแปลกหน้า
สวดบทภาวนานี้ในตอนเช้าของวันใหม่
เพื่อ “มัด” พระคริสตเจ้าไว้กับตัวคุณ
และบทภาวนานี้จะกลายเป็นเพื่อนผู้คุ้นเคยที่เตือนใจคุณให้ระลึกว่าพระเจ้าประทับอยู่กับคุณ ทุกครั้งที่คุณอยากระลึกถึงพระองค์
•    อ่านทบทวนบทที่ 7 (“การภาวนาระหว่างวัน”)
และนำความคิดบางอย่างในบทนั้นกลับมาใช้อีก

บทภาวนาของชาวเซลท์
    พระเจ้าข้า พระองค์ประทับอยู่ ณ ที่แห่งนี้
    การประทับอยู่ของพระองค์แผ่เต็ม ณ ที่แห่งนี้
    การประทับอยู่ของพระองค์คือสันติสุข
    พระเจ้าข้า พระองค์ประทับอยู่ในชีวิตของข้าพเจ้า
    การประทับอยู่ของพระองค์แผ่เต็มชีวิตของข้าพเจ้า
    การประทับอยู่ของพระองค์คือสันติสุข
    พระเจ้าข้า พระองค์ประทับอยู่ในลมพายุ
    การประทับอยู่ของพระองค์แผ่เต็มลมพายุ
    การประทับอยู่ของพระองค์คือสันติสุข
                                David Adam

ป้ายบอกทาง
3.    กฎหนึ่งของชีวิต
    ในโลกนี้มีคนอยู่สองประเภทประเภทหนึ่งคือคนที่ชอบให้มีรูปแบบ ระเบียบ และกรอบ อีกประเภทหนึ่งคือคนที่ชอบทำงานอย่างอิสระ ไม่มีกฎเกณฑ์ และตามสัญชาตญาณ บทนี้เขียนขึ้นมาสำหรับคนที่ชอบมีกรอบในการทำงาน
    บางครั้งก็มีประโยชน์ ถ้าชีวิตภาวนาและเป้าหมายฝ่ายจิตของเราจะมีรูปแบบที่ชัดเจน มีรายการให้เราตรวจสอบเพื่อให้มั่นใจว่าเรากำลังก้าวไปข้างหน้า เรารู้ว่าแม้ว่าเรามีเจตนาดี แต่ในความเป็นจริง เราค่อย ๆ ปล่อยตัวให้ลอยตามกระแสไปเรื่อย ๆ จากนั้นก็รู้สึกผิดเกินกว่าจะทำสิ่งใดเพื่อชดเชยเวลาที่เสียไป เราทุกคนเคยถูกประจญให้งดการ
สวดภาวนา หรืออ่านพระคัมภีร์ “แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว” และก็เป็นจริงดังที่ใครคนหนึ่งเคยบอกไว้ว่า “ปัญหาในการต่อสู้การประจญอยู่ที่เราไม่ต้องการจะต่อต้านมันเลย”
    ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงขอเสนอสิ่งที่เรียกว่า “กฎหนึ่งของชีวิต” ซึ่งหมายถึงกฎของชีวิตจิต ที่ออกแบบมาเพื่อปกป้อง และนำทางเจตนาดีของคุณ ทั้งหมดนี้เป็นคำแนะนำโดยทั่วไป จุดประสงค์ของกฎแห่งชีวิตคือ ต้องเหมาะสมกับตัวคุณ และสมเหตุสมผล ไม่มีใครบังคับให้คุณปฏิบัติได้ วิธีภาวนาของคุณก็เป็นของคุณโดยเฉพาะ ดังคำกล่าวว่า
    “จงภาวนาอย่างที่คุณทำได้ ไม่ใช่อย่างที่คุณทำไม่ได้”

