แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

14. ภาวนาด้วยอารมณ์ – แบบนักบุญฟรังซิส
    อารมณ์เป็นส่วนหนึ่งที่ปกติ และจำเป็นสำหรับการเป็นมนุษย์ แต่ก็มีคนพูดกันว่า “คนอังกฤษดูเหมือนว่าไปวัดเหมือนกับไปห้องน้ำ เขาไปโดยไม่จู้จี้ และไม่ต้องบอกเหตุผล ถ้าเป็นไปได้” สัตบุรุษบางวัดดูเหมือนจะไม่ชอบถ้ามีใครแสดงท่าทีซาบซึ้งใจกับพิธีกรรม หรือกระตือรือร้น หรือหัวเราะ ซึ่งจะถือว่าอาการหนักที่สุด เกิดอะไรขึ้นที่นี่ พระเจ้าทรงเคร่งขรึมจนพระองค์ลืมไปแล้วหรือว่าทำไมพระองค์จึงทรงสร้างเราขึ้นมาให้มีอารมณ์ขัน พระเจ้าผู้ทรงสร้างตัวตุ่นปากเป็ด และตัวสล็อธที่มีนิ้วเท้าสามนิ้ว จะเคืองพระทัยหรือ ถ้าเรายิ้มด้วยความยินดีกับความคิดอันชาญฉลาดของพระองค์

    ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าคุยกับเพื่อนคนหนึ่งว่าคุณสมบัติข้อใดที่เราคิดว่ามีคุณค่าที่สุดในตัวคริสตชน และเราตัดสินว่าจะต้องเป็นอารมณ์อันร้อนแรง (passion) แน่นอน ถ้ามนุษย์มีอารมณ์รุนแรงในเรื่องความเชื่อ เมื่อนั้นไฟของเขายังไม่ดับ และพระเจ้ายังทรงป้วนเปี้ยนอยู่ในชีวิตของเขา แต่ถ้าเขากลายเป็นคริสตชนที่เฉื่อยชา และ “เดินสายกลางไปทุกเรื่อง” นั่นอาจหมายความว่า พระเจ้าทรงเป็นเหมือนเสือที่ถูกจับใส่กรง และตั้งทิ้งไว้กลางสวน
    นักบุญฟรังซิส แห่งอัสซีซี เป็นหนึ่งในบรรดาคริสตชนที่มีอารมณ์รุนแรงของโลก ไม่ว่าท่านจะตอบสนองต่อความงามของธรรมชาติ หรือต่อความรักของพระคริสตเจ้า หรือต่อความยากไร้ของขอทาน
ผู้น่าสงสาร ท่านตอบสนองอย่างเต็มที่ ฟรังซิสทุ่มให้สุดตัว อันที่จริง ท่านผลักดันตนเองมากเกินไป แต่ท่านรู้ว่าถ้าเขาถูกเผาในเปลวไฟเพราะท่านพยายามมอบทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ยังดีกว่ารอให้สนิมขึ้นเพราะไม่ได้ใช้ประโยชน์ เพราะไม่ยอมมอบอะไรเพื่ออะไรเลย
    พระพรอีกประการหนึ่งที่กระตุ้นให้เราตอบสนองอย่างลึกซึ้งคือความรัก การรู้ตัวว่ามีใครรักเราจะเปิดขุมทรัพย์มหึมาภายในใจของเรา ซึ่งส่งพลังออกมาตลอดชีวิตของเรา ฟรังซิส รู้ว่าพระเจ้าทรงรักท่าน เมื่อท่านเพ่งพินิจกางเขนของพระคริสตเจ้า และตอบสนองอย่างลึกซึ้งต่อความรักนั้น จนรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ของพระคริสตเจ้าปรากฏขึ้นบนร่างกายของท่านและความรู้สึกว่าตนเองได้รับความรักนี้เองที่ทำให้ฟรังซิส และคริสตชนอื่น ๆ จำนวนมากอุทิศชีวิตแสดงความรักต่อโลก
    ความรู้สึกพิศวง และความรัก เป็นเครื่องหมายสองประการของความเชื่อด้วยอารมณ์รุนแรง และเป็นสองประตูที่เปิดกว้างสำหรับการภาวนา

