แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

III. ชาวยิวอยู่ในอันตราย


พระราชกฤษฎีกาให้ทำลายล้างชาวยิว
    7เดือนแรก คือเดือนนิสาน ปีที่สิบสองในรัชกาลกษัตริย์อาหสุเอรัส ฮามานสั่งให้จับสลากcเพื่อหาวันและเดือนที่จะต้องทำลายล้างชาวยิว สลากที่ออกมาคือวันที่สิบสี่d เดือนสิบสอง คือเดือนอาดาร์ 8ฮามานจึงทูลกษัตริย์อาหสุเอรัสว่า “มีชนชาติหนึ่งกระจายอยู่ในหมู่ประชาชนแคว้นต่างๆในอาณาจักรของพระองค์ แต่แยกตนจากชนชาติอื่น มีกฎหมายของตนแตกต่างจากกฎหมายของชนชาติอื่นและไม่ปฏิบัติตามกฎหมายของพระราชาe จึงไม่สมควรที่พระราชาจะทรงปล่อยเขาไว้เช่นนี้ 9ถ้าพระราชาพอพระทัย ขอทรงออกพระราชกฤษฎีกาให้ทำลายล้างเขา และข้าพเจ้าจะนำเงินหนักสามร้อยสี่สิบตันมาให้แก่ผู้บริหารราชการของพระราชาเพื่อเขาจะใส่ในพระคลังของพระองค์”
    10กษัตริย์จึงทรงถอดพระธำมรงค์ตราออกจากพระหัตถ์ ทรงมอบแก่ฮามาน บุตรของฮัมเมดาธา ชาวอากัก ศัตรูของชาวยิว 11และตรัสกับฮามานว่า “เงินนั้นเป็นของท่าน ส่วนประชาชนนั้น ท่านจงทำตามใจชอบเถิด”
    12วันที่สิบสามเดือนแรก ฮามานเรียกบรรดาอาลักษณ์มาเขียนพระราชกฤษฎีกาตามคำสั่ง ส่งไปยังผู้ว่าราชการภาค ผู้ว่าราชการแคว้น และเจ้านายของชนชาติต่างๆ บรรดาอาลักษณ์จึงเขียนพระราชกฤษฎีกาในพระนามของกษัตริย์อาหสุเอรัส ด้วยอักษรเป็นภาษาของชนชาตินั้นๆ และประทับตราด้วยพระธำมรงค์ของพระองค์ 13ผู้ถือสารนำพระราชสารเหล่านี้ไปยังแคว้นต่างๆทั่วพระราชอาณาจักร สั่งให้ทำลาย ประหาร และล้างเผ่าพันธ์ชาวยิวทั้งหมด ทั้งคนหนุ่มและคนชรา ทั้งเด็กและผู้หญิงในวันเดียวกัน คือวันที่สิบสี่เดือนสิบสอง คือเดือนอาดาร์ และให้ริบข้าวของของเขาด้วย
    (13A) ข้อความในพระราชสารมีดังนี้
    “กษัตริย์อาหสุเอรัสผู้ยิ่งใหญ่ เขียนถึงผู้ว่าราชการแคว้นทั้งหนึ่งร้อยยี่สิบเจ็ดแคว้น ตั้งแต่อินเดียจนถึงเอธิโอเปีย และถึงผู้ว่าราชการเขตที่ขึ้นอยู่กับแคว้นเหล่านี้ ดังนี้ว่า (13B) เราปกครองชนชาติมากมาย และมีอำนาจทั่วโลก เราตั้งใจจะไม่ถืออำนาจเป็นใหญ่ในการปกครอง แต่จะปกครองอย่างยุติธรรมและอย่างมีเมตตาตลอดเวลา ให้พลเมืองของเราอยู่เย็นเป็นสุข เราจะส่งเสริมความก้าวหน้าให้มีความปลอดภัยในการเดินทางทั่วราชอาณาจักร และฟื้นฟูสันติภาพที่ทุกคนปรารถนา  (13C)เราถามบรรดาที่ปรึกษาว่าจะบรรลุจุดประสงค์นี้ได้อย่างไร ฮามานซึ่งมีความรอบคอบอย่างเด่นชัดในหมู่ที่ปรึกษา มีความจงรักภักดีและซื่อสัตย์ต่อเราอย่างมั่นคง มีตำแหน่งเป็นที่สองรองจากเรา  (13D)ให้คำแนะนำเราว่าในหมู่ชนชาติทั้งหลายทั่วโลก มีชนชาติหนึ่งแทรกซึมเข้ามา เขาเป็นศัตรูกับทุกคน มีกฎหมายต่างจากชนชาติอื่นทุกชาติ เขามักละเมิดไม่ปฏิบัติตามพระราชกฤษฎีกา ขัดขวางมิให้เกิดความสามัคคีที่เรามุ่งมั่นไว้ให้เป็นผลสำเร็จในอาณาจักรของเรา”
(13E)“เมื่อเราเห็นว่าชนชาตินี้เป็นชนชาติเดียวที่ขัดแย้งกับชนชาติอื่นอยู่เสมอ เพราะเขาดำเนินชีวิตตามกฎหมายที่แตกต่างจากชาติอื่น ขัดขวางผลประโยชน์ของเรา และประกอบอาชญากรรมร้ายแรงที่สุดจนเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของอาณาจักร  (13F)เราจึงตราพระราชกฤษฎีกาว่าบุคคลที่มีชื่อระบุไว้ในจดหมายของฮามาน ซึ่งเราแต่งตั้งให้เป็นผู้บริหารราชการและเป็นเสมือนบิดาอีกคนหนึ่งของเรา จะต้องถูกศัตรูทำลายล้างด้วยคมดาบให้สิ้นซาก รวมทั้งบุตรและภรรยาอย่างไร้เมตตาในวันที่สิบสี่ เดือนสิบสอง คือเดือนอาดาร์ของปีนี้ (13G)เพื่อคนเหล่านี้ที่ต่อต้านเราทั้งในอดีตและปัจจุบัน จะถูกประหารชีวิตอย่างไม่ต้องปรานีภายในวันเดียว การปกครองอาณาจักรของเราจึงจะดำเนินไปอย่างมั่นคงและสงบสุขตลอดไป”
    14สำเนาของพระราชกฤษฎีกานี้จะต้องถูกนำไปประกาศในแต่ละแคว้น ให้ชนชาติทั้งหลายรับรู้และเตรียมพร้อมสำหรับวันนั้น 15บรรดาผู้ถือสารก็รีบปฏิบัติตามรับสั่งของกษัตริย์และประกาศกฤษฎีกานั้นในนครสุสาราชธานี กษัตริย์เสวยพระกระยาหารและทรงดื่มกับฮามาน แต่ชาวนครสุสามีความวุ่นวายใจมาก

