เรามักพูดกับตนเองเสมอว่า
        ฉันควรจะสวดภาวนา          ฉันจำเป็นต้องภาวนา
        ฉันอยากภาวนา                แต่ฉันไม่รู้จะภาวนาอย่างไร
        ฉันอยากภาวนา                แต่ฉันไม่มีเวลา
        ฉันอยากภาวนามากกว่านี้    แต่ฉันว่าการภาวนาน่าเบื่อ
        ฉันไม่กล้าภาวนา

time-warp    ชั่วโมงแล้ว  ชั่วโมงเล่า  วันแล้ววันเล่า   สัปดาห์แล้วสัปดาห์เล่า   ผ่านไปอย่างรวดเร็ว  หรืออย่างเชื่องช้า  และตลอดเวลาที่เรารู้สึกถึงความต้องการในการภาวนานี้  ความรู้สึกไม่สบายลึก ๆ ในใจ  ที่จะลอยขึ้นมาเมื่อพายุแห่งชีวิตมาถึง  หรือเมื่อความล้มเหลวหรือการหกล้ม  ที่ทิ้งร่องรอยไว้กับเรา  และเราก็ร้องตะโกน  “ช่วยด้วย”

    ขณะที่เราแสวงหาพระเจ้า  เราต้องการพบพระองค์  เราวอนขอความช่วยเหลือจากพระองค์    เราพยายามที่จะภาวนา  บางครั้งเราประสบความสำเร็จในการภาวนา  แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเราและบางครั้งเราก็ไม่แน่ใจในผลของมัน

    เธอรู้ไหมว่าทำไมเราจึงรู้สึกถึงความต่ำต้อยของความพยายามของมนุษย์  เราสะดุดและหกล้ม  คำภาวนาของเราสั้นเกินไป  และไปไม่ถึงพระเจ้า  ผู้ทรงอยู่ห่างไกลและมองไม่เห็น

    เธอรู้ไหมว่าทำไมเราจึงห่อเหี่ยว  เมื่อการวอนขอของเราไม่ได้รับคำตอบ  เมื่อพระองค์ทรงเงียบและมีความมืดในดวงใจ

    เธอรู้ไหมว่าทำไมความพยายามในการภาวนาของเรา  เราไม่เคยก้าวหน้าเกินกว่าขั้นแรก

    เธอรู้ไหมว่าทำไมเราจึงทำอะไรซ้ำไปซ้ำมา  ทั้งวิธีการภาวนา  เช่น  บทภาวนาและบทสรรเสริญ  ที่คุ้นเคย  ไม่ว่าเราจะยืนคุกเข่าหรือนั่ง   พิธีกรรมหรือความรู้สึกร้อนรนเมื่อคนมากมายมาร่วมภาวนา  เทียนและกำยาน           บทภาวนาตามสูตรต่างๆ อีกนับพันที่เราพยายามสวด  บางครั้งกลับกลายเป็นภาพลวงที่โศกเศร้า  เพราะว่าทั้งหมดนี้จะปราศจากความหมาย  ถ้าเราไม่มีความเชื่อที่แท้จริงว่า  เป็นพระเจ้าที่แสวงหาเราก่อนที่เราจะแสวงหาพระองค์เสียอีก  เป็นพระองค์ที่ภาวนาถึงเราก่อนที่เราจะภาวนาถึงพระองค์  ว่าพระองค์รู้คำภาวนาของเราก่อนที่เราจะเรียบเรียงมันออกมาเสียอีก

    นักบุญยอห์น  บอกเราว่า  “ความรัก ไม่ใช่ที่เรารักพระองค์  แต่เป็นความรักที่พระองค์รักเราและส่งพระบุตรมา …”   (1 ยน. 4 : 10 )    คำกล่าวนี้  บอกเราว่า  พระเจ้าทรงรักโลกยิ่งนัก  จนถึงกับส่งพระบุตร  …  มาให้เรา  พระองค์มาอยู่กับเราตั้งนานมาแล้ว  พระองค์อยู่กับเราเสมอ  จวบจนวันสุดท้าย  ( มธ. 28 : 20 )    พระองค์เดินทางไปกับเรา  พระองค์ขอร้องให้เราทำงานพร้อมกับพระองค์และความรักของพระองค์  แต่ดวงตาของเรามืดมัว  และบ่อยครั้งที่เรามองหาพระองค์  “ในสวรรค์ “  ท่ามกลางเมฆหมอก  ของจินตนาการที่เราคิดค้นขึ้นมาจากอารมณ์และความรู้สึกและเมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น  เราก็อาจจะพลาดจำพระองค์ไม่ได้  เวลาที่พระองค์เสด็จผ่านมา