คำถาม
    เรากลัวที่จะแสดงอารมณ์เกี่ยวกับความเชื่อของเราหรือไม่ ถ้าเรากลัว ทำไมการแสดงอารมณ์จึงเป็นปัญหา เราไม่สามารถ “มอบทุกสิ่งเพื่อทุกสิ่ง” และรับรู้ว่าพระเจ้าทรงพอพระทัยหรือ

ลองทำดู
•    ยอมให้เวลาตนเอง เพื่อจะหยุดและมองดูสิ่งต่าง ๆ ที่สวยงาม อย่าลบห้วงเวลาอันน่าพิศวงนั้นทิ้งไป และให้หยุดพัก และชื่นชมประสบการณ์นั้น และขอบพระคุณพระเจ้า การทำเช่นนี้ได้ต้องอาศัยการฝึกฝน เมื่อเริ่มต้นแต่ละวัน ควรวิงวอนพระเจ้าให้ทรงช่วยให้คุณ “เห็น”
•    ตั้งกางเขนไว้ต่อหน้าคุณ และใคร่ครวญว่าพระเจ้าทรงแสดงความรักต่อตัวคุณอย่างไร หรือไตร่ตรองถ้อยคำของอิสยาห์ 43:1, 4 “เราได้เรียกเจ้าด้วยชื่อ เจ้าเป็นของเรา ... เจ้ามีค่าในสายตาของเรา และได้รับเกียรติ และเรารักเจ้า” ค่อย ๆ ไตร่ตรอง และให้ถ้อยคำนี้
จมลงในหัวใจของคุณ
•    ลองออกไปภาวนานอกบ้าน และโดยเฉพาะด้วยการสัมผัสอย่างใกล้ชิดกับโลกธรรมชาติ พินิจดอกไม้ ต้นไม้ และพุ่มไม้ที่เรา
มักมองข้าม ลองสัมผัสผิวของสิ่งต่าง ๆ และชีพจรชีวิตที่เต้นอยู่ผ่านทุกสิ่งทุกอย่างในธรรมชาติ และจงสำนึกในพระคุณของ
พระเจ้า คุณสามารถนำสิ่งต่าง ๆ เช่น ใบไม้ ก้อนหิน ไม้ เข้ามาในมุมภาวนาของคุณ เป็นสัญลักษณ์ของการสร้างสรรค์อย่างใจกว้างของพระเจ้า
•    คุณคงรู้จักคนจำนวนมากที่กำลังปวดร้าวใจเพราะสาเหตุบางอย่าง เช่น การเจ็บป่วย คนรักเสียชีวิต ความหดหู่ ความหงุดหงิด ความผิดพลาด และความอยุติธรรม ลองพาบางคน (อย่ามากคนนัก) เข้ามาในจินตนาการของคุณ และนำเขาไปที่เชิงกางเขน และนั่งลงพร้อมกับเขาที่นั่น จากนั้น ปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปตามกาลเวลา
•    เมื่อคุณเริ่มต้นภาวนา ให้วิงวอนขอสองสิ่งจากพระเจ้า คือ ความสุจริตใจ และความเชื่ออันร้อนรน จากนั้น ให้ภาวนาอย่างสุจริตใจ แสดงอารมณ์ที่เกิดจากความรักของคุณ หรือความโกรธ หรือความขัดเคืองใจ อย่าพยายามเป็น “คริสตชนที่ดี” ผู้พูดแต่สิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม แต่ปล่อยให้อารมณ์ของคุณหลั่งไหลออกมาขณะที่คุณภาวนา และแสดงความห่วงใยในตัวบุคคลต่าง ๆ ให้มากที่สุด

คำคม
    จงรักสิ่งสร้างทั้งปวงของพระเจ้า
    รักเม็ดทรายทุกเม็ดและทั้งเม็ด รักใบไม้ทุกใบ
    รักแสงสว่างของพระเจ้าทุกลำแสง
    รักสัตว์ รักพืช รักทุกสิ่งทุกอย่าง
    ถ้าคุณรักทุกสิ่งทุกอย่าง
    คุณจะเล็งเห็นธรรมล้ำลึกของพระเจ้า
    ในสิ่งต่าง ๆ และเมื่อคุณเล็งเห็นแล้ว
    คุณจะเริ่มเข้าใจสิ่งเหล่านี้ดีขึ้นทุกวัน
                    Destoevsky, The Brothers Karamazov