ความพยายามของโมรเดคัยและพระนางเอสเธอร์ที่จะปกป้องชาวยิว
4    1เมื่อโมรเดคัยรู้เรื่องนี้ ก็ฉีกเสื้อผ้าของตนด้วยความทุกข์ สวมผ้ากระสอบ โปรยเถ้าบนศีรษะ แล้วออกไปเดินกลางเมือง ร้องไห้คร่ำครวญส่งเสียงดังอย่างขมขื่น 2เขามาถึงหน้าประตูพระราชวัง แต่เข้าไปข้างในไม่ได้ เพราะไม่มีอนุญาตให้ผู้ที่สวมผ้ากระสอบเข้าประตูพระราชวัง 3ในทุกแคว้นที่พระบัญชาของกษัตริย์และพระราชกฤษฎีกาไปถึง ชาวยิวไว้ทุกข์ใหญ่ จำศีลอดอาหาร ร้องไห้คร่ำครวญ หลายคนโปรยขี้เถ้าบนผ้ากระสอบใช้เป็นที่นอนa
    4เมื่อหญิงรับใช้และขันทีของพระนางเอสเธอร์มาทูลพระนางเรื่องนี้ พระราชินีทรงเป็นทุกข์ยิ่งนัก ทรงส่งเสื้อผ้าไปให้โมรเดคัยสวมแทนผ้ากระสอบb แต่เขาไม่ยอมรับ 5พระนางเอสเธอร์จึงทรงเรียกฮาธาค ขันทีคนหนึ่งซึ่งกษัตริย์ประทานให้คอยรับใช้พระนาง ตรัสสั่งให้ไปพบโมรเดคัยเพื่อถามว่าเกิดอะไรขึ้น และทำไมเขาจึงทำเช่นนี้ 6ฮาธาคออกไปพบโมรเดคัยที่ลานเมืองหน้าประตูพระราชวัง 7โมรเดคัยเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น บอกจำนวนเงินที่ฮามานสัญญาจะมอบแก่พระคลังของกษัตริย์เพื่อทำลายชาวยิว 8โมรเดคัยให้สำเนาพระราชกฤษฎีกาที่ออกในนครสุสาสั่งให้ทำลายชาวยิว เพื่อนำไปถวายพระนางเอสเธอร์ บอกให้พระนางทรงทราบเหตุการณ์ และกำชับให้พระนางเข้าเฝ้ากษัตริย์เพื่อทูลขอพระกรุณาแทนประชากรของพระนาง (8A)โมรเดคัยสั่งฮาธาคให้ทูลพระนางว่า “ขอพระนางทรงระลึกถึงวันที่พระนางยังทรงต่ำต้อย เมื่อข้าพเจ้าเคยเลี้ยงดูพระนาง เพราะฮามานผู้มีตำแหน่งรองจากกษัตริย์ทูลกษัตริย์กล่าวหาพวกเราให้ถูกประหารชีวิต (8B)ขอพระนางทูลอธิษฐานองค์พระผู้เป็นเจ้า และทูลกษัตริย์เพื่อพวกเรา โปรดทรงช่วยให้พวกเราพ้นจากความตายเถิด”c
    9ฮาธาคก็กลับไปทูลพระนางเอสเธอร์ตามที่โมรเดคัยบอกd 10พระนางเอสเธอร์ทรงสั่งฮาธาคให้ไปบอกโมรเดคัยว่า 11”ข้าราชบริพารทุกคนของกษัตริย์ และประชาชนในแคว้นต่างๆของพระองค์รู้ว่า ถ้าชายหรือหญิงคนใดเข้าเฝ้ากษัตริย์ที่พระราชฐานชั้นในโดยที่ไม่มีรับสั่ง จะต้องถูกประหารชีวิตตามกฎหมายที่มีผลบังคับใช้สำหรับทุกคน เว้นแต่กษัตริย์จะทรงยื่นพระคทาทองคำไปที่เขา เขาจึงจะรอดชีวิต แต่ข้าพเจ้า กษัตริย์ไม่ทรงเรียกให้เข้าเฝ้าสามสิบวันแล้ว”
12เมื่อโมรเดคัยรู้ถ้อยคำเหล่านี้ของพระนางเอสเธอร์ 13ก็ให้คนไปทูลพระนางว่า “พระนางอย่าทรงคิดว่าทรงอยู่ในพระราชวังแล้วจะรอดชีวิตต่างจากชาวยิวคนอื่น 14ถ้าพระนางทรงเงียบอยู่ในเวลานี้ ชาวยิวก็จะได้รับความช่วยเหลือและความรอดพ้นจากที่อื่นe แต่พระนางจะทรงพินาศพร้อมกับครอบครัวของบิดา อาจเป็นไปได้ว่าพระนางทรงได้รับตำแหน่งพระราชินีก็เพื่อช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้”
15พระนางเอสเธอร์ทรงสั่งคนไปบอกโมรเดคัยว่า 16”จงไปรวบรวมชาวยิวทุกคนที่อยู่ในนครสุสา จงจำศีลอดอาหารเพื่อข้าพเจ้า ไม่กินไม่ดื่มเป็นเวลาสามวันสามคืน ข้าพเจ้าและสาวใช้ก็จะจำศีลอดอาหารเช่นเดียวกันด้วย แล้วข้าพเจ้าจะเข้าเฝ้ากษัตริย์ แม้จะเป็นการละเมิดกฎหมาย ถ้าจะต้องตาย ข้าพเจ้าก็ยอม” 17โมรเดคัยก็ไปทำตามที่พระนางเอสเธอร์รับสั่งทุกประการ