การนมัสการพระเจ้า
    บางที คุณอาจตั้งเป้าหมายว่าคุณจะไปวัดทุกสัปดาห์เมื่อคุณอยู่ที่บ้าน และเมื่อคุณเดินทางไปที่อื่น คุณจะไปวัดถ้าสถานการณ์เหมาะสม คือขึ้นอยู่กับเพื่อนที่ไปกับคุณ เป็นต้น
    คุณอาจตั้งเป้าหมายว่าจะไปรับศีลมหาสนิทอย่างน้อยเดือนละครั้ง และถ้าคุณไม่ได้รับ คุณจะไปฟังมิสซา และรับศีลในวันอื่นระหว่างสัปดาห์แทน บางทีอาจเป็นช่วงเวลาพักเที่ยง ในวัดใกล้ที่ทำงานของคุณ

การภาวนา
    บางที คุณอาจตั้งเป้าหมายว่าจะจัดสรรเวลาในแต่ละวันสัก 15 นาที เพื่อสวดภาวนาและอ่านพระคัมภีร์ ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันเสาร์ แต่คุณจะไม่กระวนกระวาย เว้นแต่ว่าคุณไม่ได้ทำเช่นนี้ติดต่อกันสองหรือสามวัน ความรู้สึกผิดเป็นปัญหาใหญ่ในแวดวงคริสตชน และเราต้องจำไว้ว่าความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าเป็นความสัมพันธ์บนพื้นฐานของพระหรรษทาน และการยอมรับกันและกันด้วยใจยินดี มิใช่ทำตามกฎเกณฑ์ และเพราะหน้าที่
    คุณอาจตั้งเป้าหมายว่าจะทดลองวิธีภาวนาแบบ “พูดคุย” โดยทำตามคำแนะนำในบทที่ 7 “การภาวนาระหว่างวัน”

“งานอภิบาล”
    คำนี้อาจฟังดูหรู แต่ดีกว่าคำว่า “พระศาสนจักร” เพราะทำให้เราคิดว่าเรากำลังทำงานให้สถาบันหนึ่ง มากกว่าทำงานให้พระเจ้าผู้ทรงชีวิต และพระเจ้าทรงพอพระทัยแน่นอน ถ้าเราสามารถถวายการรับใช้ประชากรของพระองค์ อย่างหนึ่ง ไม่ว่าเขาจะเป็นคริสตชนหรือไม่ก็ตาม ดังนั้น เราสามารถอาสาทำงานเพื่อสังคม เป็นตัวแทนในสภาอภิบาล หรือช่วยงานในโรงเรียนท้องถิ่น พระเจ้าไม่ทรงต้องการให้เราปฏิบัติแต่ศาสนกิจ งานอภิบาลเป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่ในฐานะอวัยวะหนึ่งของพระกายพระคริสตเจ้า เมื่อเราได้รับศีลล้างบาปแล้ว

การให้
    ถ้าเรารับมาโดยไม่ส่งคืน หรือส่งต่อให้ผู้อื่น ในไม่ช้า เราจะหมกมุ่นอยู่กับไขมันส่วนเกินของเราเอง เหมือนกับทะเลตายในอิสราเอล ซึ่งรองรับน้ำจืดจากกาลิลี แต่ไม่ส่งต่อไปที่อื่น ผลก็คือทะเลนี้กลายเป็นทะเล “ตาย” จริง ๆ เพราะไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้ ดังนั้น เราจึงต้องตอบสนองความใจกว้างของพระเจ้าด้วยการคืนให้ ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง หรือทักษะอย่างหนึ่ง หรือเวลา หรืออนุญาตให้ใช้เครื่องจักร หรืออุปกรณ์ที่เราเป็นเจ้าของ โอกาสให้คืนมีไม่รู้จบสิ้น

