แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

chaiya1

วันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์


ข่าวดี    ลูกา 24:1-12
    (1)ตั้งแต่เช้าตรู่วันต้นสัปดาห์ บรรดาสตรีนำเครื่องหอมที่เตรียมไว้มาที่พระคูหา  (2)เขาพบว่าก้อนหินถูกกลิ้งออกไปจากพระคูหาแล้ว  (3)เมื่อเข้าไปในพระคูหาก็ไม่พบพระศพของพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า  (4)ขณะที่บรรดาสตรีประหลาดใจกับเหตุการณ์นี้ บุรุษสองคนสวมเสื้อที่เป็นประกายรุ่งโรจน์ยืนอยู่ใกล้ ๆ  (5)สตรีเหล่านั้นตกใจกลัวและก้มหน้าลงมองพื้นดิน แต่บุรุษทั้งสองคนพูดว่า ‘ทำไมท่านมองหาผู้เป็นในหมู่ผู้ตายเล่า (6)พระองค์มิได้ประทับอยู่ที่นี่ พระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว จงระลึกถึงพระวาจาที่พระองค์ตรัสกับท่านขณะที่ยังประทับอยู่ในแคว้นกาลิลี  (7)ว่า บุตรแห่งมนุษย์จำต้องถูกมอบในเงื้อมมือของคนบาป จะต้องถูกตรึงกางเขนและจะกลับคืนพระชนมชีพในวันที่สาม’  (8)บรรดาสตรีจึงระลึกถึงพระวาจาของพระองค์ได้
    (9)เมื่อกลับจากพระคูหาแล้ว บรรดาสตรีเล่าเรื่องทั้งหมดนี้ให้อัครสาวกสิบเอ็ดคนและกับศิษย์ทุกคน  (10)สตรีเหล่านี้คือมารีย์ชาวมักดาลา โยอันนา และมารีย์มารดาของยากอบ สตรีอื่น ๆ ที่ไปพร้อมกันก็ได้เล่าเรื่องนี้ให้อัครสาวกฟังด้วย  (11)แต่เขาคิดว่าถ้อยคำเหล่านี้เป็นเรื่องเหลวไหลและไม่เชื่อ
    (12)เปโตรวิ่งไปที่พระคูหา ก้มลงดู เห็นแต่ผ้าห่อพระศพเท่านั้น จึงกลับมาบ้านและประหลาดใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น



    “ตั้งแต่เช้าตรู่ วันต้นสัปดาห์ บรรดาสตรีนำเครื่องหอมที่เตรียมไว้มาที่พระคูหา” (ลก 24:1)
    “วันต้นสัปดาห์” คือ วันอาทิตย์
    เมื่อพวกนาง “เข้าไปในพระคูหาก็ไม่พบพระศพของพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า” (ลก 24:3) แต่กลับพบบุรุษสองคนสวมเสื้อเป็นประกายรุ่งโรจน์พูดกับนางว่า “พระองค์มิได้ประทับอยู่ที่นี่ พระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว” (ลก 24:6)
    นี่คือเหตุผลว่าทำไมคริสตชนจึงเฉลิมฉลองวันอาทิตย์ซึ่งเป็น “วันต้นสัปดาห์” เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุด นั่นคือ “การกลับคืนชีพของพระเยซูคริสตเจ้า”
    ต่างจากชาวยิวที่ฉลองวันสับบาโตอันเป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์ เพื่อระลึกถึงการพักผ่อนของพระเจ้าหลังจากทรงเนรมิตสร้างโลกเสร็จแล้ว
    