คำอธิษฐานภาวนาของโมรเดคัยf
(17A)โมรเดคัยระลึกถึงพระราชกิจทั้งหลายที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำ และอธิษฐานภาวนาต่อพระองค์ว่า
    (17B)”ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า กษัตริย์ผู้ทรงสรรพานุภาพ
    ทุกสิ่งอยู่ในอำนาจของพระองค์
    ไม่มีผู้ใดอาจขัดขวางพระองค์ได้
    เมื่อทรงมีพระประสงค์จะช่วยอิสราเอลให้รอดพ้น

    (17C)พระองค์ทรงสร้างฟ้าดิน
    และสิ่งน่าอัศจรรย์ทั้งหลายที่อยู่ใต้ท้องฟ้า
    พระองค์ทรงเป็นเจ้านายของทุกสิ่ง
    ไม่มีผู้ใดจะต่อต้านพระองค์ได้
    (17D)พระองค์ทรงรอบรู้ทุกสิ่ง
    ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า
    พระองค์ทรงทราบว่าข้าพเจ้าไม่ยอมก้มกราบฮามานผู้ยโส
    มิใช่เพราะข้าพเจ้าจองหอง ทะนงตน หรืออวดดี
    ข้าพเจ้ายินดีจูบฝ่าเท้าของเขา
    เพื่อช่วยชาวอิสราเอลให้รอดพ้น

    (17E)แต่ข้าพเจ้าไม่ยอมก้มกราบฮามาน
    ก็เพราะข้าพเจ้าไม่ยอมให้เกียรติแก่มนุษย์
มากกว่าให้เกียรติแด่พระเจ้า
ข้าพเจ้าไม่ยอมก้มกราบผู้ใดนอกจากพระองค์
พระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้ากระทำเช่นนี้มิใช่เพราะความทะนงตน

(17F)บัดนี้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้า
กษัตริย์ พระเจ้าของอับราฮัม
โปรดทรงไว้ชีวิตประชากรของพระองค์ด้วยเถิด
เพราะศัตรูตั้งใจจะทำลายข้าพเจ้าทั้งหลาย
และปรารถนาที่จะทำให้มรดกของพระองค์ตั้งแต่แรกเริ่มต้องพินาศ
(17G)ขออย่าทรงมองข้ามผู้ที่เป็นส่วนมรดกของพระองค์
ซึ่งพระองค์ทรงปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากแผ่นดินอียิปต์
(17H)โปรดทรงฟังคำอธิษฐานภาวนาของข้าพเจ้าเถิด
โปรดทรงพระกรุณาต่อผู้ที่เป็นมรดกของพระองค์
โปรดทรงเปลี่ยนความทุกข์ให้เป็นความยินดี
ข้าพเจ้าทั้งหลายจะได้มีชีวิต ขับร้องสรรเสริญพระนามของพระองค์ต่อไป
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า
ขออย่าทรงปิดปากของผู้ที่สรรเสริญพระองค์เลย”

(17I)ชาวอิสราเอลทุกคนร้องตะโกนสุดกำลัง เพราะความตายอยู่ต่อหน้าเขา

คำอธิษฐานภาวนาของพระนางเอสเธอร์
(17K)พระราชินีเอสเธอร์ทรงเป็นทุกข์แทบจะสิ้นพระชนม์ จึงทรงแสวงหาความช่วยเหลือจากองค์พระผู้เป็นเจ้า พระนางทรงเปลื้องฉลองพระองค์ที่หรูหราออก แล้วทรงชุดไว้ทุกข์แสดงความโศกเศร้า ทรงโปรยขี้เถ้าและฝุ่นดินบนพระเศียรแทนเครื่องหอมมีค่า ไม่สนพระทัยที่จะประดับพระกายให้งดงามอย่างที่เคย แต่ทรงสยายพระเกศาให้ยุ่งเหยิง แล้วทรงอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอลว่า
    (17L)”ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า
    ข้าแต่พระมหากษัตริย์ของข้าพเจ้าทั้งหลาย
    พระองค์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นทรงเป็นพระเจ้า
    โปรดทรงช่วยเหลือข้าพเจ้าเถิด
    ข้าพเจ้าอยู่คนเดียว ไม่มีผู้ใดช่วยเหลือข้าพเจ้านอกจากพระองค์เท่านั้น
    ข้าพเจ้าทำลังเผชิญอันตรายเสี่ยงชีวิต
    