    เราเชื่อหรือไม่ว่าพระเจ้าประทับอยู่ท่ามกลางเรา  ในพระเยซูเจ้า  ผู้ทรงเป็นมนุษย์เหมือนเรา  เชื่อหรือไม่เชื่อ   ถ้าเราตอบว่าเชื่อ  ดังนั้นเราต้องพบพระองค์และต้อนรับพระองค์  และที่เราจะพบพระองค์ได้แน่นอนคือในพระวรสาร  ไม่ใช่เพียงพระวรสารที่บันทึกชีวประวัติและคำสั่งสอนของพระองค์  และแก่นของข่าวดีที่รวบรวมโดยบรรดาสาวก  นำมาพินิจรำพึงโดยกลุ่มคริสตชนดั้งเดิม  และทำให้เป็นจริงโดยพระศาสนจักร  พระเจ้าเข้ามาในการแสวงหากับมนุษย์ชายและหญิง  และคำตอบของพวกเขาก็คือพื้นฐานที่สำคัญของการภาวนา

    แต่พระเยซูเจ้าแห่งนาซาเร็ธ  ทรงสิ้นพระชนม์  และเราเชื่อว่าพระองค์กลับคืนชีพ  พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ในปัจจุบัน  สำหรับเรา  เรื่องของพระองค์ไม่ใช่เรื่องโบราณ  แต่เป็นเรื่องจริงที่ซ่อนอยู่และจะค่อย ๆ  เผยแสดงออกไปตามกาลเวลา  พระเยซูเจ้าทรงบังเกิด  มีชีวิต  ทนทรมาน  ตายและกลับคืนชีพอยู่ทุกวันในสมาชิกของพระองค์  ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดที่เล็กน้อยที่สุดของเราของพี่น้องชายหญิงของเรา   หรือจะเป็นประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ     ทั้งหมดนี้เป็นการพบปะและเสวนาระหว่างพระเจ้าและมนุษยชาติ

    อย่างไรก็ตาม  คนส่วนมากมักจะตาบอด  และมองไม่เห็นพระเยซูเจ้าในชีวิตประจำวันของเรา  เรามักจะหูหนวกและไม่ได้ยินคำท้าทายของพระองค์  เวลาเราทำงานประจำวัน  เราต้องวอนขอพระองค์รักษาความตาบอดและหูหนวกของเรา   แล้วเราจะได้สามารถพูดกับพระองค์   เชื่อมจักรวาลและมวลมนุษยชาติกับภารกิจของพระองค์ทีละเล็กทีละน้อย  ในโลกนี้ แล้วชีวิตเราจะค่อย ๆ กลายเป็นความรักที่ตอบสนองต่อความรักของพระองค์ที่เชื้อเชิญเรา

    เป็นความจริงที่มีวิธีภาวนามากมาย  - พิธีกรรม  ,  ศีลศักดิ์สิทธิ์  …. ,  แต่ถ้าการภาวนาของเราไม่ได้เชื่อมโยงกับพระวรสาร  เราก็เสี่ยงที่จะสิ้นสุดลงในหนทางแห่งความมืดที่นำเราไปสู่ภาพเพ้อฝัน   ข้าพเจ้าหวังว่าบทภาวนาที่เขียนขึ้นนี้จะช่วยพวกเราบางคนหลีกเลี่ยงอันตรายแบบนี้ได้

