แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

    นักปราชญ์ท่านหนึ่งมีม้าวิเศษอยู่ตัวหนึ่ง มันเป็นม้าที่วิ่งได้เร็วกว่าม้าทั้งปวง และมีรูปร่างที่งามสง่าตามคุณลักษณะของม้าที่ดีทุกประการ ดังนั้นม้าตัวนี้จึงเป็นม้าที่หลายๆ คนต้องการ มีผู้คนมากมายเสนอเงินก้อนงามเพื่อซื้อม้าตัวนี้ แต่นักปราชญ์คนนี้ไม่ยอมขายม้าของตนให้กับใคร มีขุนนางคนหนึ่งอยากได้ม้าตัวนี้มาก เมื่อนักปราชญ์ไม่ยอมขาย ขุนนางผู้นี้จึงออกอุบายเพื่อเอาม้ามาเป็นของตน

    วันหนึ่งเมื่อนักปราชญ์กำลังขี่ม้าไปตามทาง เขาพบขอทานผู้หนึ่งนอนร้องครวญครางอยู่ข้างทาง  นักปราชญ์จึงหยุดม้าและลงไปดูอาการของขอทานผู้นั้น ขอทานขอร้องให้นักปราชญ์ช่วยเขา เพราะเขาไม่มีเรี่ยวแรงเนื่องจากอดอาหารมาหลายวันแล้ว  เมื่อเห็นชายขอทานมีความยากลำบาก นักปราชญ์ผู้มีน้ำใจจึงเข้าไปประคองขอทานผู้นั้นโดยมิได้นึกรังเกียจ เขาอุ้มขอทานขึ้นบนหลังม้าของเขา เมือชายขอทานขึ้นไปอยู่บนหลังม้าเรียบร้อยแล้ว เขารีบลุกขึ้นควบม้าออกไปทันที  เพราะที่จริงแล้ว ขอทานผู้นั้นก็คือสมุนที่ขุนนางใช้มาเพื่อขโมยม้าของนักปราชญ์
     ก่อนที่ชายผู้นั้นจะควบม้าออกไป นักปราชญ์ได้กล่าวขอร้องชายผู้นั้น ซึ่งน่าแปลกตรงที่ว่าเขาไม่ได้คิดถึงตัวของเขาเอง แต่กลับคิดถึงผู้อื่น นักปราชญ์ขอร้องชายผู้นั้นว่า อย่าได้ไปบอกใครว่าใช้วิธีอะไรจนได้ม้าตัวนี้มา นักปราชญ์ให้เหตุผลว่า เพราะถ้ามีใครรู้กลอุบายนี้ และบังเอิญเกิดมีใครล้มป่วยอยู่ข้างทางจริงๆ ก็จะไม่มีใครกล้าช่วยเหลือผู้เจ็บป่วยอีกต่อไป

ชวนคิดสะกิดใจ
     “เมื่อมาถึงสถานที่ที่เรียกว่าเนินหัวกระโหลก บรรดาทหารตรึงพระองค์ที่นั่นพร้อมกับผู้ร้ายสองคน คนหนึ่งอยู่ข้างขวา และอีกคนหนึ่งอยู่ข้างซ้าย พระเยซูเจ้าตรัสว่า “พระบิดาเจ้าข้า โปรดอภัยความผิดแก่เขาเถิด เพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร” (ลก 23:33-34) ผู้มีจิตใจสูงส่ง มักคิดถึงและเห็นใจผู้อื่นเสมอ แม้ตนจะอยู่ในความทุกข์หรือกำลังเผชิญกับความยากลำบาก