(17M)ตั้งแต่เป็นเด็ก ข้าพเจ้าเคยได้ยินจากบุคคลในครอบครัวg
เล่าว่าพระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า
 ทรงเลือกสรรชาวอิสราเอลจากชนชาติทั้งหลาย
ทรงเลือกบรรพบุรุษของข้าพเจ้าจากบรรพบุรุษของเขา
เป็นมรดกถาวรของพระองค์
พระองค์ทรงกระทำตามที่ทรงสัญญาไว้กับเขาทุกประการ

(17N)บัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ทำบาปผิดต่อพระองค์
พระองค์จึงทรงปล่อยให้ข้าพเจ้าทั้งหลายตกอยู่ในเงื้อมมือของศัตรู
เพราะข้าพเจ้าทั้งหลายไปกราบไหว้เทพเจ้าของเขา
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเที่ยงธรรม

(17O)แต่บัดนี้ บรรดาศัตรูยังไม่พอใจที่ได้กดขี่ข้าพเจ้าทั้งหลาย
ให้มีความขมขื่นที่ต้องเป็นทาส
แต่เขายังทำพันธสัญญากับรูปเคารพของตนhว่า
จะลบล้างพระสัญญาที่พระองค์ตรัสไว้
จะทำลายล้างผู้ที่เป็นมรดกของพระองค์
จะปิดปากผู้ที่สรรเสริญพระองค์
และขจัดพระสิริรุ่งโรจน์ให้หมดไปจากพระวิหารและพระแท่นบูชาของพระองค์
(17P)กลับจะทำให้ชนต่างชาติสรรเสริญรูปเคารพที่ไร้ค่า
จะยกย่องกษัตริย์ที่ตายได้ให้เป็นกษัตริย์นิรันดร

(17Q)ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า
โปรดอย่าทรงมอบอำนาจปกครองของพระองค์
ให้แก่สิ่งที่ไม่มีความเป็นอยู่เหล่านั้นเลย
    อย่าให้บรรดาศัตรูได้หัวเราะเยาะเพราะข้าพเจ้าทั้งหลายต้องพินาศ
    โปรดให้แผนการของเขากลับมาทำลายเขาเอง
    โปรดทรงลงโทษผู้ที่ริเริ่มเบียดเบียนข้าพเจ้าทั้งหลาย
    ให้เป็นตัวอย่างเถิด
    (17R)ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงระลึกถึงข้าพเจ้าทั้งหลายเถิด
    โปรดทรงสำแดงพระองค์ในเวลาที่ข้าพเจ้าทั้งหลายมีความทุกข์

    โปรดให้ข้าพเจ้ามีความกล้าหาญเถิด
ข้าแต่กษัตริย์ของบรรดาเทพเจ้า
พระองค์ทรงพระอานุภาพเหนือผู้มีอำนาจทุกคน
(17S)โปรดทรงใส่ถ้อยคำจูงใจไว้ในปากของข้าพเจ้า
เมื่อต้องเผชิญกับสิงโต
โปรดทรงเปลี่ยนใจของเขาให้เกลียดชังศัตรูที่ต่อสู้กับข้าพเจ้าทั้งหลาย
เพื่อเขากับพวกจะพินาศ