การเจริญเติบโตของคริสตชน
    พระคาร์ดินัลนิวแมน ผู้มีชื่อเสียง เคยกล่าวว่า “การมีชีวิตคือการเปลี่ยนแปลง และเราจะเป็นคนที่ครบครันได้ก็ต้องเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง” ถ้าเราต้องการดำเนินชีวิตเพื่อพระเจ้าอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เราต้องมีความตั้งใจจะเจริญเติบโตและเปลี่ยนแปลง และไม่พอใจเพียงแต่จะอยู่กับความเชื่อของเมื่อวานนี้เท่านั้น บางที คุณอาจสัญญากับตนเองว่าจะอ่านหนังสือเกี่ยวกับคริสตศาสนาปีละ 3-4 เล่ม หรือเข้ารับการอบรมบางอย่างที่วัด หรือเข้ารับฟังคำสั่งสอนเรื่องคริสตศาสนา หรือศึกษาเกี่ยวกับงานอภิบาล หรือศาสนาคริสต์ หรือคุณอาจสัญญากับตนเองว่าจะอ่านพระคัมภีร์เป็นประจำ
    นอกจากนี้ คุณสามารถหาเพื่อนฝ่ายจิตให้เป็นเพื่อนในการเดินทางฝ่ายจิตของคุณ คุณอาจหาเวลาไปพบบุคคลนั้นปีละสาม หรือสี่ครั้ง วิธีนี้ทำให้คุณมีใครสักคนที่คุณสามารถปรึกษาหารือ และพูดคุยอย่างเปิดอกได้อย่างปลอดภัยเกี่ยวกับทุกเรื่อง โดยเฉพาะเกี่ยวกับตัวคุณเอง

การเข้าเงียบ และวันเงียบ ๆ
    นี่อาจฟังดูเหมือนเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยสำหรับคนศรัทธา หรือคนที่มีเวลาว่างมากเกินไป แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น การมีเวลาสักสอง หรือสามวันในแต่ละปี เพื่อคิด ภาวนา อ่านหนังสือ และผ่อนคลาย เป็นส่วนสำคัญของการเดินทางฝ่ายจิตของคนจำนวนมาก พระสงฆ์ประจำวัดของคุณสามารถแนะนำสถานที่ให้คุณได้ การใช้เวลาสักสองสามวันต่อปีอยู่เงียบ ๆ สามารถลดความกระวนกระวายในชีวิตจิตได้ คุณอาจลองถามผู้อื่นว่าเขาไปที่ใดบ้าง เพื่อหาความสงบเงียบ และถ้าหาที่ใดไม่ได้เลย
ก็ลองไปขอพักอยู่กับเพื่อนสักคนหนึ่ง ถ้าคุณไม่รู้ว่าจะทำอะไรระหว่างช่วงเวลาเงียบ ๆ เช่นนี้ ลองอ่านบทต่าง ๆ ของหนังสือเล่มนี้ โดยเฉพาะบทที่ 17 “อยู่ในความเงียบ” และป้ายบอกทาง 4 “เวลาศักดิ์สิทธิ์ และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์” อาจช่วยให้คุณคิดออก

การฝึกวินัยอื่น ๆ
    คุณอาจไม่ชอบคำว่า “วินัย” นัก แต่วินัยเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง เราทุกคนจำเป็นต้องมีแนวทางในการดำรงชีพ ถ้าเราต้องการมีชีวิตที่เจริญรุ่งเรือง และวินัยก็เป็นรูปแบบหนึ่งของแนวทางที่เรากำหนดให้ตนเอง ในกรณีนี้ คุณอาจนำเครื่องมืออื่น ๆ มาช่วยในการเดินทางฝ่ายจิตของคุณ อาจเป็นการจดบันทึกเรื่องราวฝ่ายจิต หรือจัดงานระดมเงินทุนประจำปี หรือแม้แต่การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้เราเป็นบุคคลที่สมบูรณ์ในทุกด้าน
    ข้าพเจ้าหวังว่าคุณคงเห็นแล้วว่าข้าพเจ้าหมายถึงอะไรเมื่อกล่าวถึง
“กฎของชีวิต” กฎนี้เป็นเรื่องส่วนตัว ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละบุคคล และควรยากพอที่จะทำให้คุณต้องออกแรงพยายาม แต่ไม่ยากเกินไปจนทำให้คุณท้อถอย คุณจะเห็นได้ว่ากฎของชีวิตมีบางสิ่งบางอย่างที่เหมือนกับการออกกำลังกาย
    ข้าพเจ้ามีข้อแนะนำสามข้อ
•    ระบุเป็นลายลักษณ์อักษรว่ากฎของคุณคืออะไร เพราะจะทำให้คุณโกงได้ยากขึ้น
•    ทบทวนกฎของคุณทุกปี
•    อย่าทำ ถ้าคุณรู้สึกว่ากฎของคุณเหมือนกับข้อบังคับให้ต้องปฏิบัติ