old woman    บนภูเขาบาวาเรียนมีหญิงม่ายชราคนหนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง ในฤดูร้อนมีนักท่องเที่ยวมาเช่าห้องเล็กๆ ในบ้านของเธอ ที่กำแพงห้องพักของนักท่องเที่ยวมีกางเขนแขวนอยู่ มีรูปสมาชิก 3 คนในครอบครัวที่ทางเข้าบ้าน
    ในวันอาทิตย์นักท่องเที่ยวและหญิงม่ายชราไปที่วัดเล็กๆ ของหมู่บ้านเพื่อไปร่วมมิสซา เย็นวันหนึ่งขณะที่พวกเขานั่งดื่มเครื่องดื่มด้วยกัน นักท่องเที่ยวถามหญิงม่ายชราว่า “บุคคลที่อยู่ในภาพเป็นใคร” หญิงชราตอบว่า “รูปนี้เป็นรูปของสามีของฉัน เขาตกต้นไม้และเสียชีวิต ส่วนอีกสองรูปนี้เป็นรูปลูกชายสองคนของฉัน เขาตายในสงคราม”

    นักท่องเที่ยวรู้สึกสงสารหญิงม่ายและกล่าวกับเธอว่า “ผมขอแสดงความเสียใจกับคุณ แต่ช่วยบอกผมหน่อยเถอะว่า คุณดำเนินชีวิตอย่างดีในสถานการณ์ที่น่าเศร้านี้ได้อย่างไร”
    หญิงม่ายตอบว่า “เมื่อสามีของฉันเสียชีวิต ฉันรู้สึกเหมือนครอบครัวของฉันกำลังแตกสลาย ฉันรู้สึกผิดหวังต่อพระเจ้าและต่อเพื่อนมนุษย์ ฉันหยุดที่จะไปร่วมมิสซาที่วัด  ฉันคิดว่าฉันไม่สามารถสวดได้อีกต่อไปแล้ว หลังจากนั้นไม่นานลูกชายทั้งสองของฉันก็ตายในสงคราม ความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับฉันทำให้ฉันเสียความรู้สึกอย่างมาก ฉันดำเนินชีวิตไปวันๆ คล้ายกับหุ่นยนต์ตัวหนึ่ง วันหนึ่งมีช่างแกะสลักคนหนึ่งมาที่นี่ในฐานะนักท่องเที่ยวและได้มาพักในห้องที่คุณพัก เมื่อเขาได้รับรู้ถึงเรื่องราวอันน่าเศร้าในชีวิตของฉัน เขาแกะสลักรูปพระเยซูเจ้าถูกตรึงบนไม้กางเขน และติดไว้ที่กำแพง ขณะที่ฉันนั่งอยู่ต่อหน้าไม้กางเขน ในทันทีฉันมีความคิดว่า พระเยซูเจ้าทรงทนทุกข์ทรมานมากกว่าฉัน พระองค์ยังคงอยู่บนไม้กางเขนเพื่อร่วมทุกข์กับฉัน  ความคิดนี้ฝังลึกลงในดวงใจและจิตใต้สำนึกของฉัน ทีละเล็กทีละน้อย พละกำลังและความเข้มแข็งค่อยๆ กลับมาสู่ตัวฉันอีกครั้งหนึ่ง”
    “ทุกวันฉันนั่งอยู่ต่อหน้าพระเยซูเจ้าบนไม้กางเขน ฉันจ้องดูพระองค์และได้รับความบรรเทาใจ”

ชวนคิดสะกิดใจ
    นักบุญเปาโลหลังจากได้ผ่านประสบการณ์ในชีวิตมาอย่างมากมาย ท่านได้สอนเราว่า “พวกเราที่กำลังจะรอดพ้นเห็นว่าไม้กางเขนเป็นพระอานุภาพของพระเจ้า” (1คร 1:18)  เมื่อเรามองไม้กางเขนเราพบความรักและพระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระเยซูเจ้า พระมหาทรมานที่พระองค์ทรงยอมรับเพื่อกอบกู้มนุษย์ให้พ้นบาป เป็นอานุภาพและพลังแก่เราเมื่อเราต้องเผชิญกับความทุกข์และความยากลำบากในชีวิต