(17T)โปรดทรงช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายให้รอดพ้นอันตรายด้วยพระหัตถ์ของพระองค์
โปรดทรงช่วยเหลือข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าอยู่คนเดียว
ไม่มีผู้ใดช่วยเหลือนอกจากพระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า
(17U)พระองค์ทรงรอบรู้ทุกอย่าง
ทรงทราบว่าข้าพเจ้าชังเกียรติยศจากคนอธรรม
และรังเกียจการร่วมเตียงกับผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัด
และคนต่างชาติ
(17W)พระองค์ยังทรงทราบว่าข้าพเจ้าอยู่ในความคับขัน
ข้าพเจ้ารังเกียจเครื่องหมายแสดงเกียรติยศสูงสุด
ที่ข้าพเจ้าต้องสวมบนศีรษะเมื่อต้องแสดงตนในที่สาธารณะ
ข้าพเจ้ารังเกียจสิ่งเหล่านี้ประดุจรังเกียจผ้าสกปรก
ข้าพเจ้าไม่สวมใส่สิ่งเหล่านี้เมื่ออยู่เป็นส่วนตัว
(17X)ข้าพเจ้า ผู้รับใช้ของพระองค์ไม่เคยร่วมโต๊ะกับฮามาน
หรือร่วมงานเลี้ยงของกษัตริย์
ข้าพเจ้าไม่เคยดื่มเหล้าองุ่นที่รินถวายแด่เทพเจ้าแล้ว
(17Y)ตั้งแต่วันที่เปลี่ยนสภาพชีวิตจนกระทั่งบัดนี้
ผู้รับใช้ของพระองค์ไม่มีความยินดีอื่นใดนอกจากความยินดีในพระองค์
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอับราฮัม
    (17Z)ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงพลังเหนือทุกสิ่ง
    โปรดทรงฟังเสียงของผู้สิ้นหวัง
    และโปรดช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายให้พ้นจากอำนาจของคนชั่วร้าย
    โปรดช่วยข้าพเจ้าให้ชนะความกลัวด้วยเถิด”

