020...ในขณะที่สังคมของเราชอบตั้งคำถามที่ดูโก้หรูเกี่ยวกับคุณค่าชีวิต ที่จริงคุณค่าของชีวิตจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ เรามองเห็นสิ่งอื่นๆ ที่มีค่ามากไปกว่าเงินทอง และอุทิศเวลาให้สิ่งนั้นตามสมควร

เราพบว่าคนในยุคปัจจุบันมีการศึกษาที่สูงขึ้น ทว่าการศึกษานั้นไม่ได้ช่วยให้เกิดความเฉลียวฉลาดในการดำรงชีวิตแต่อย่างใด

ยิ่งมีการศึกษาสูง ก็ยิ่งมีความต้องการมากขึ้นเป็นลำดับ ใครที่สนใจเรื่องหาเงินจะถูกยกย่องว่าเป็นผู้รักความก้าวหน้า ส่วนใครที่สนใจในเรื่องอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับเงินมักถูกตั้งคำถามจากสังคมว่าเป็นคนแปลกแยก

นิยามความหมายของคำว่า "ความสามารถ" จึงถูกจำกัด และชี้เป้าไปที่ตัวเงินมากขึ้นทุกที บริบทของสังคมได้สร้างกรอบความคิดผิดๆ ในตำราสอนว่า คนดีคือคนน่ายกย่อง แต่ในชีวิตจริง เรากลับเกรงใจคนรวยๆ มากกว่าคนดีๆ ด้วยเหตุผลอันใดไม่ทราบได้

ยุคสมัยนี้จึงเป็นยุคที่เราใช้การศึกษาเพื่อพอกพูนอัตตา มากกว่าที่จะใช้การศึกษาเพื่อทำความรู้จักตนเอง และนำมาซึ่งการใช้ชีวิตอย่างสร้างสรรค์ รู้จักแบ่งปัน เสียสละและทำเพื่อผู้อื่นอย่างแท้จริง

สถาบันการศึกษาต่างๆ ทุกวันนี้ เร่งผลิตมนุษย์วัตถุนิยมออกเพื่อแข่งกัน สู้กัน และฆ่ากัน รถยนต์ โทรศัพท์ กระเป๋า นาฬิกา เครื่องสำอางราคาแพง และคอร์สดูแลรักษาผิวพรรณ กลายเป็นของจำเป็นยิ่งกว่าข้าวปลาอาหาร ปลาทูตัวละสิบบาท แต่ครีมทาหน้ากระปุกละห้าพัน

เราบ่นกันเหมือนโลกจะแตก เมื่อไข่ไก่ขึ้นราคาหนึ่งบาท แต่เราสามารถควักเงินเป็นหมื่นๆเพื่อฉีดโบท็อกโดยไม่คิดอะไร กล่าวได้ว่าทุกวันนี้สิ่งไร้สาระได้เปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นสิ่งมีสาระไปแล้วในสามัญสำนึกของคนทั้งหลาย

คนที่พอจะรู้ตัวอยู่บ้าง ก็เริ่มอ่อนแรง ต้านกระแสสังคมไม่ไหว จำเป็นต้องไหลตามกระแสอันผิดพลาด ถูกดูดกลืนจิตวิญญาณไปในที่สุด เพราะไม่อยากเป็นคนผิดแปลกจากคนอื่นๆ เส้นทางที่ถูกต้องดีงาม จึงกลายเป็นเส้นที่อันโดดเดียวที่ต้องเดินไปด้วยความเงียบเหงา

ทุกคนเป็นทั้งเหยื่อ และผู้ประโคมความเชื่อแบบผิดๆ ในเวลาเดียวกัน อุดมคติของชีวิตดีงาม กลายเป็นเพียงสิ่งที่เราใช้พูดกับเมื่อถูกไมโครโฟนจ่อปาก เป็นคำพูดที่ใช้เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์มากกว่าจะใช้ดำเนินชีวิตจริง

ทุกวันนี้เราเริ่มเห็นอาชีพแปลกๆ ที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นในชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ เราเริ่มเห็นอาชีพนักธุรกิจในคราบคุณครู เห็นพ่อค้าในคราบคุณหมอ เห็นโจรในคราบนักการเมือง เห็นหมอผีในคราบนักบวช เห็นนักเลงในคราบนักเรียน เห็นคนขี้โกหกในคราบนักการตลาด

คำว่า "สันติภาพ" ถูกใช้เพื่อเป็นข้ออ้างในการทำสงคราม ส่วนพระธรรมถูกใช้ในการถกเถียงเชิงปรัชญามากกว่านำไปปฏิบัติเพื่อขัดเกลาตนเอง

นานวันเข้าเราหลงคิดว่า สิ่งเหล่านี้คือเรื่องธรรมดา คือความปกติ คือเรื่องที่ถูกต้อง เราเริ่มแยกความจริงกับความจำเป็นออกจากกัน ความจริงไว้ส่วนหนึ่ง และความจำเป็นไว้ส่วนหนึ่ง

เมื่อเราแยกความจริงออกจากชีวิตแล้ว ชีวิตของเราจึงไม่เหลือความจริงไว้เลย เราพ่นคำโกหกหน้าตาเฉยแล้วบอกกับใครๆ ว่ามันคือความจำเป็น เราทำผิดหน้าตาเฉยแล้วบอกใครๆว่า มันคือความอยู่รอด มันเกิดอะไรขึ้นกับสังคมของเรา!!!

การกระทำของเราย่อมส่งผลโดยตรงต่อสังคมของเรา อยากให้สังคมเปลี่ยน เราต้องเปลี่ยนตนเองก่อน เริ่มต้นวันนี้ หยุด สำรวจ และตั้งคำถามกับตนเองดูสิว่า ชีวิตที่ถูกต้องดีงามคืออะไรกันแน่

เราเกิดมาเพื่อสิ่งใด และจะใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อทำสิ่งใด
ชีวิตคือสิ่งมีค่าถ้าเราใช้ให้มีค่า
คนเราเกิดมามีค่าเหมือนกันแต่คุณค่าต่างกัน

จงตั้งสติ แล้วมองให้เห็นความจริง
อย่ากำหนดเป้าหมายด้วยความฉลาด
แต่จงกำหนดมันด้วยปัญญา

ปัญญาและความฉลาดนั้นต่างกัน
ปัญญาให้ความจริง ความฉลาดให้สิ่งเสมือนจริง

บางทีอาจถึงเวลาแล้วที่เราทั้งหลายจะตื่นจากการหลับไหล
ใช้ชีวิตอย่างผู้มีปัญญา โดยละทิ้งความฉลาดไว้เบื้องหลัง!!!...

- พศิน อินทรวงค์ -

ขออนุญาตนำมาแบ่งปันต่อนะครับ