นักบุญฟรังซิส แห่งอัสซีซี
    ฟรังซิส เกิดเมื่อ ค.ศ. 1181 เป็นบุตรชายของพ่อค้าผ้าชาวอิตาเลียนที่ฐานะมั่งคั่ง เมื่อยังเป็นหนุ่มเขาใช้ชีวิตทางโลกเหมือนคนหนุ่มทั่วไป และถูกจับเป็นเชลยในสงครามท้องถิ่น หลังจากป่วยหนัก เขาได้ทบทวนชีวิตของเขา และกลับใจมาดำเนินชีวิตถือความยากจน และดูแลคนจน หลังจากต้องชดใช้เงิน เพราะเขาได้นำผ้าของบิดาไปขาย และเอาเงินมาใช้ในงานของเขา ฟรังซิสถอดเสื้อผ้าของเขาออกกลางตลาด และคืนให้บิดา เมื่อหลุดพ้นจากอดีต บัดนี้ เขาจึงเริ่มต้นงานในชีวิตของเขาได้ คือเทศน์สอนพระวรสาร และพยาบาลคนป่วย
    วิถีชีวิตอันร้อนรนของเขาทำให้มีคนจำนวนมากมาติดตามเป็นศิษย์ และเขารู้สึกว่ายากที่จะจัดระเบียบคณะนักบวชที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว เขาต้องการเพียงจะดำเนินชีวิตตามพระวรสารให้ใกล้เคียงที่สุดกับชีวิตของพระคริสตเจ้า และรักธรรมชาติ และสิ่งสร้างตามธรรมชาติ เพราะเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวของพระเจ้า ฟรังซิส อยู่ในฐานะสังฆานุกรตลอดชีวิตของเขา แต่เขาเคารพพระสันตะปาปา พระสังฆราช และคณะสงฆ์มาก

บทเพลงของตะวัน  (Canticle of the Sun)
    ขอสรรเสริญพระองค์ พระเจ้าของข้าพเจ้า
    สำหรับสิ่งสร้างทั้งปวงของพระองค์
    โดยเฉพาะดวงอาทิตย์ ผู้พี่ชาย  ผู้ทำให้เรามีกลางวัน และส่องสว่าง
    เขาช่างงาม และเจิดจรัส
    สะท้อนพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ พระเจ้าสูงสุด
    ขอสรรเสริญพระองค์ พระเจ้าของข้าพเจ้า
    สำหรับดวงจันทร์ ผู้พี่สาว และดวงดาวทั้งหลายบนท้องฟ้า
    ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา ให้แจ่มใส และมีค่า และสวยสง่า
    ขอสรรเสริญพระองค์ พระเจ้าของข้าพเจ้า สำหรับสายลม ผู้พี่ชาย
    และสำหรับอากาศ เมฆ อากาศที่สงบ และทุกสภาวะ
    ที่พระองค์ทรงใช้เลี้ยงดูสิ่งสร้างของพระองค์
    ขอสรรเสริญพระองค์ พระเจ้าของข้าพเจ้า
    สำหรับน้ำ ผู้พี่สาว ผู้มีประโยชน์มาก ถ่อมตน ล้ำค่า และบริสุทธิ์
    ขอสรรเสริญพระองค์ พระเจ้าของข้าพเจ้า
    สำหรับแม่ธรณี พี่สาวของเรา
    ผู้ค้ำจุน และปกครองเรา ผลิตผลไม้นานาพันธุ์
    ดอกไม้หลากสี และสมุนไพร ...
    ขอสรรเสริญ และถวายพรแด่พระเจ้าของข้าพเจ้า
    จงขอบพระคุณพระองค์
    และรับใช้พระองค์ด้วยความถ่อมตนอย่างยิ่งเถิด