พระนางเอสเธอร์ทรงเข้าเฝ้าโดยไม่มีรับสั่ง
5    1วันที่สามa เมื่อพระนางทรงอธิษฐานภาวนาจบแล้ว ทรงถอดเสื้อผ้าไว้ทุกข์ออก แล้วทรงฉลองพระองค์เต็มยศพระราชินี (1A)เมื่อทรงแต่งองค์สง่างามเช่นนี้แล้ว พระนางทูลขอพระเจ้าผู้ทรงดูแลทุกคน และทรงช่วยทุกคนให้รอดพ้น แล้วเสด็จไปกับหญิงรับใช้สองคน ทรงพิงพระวรกายที่บอบบางกับหญิงรับใช้คนหนึ่ง ส่วนอีกคนหนึ่งเชิญชายฉลองพระองค์ (1B)พระนางมีพระพักตร์งดงามเป็นสีชมพู สดชื่นน่ารัก แต่พระทัยหดหู่ด้วยความหวาดกลัว (1C)พระนางเสด็จผ่านประตูต่างๆเข้าไปจนประทับยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์ของกษัตริย์ พระองค์ประทับบนพระบัลลังก์ ทรงฉลองพระองค์เต็มยศ ประดับด้วยทองคำและเพชรมณีอันมีค่า พระพักตร์น่าเกรงขาม (1D)เมื่อกษัตริย์ทรงเงยพระพักตร์ที่สง่างามขึ้นทอดพระเนตรด้วยความกริ้ว พระราชินีทรงซวนเซจะล้มลง สีพระพักตร์เปลี่ยนเป็นซีดเผือด ทรงอิงพระเศียรลงบนบ่าของหญิงรับใช้ที่ตามเสด็จ (1E)แต่พระเจ้าทรงบันดาลให้พระทัยของกษัตริย์อ่อนโยน ทรงเป็นห่วงพระนาง รีบเสด็จลงจากพระบัลลังก์ ทรงประคองพระนางไว้ในพระพาหาจนพระนางได้พระสติ ตรัสปลอบโยนพระนางอย่างนุ่มนวลว่า (1F)”เป็นอะไรไป เอสเธอร์ ฉันเป็นพี่ที่รักของเธอ ทำใจให้ดีไว้ เธอจะไม่ต้องตาย เพราะกฎเกณฑ์ของเราใช้สำหรับสามัญชนเท่านั้น จงเข้ามาใกล้ๆเถิด” 2แล้วกษัตริย์ทรงยกพระคทาทองคำสัมผัสพระศอพระนาง ทรงกอดพระนางไว้แล้วตรัสว่า “จงพูดกับฉันซิ” (2A)พระนางทูลตอบว่า “ข้าแต่พระองค์ หม่อมฉันเห็นพระองค์เหมือนได้เห็นทูตสวรรค์ของพระเจ้า ใจของหม่อมฉันวุ่นวายเพราะกลัวพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ ข้าแต่พระองค์ พระองค์ทรงสง่างามอย่างน่าอัศจรรย์ พระพักตร์มีเสน่ห์น่าชมยิ่งนัก” (2B)ขณะที่กำลังตรัสเช่นนี้ พระนางก็ทรงเป็นลมไป กษัตริย์ทรงวุ่นวายพระทัย ข้าราชบริพารที่อยู่กับพระองค์ก็พยายามช่วยให้พระนางฟื้นขึ้น  3กษัตริย์ตรัสถามพระนางว่า “เรื่องอะไรกัน