    จริง ๆ แล้ว  บรรดาผู้ที่อ่านคำภาวนาแห่งชีวิต  คอยถามอยู่เสมอถึงคำภาวนาเล่มใหม่  แต่ข้าพเจ้าก็ปฏิเสธ  เพราะข้าพเจ้า ไม่ปรารถนาที่จะทดแทนคำภาวนาของแต่ละคนด้วยคำภาวนาของข้าพเจ้าและหนังสือภาวนาก็มีอยู่มากมายแล้ว  ไม่จำเป็นต้องมีเล่มใหม่ก็ได้

    สุดท้าย  ข้าพเจ้าก็ยอมแพ้  เพราะข้าพเจ้าทราบดีว่าข้าพเจ้า ยังตอบแทนพวกท่านได้น้อยเหลือเกิน  เมื่อเทียบกับสิ่งที่ข้าพเจ้าได้รับจากพระองค์และจากพวกท่าน

    พระเยซูเจ้าทรงดึงดูดข้าพเจ้าและข้าพเจ้าพยายามจะติดตามพระองค์  พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าโดยทางพระวรสาร  และข้าพเจ้าก็เติบโตขึ้นโดยพระวาจา  แต่พระองค์ก็ตรัสกับข้าพเจ้าผ่านทางชีวิตที่ข้าพเจ้ามองเห็นรอบตัวข้าพเจ้า   ชีวิตที่ท่านเล่าให้ข้าพเจ้าฟัง “ข้าพเจ้า เก็บสิ่งต่างๆ  ไว้ในใจ”   คำพูดและคำภาวนาของข้าพเจ้า เป็นความพยายามตอบสนองพระองค์ด้วยความจริงใจ

    คำบางคำในบทภาวนาเหล่านี้เป็นของข้าพเจ้า  บางคำเป็นของพวกท่าน  และบางครั้งข้าพเจ้าก็จินตนาการว่าถ้าพระเยซูเจ้าจะตรัสกับเราอย่างไร ในเรื่องนั้นๆ  เราต้องเสี่ยงที่จะพูดแทนพระองค์  เพราะพระองค์ไม่มีทางอื่นใดที่จะตรัสกับเราในโลกที่ซับซ้อนนี้  และถ้าเราเต็มเปี่ยมไปด้วยพระวรสารและทัศนคติของเราก็จะเป็นทัศนคติของพระวรสาร  และเราก็สามารถถามตัวเราอย่างจริงใจได้ว่า  “วันนี้พระองค์ตรัสอะไรกับฉัน โดยทางชีวิตของฉันหรือผ่านทางชีวิตของพี่น้องชายหญิงของฉัน”    พระองค์คาดหวังอะไรจากเราและก็ขึ้นอยู่กับเราที่จะตอบพระองค์ผ่านทางคำภาวนาและการกระทำของเรา

    ข้าพเจ้าอยากนำเสนอคำพูดที่อ่อนหวานน่าฟัง  มีค่าต่อพระพักตร์และต่อหน้าท่าน    และต้องอาศัยเวลาและพรสวรรค์มากกว่าที่ข้าพเจ้าเขียนมานี้  เพื่อที่จะทำให้เหมาะสมก่อนที่จะนำเสนอต่อทุกคน  แต่ข้าพเจ้าก็ปลอบตนเองว่า  บทภาวนาเหล่านี้  เป็นเพียงหนทางบางสายที่จะช่วยผู้อื่นให้จาริกเดินทางต่อไปยังพระเจ้า  ผู้ที่มาประทับอยู่อย่างแท้จริง ในศูนย์กลางของชีวิตของเรา  ในพระบุคคลของพระเยซูเจ้า

    พระองค์ทรงคอยเราอยู่

    เดินทางปลอดภัย  เพื่อนรัก  และอย่าวุ่นอยู่กับการงานจนลืมมองหาพระองค์  จนกระทั่งจำพระองค์ไม่ได้  เวลาพระองค์ผ่านมา  ขอให้เราสนิทกับพระองค์  อาศัยชีวิตของเรา  ชีวิตของเพื่อนพี่น้องชายหญิง  และชีวิตของโลก   และประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ  ทั้งหมดนี้แหละจะกลับกลายเป็นคำภาวนาในองค์พระเยซูคริสต์

Michel  Quoist.