เอสเธอร์ ราชินีของฉัน เธอต้องการสิ่งใด แม้เธอจะขอครึ่งหนึ่งของราชอาณาจักร ฉันก็จะประทานให้” 4พระนางเอสเธอร์ทูลว่า “ถ้าพระองค์พอพระทัย โปรดเสด็จมาพร้อมกับฮามานในวันนี้เพื่อเสวยพระกระยาหารที่หม่อมฉันเตรียมไว้” 5กษัตริย์รับสั่งว่า “จงไปบอกฮามานให้รีบมาทำตามที่พระนางเอสเธอร์ทรงปรารถนา”
กษัตริย์จึงเสด็จกับฮามานไปในการเลี้ยงซึ่งพระนางเอสเธอร์ทรงเตรียมไว้ 6ขณะที่เสวยเหล้าองุ่น กษัตริย์ตรัสถามพระนางเอสเธอร์ว่า “เธอจะขอสิ่งใด เราก็จะให้ แม้เธอจะขอครึ่งหนึ่งของราชอาณาจักรของเรา เราก็จะให้” 7พระนางเอสเธอร์ทูลตอบว่า “คำร้องขอและความปรารถนาของหม่อมฉันคือ 8ถ้าหม่อมฉันเป็นที่โปรดปรานเฉพาะพระพักตร์ และพระองค์พอพระทัยที่จะประทานตามคำขอร้องและตอบสนองความปรารถนาของหม่อมฉัน ขอพระองค์เสด็จมาพรุ่งนี้พร้อมกับฮามานในการเลี้ยงซึ่งหม่อมฉันจะเตรียมไว้ และหม่อมฉันจะตอบตามที่พระองค์ทรงถาม”
9วันนั้นฮามานออกมาจากพระราชวังด้วยจิตใจชื่นบานและยินดี แต่เมื่อเขาเห็นโมรเดคัยที่ประตูพระราชวัง ไม่ยืนขึ้นหรือเคลื่อนไหวต่อหน้าเขา เขาก็โกรธโมรเดคัยอย่างยิ่ง 10แต่ฮามานก็อดกลั้นไว้ กลับไปบ้าน ส่งคนไปเรียกเพื่อนๆและเศเรชภรรยาของตน 11ฮามานเล่าให้เขาฟังถึงทรัพย์สมบัติมากมายที่ตนมี เล่าถึงบุตรจำนวนมากของตน เล่าถึงเกียรติยศที่กษัตริย์ประทานให้ตนมีตำแหน่งสูงกว่าเจ้านายและข้าราชบริพารคนอื่นๆของพระองค์ 12แล้วยังพูดเสริมว่า “แม้พระราชินีเอสเธอร์ก็ไม่เคยทรงเชิญผู้ใด นอกจากข้าพเจ้า ไปในการเลี้ยงพร้อมกับกษัตริย์ และพรุ่งนี้พระนางยังเชิญข้าพเจ้ากับกษัตริย์อีก 13แต่ทั้งหมดนี้ข้าพเจ้าก็ยังไม่พอใจ ตราบใดที่ข้าพเจ้ายังเห็นโมรเดคัยชาวยิวนั่งอยู่ที่ประตูพระราชวัง” 14เศเรชภรรยาของเขาและเพื่อนๆทุกคนจึงพูดว่า “จงเตรียมตะแลงแกงสูงห้าสิบศอกไว้ พรุ่งนี้เช้า จงทูลขอกษัตริย์ให้แขวนคอโมรเดคัยที่นั่น แล้วจงไปกินเลี้ยงกับกษัตริย์ด้วยจิตใจชื่นบานเถิด” ฮามานพอใจคำแนะนำนี้ จึงสั่งให้เตรียมตะแลงแกงไว้