    ในแผ่นดินปาเลสไตน์ ชาวยิวนิยมห่อศพด้วยผ้าลินินก่อนวางบนเชิงหินในถ้ำ แล้วปิดปากถ้ำด้วยก้อนหินกลมคล้ายล้อเกวียน
    มีบางคนไม่ยอมรับว่าพระเยซูเจ้าทรงกลับคืนชีพ โดยอ้างว่ารายละเอียดเกี่ยวกับ “พระคูหาว่างเปล่า” ในพระวรสารแต่ละฉบับไม่เหมือนกัน ดังเช่น
    มาระโกเล่าว่า “ครั้นเข้าไปภายในพระคูหา สตรีทั้งสามคนเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งสวมเสื้อยาวสีขาวนั่งอยู่ด้านขวามือ ก็ตกตะลึง” (มก 16:5)
    ลูกาเล่าเรื่องเดียวกันว่า “ขณะที่บรรดาสตรีประหลาดใจกับเหตุการณ์นี้ บุรุษสองคนสวมเสื้อที่เป็นประกายรุ่งโรจน์ยืนอยู่ใกล้ ๆ” (ลก 24:4)
    ส่วนมัทธิวเปลี่ยนจากบุรุษเป็นทูตสวรรค์ว่า “บัดนั้นได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าลงจากสวรรค์เข้าไปกลิ้งหินออกและนั่งบนหินนั้น” (มธ 28:2)
    ที่สุดยอห์นเพิ่มจำนวนทูตสวรรค์เป็นสององค์ “นางก้มลงมองในพระคูหา ก็เห็นทูตสวรรค์สององค์สวมเสื้อขาวนั่งอยู่ตรงที่ที่เขาวางพระศพของพระเยซูเจ้าไว้ องค์หนึ่งนั่งอยู่ทางเบื้องพระเศียร อีกองค์หนึ่งนั่งอยู่ทางเบื้องพระบาท” (ยน 20:12)
    จะเห็นว่าสิ่งที่บรรดาสตรีได้พบเห็นเริ่มจากชายหนุ่มหนึ่งคน กลายเป็นบุรุษสองคน แล้วเปลี่ยนเป็นทูตสวรรค์หนึ่งองค์ และเพิ่มเป็นสององค์ในที่สุด
    ก่อนอื่น เราต้องยอมรับว่า มีความแตกต่างกันในรายละเอียดจริง !
     แต่เราเคยได้ยินคนสองคนเล่าเรื่องเดียวกันโดยไม่แตกต่างกันเลยบ้างไหม ?
     ยิ่งเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนอย่างเช่นการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้า  เมื่อเล่าจากปากหนึ่งสู่อีกปากหนึ่ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่านานถึง 30 ปีกว่าจะมีการบันทึกเป็นพระวรสารเล่มแรก  ลองคิดดูเถิดว่าจะมีการเพิ่มเติมสีสันเข้าไปมากน้อยสักเพียงใด !
ถึงแม้รายละเอียดจะต่างกัน  แต่ข้อเท็จจริงที่สอดคล้องตรงกันคือ พระคูหาว่างเปล่า
เพราะ พระเยซูคริสตเจ้าทรงกลับเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว !
คำบอกเล่าของบรรดาสตรีใจศรัทธา บวกกับการดำเนินชีวิตของพระศาสนจักรเริ่มแรก ทำให้ความจริงเรื่อง “การกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูคริสตเจ้า” น่าเชื่อถือชนิดปราศจากข้อสงสัยด้วยเหตุผลดังนี้คือ
    -    การหลอกลวงทำได้ยากเพราะบรรดามหาสมณะ พวกฟาริสีและธรรมาจารย์ ต่างเฝ้าจับตาดูอย่างใกล้ชิด
    -    บรรดาศิษย์ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการหลอกลวง  ตรงกันข้าม การเป็นพยานของพวกเขามีแต่จะทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกอยู่ในอันตราย
    -    ความร้อนรนในการประกาศข่าวดีถึงกับเอาชีวิตของตนเป็นเดิมพัน บ่งบอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องหลอกลวง แต่เป็นเรื่องจริง
    -    บรรดาผู้มีอำนาจของชาวยิวที่มีส่วนในการประหารชีวิตพระองค์ได้แต่นิ่งเงียบ พวกเขาไม่ได้ลงโทษทหารยามที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่  อีกทั้งไม่สามารถโต้แย้งคำสอนของบรรดาอัครสาวกนอกจากขู่  “เราต้องขู่เขา อย่าให้กล่าวถึงนามนั้นแก่ผู้ใด เพื่อเรื่องนี้จะได้ไม่เล่าลือแพร่หลายไปในหมู่ประชาชนมากยิ่งขึ้น” (กจ 4:17)
    -    ที่สุด ทั้งชาวยิวและคนต่างศาสนาจำนวนมากที่อาศัยอยู่ในโรม โครินธ์ เอเฟซัส ฟีลิปปี ฯลฯ พากันเชื่อคำยืนยันนี้ ทั้ง ๆ ที่ความเชื่อว่า “พระเยซูคริสตเจ้าทรงกลับคืนชีพ” มีแต่จะทำให้พวกเขาสูญเสียผลประโยชน์ทางโลก
    เราจึงเชื่อและวางใจได้เต็มเปี่ยมว่า พระเยซูคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพ จริง

    ขณะที่บรรดาสตรีกำลังประหลาดใจว่าพระศพของพระเยซูเจ้าหายไปได้อย่างไร  บุรุษสองคนสวมเสื้อที่เป็นประกายรุ่งโรจน์ปรากฏมายืนอยู่ใกล้ ๆ พูดว่า “ทำไมท่านมองหาผู้เป็นในหมู่ผู้ตายเล่า พระองค์มิได้ประทับอยู่ที่นี่ พระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว” (ลก 24:4-6)
“ทำไมท่านมองหาผู้เป็นในหมู่ผู้ตายเล่า ?”
    คำถามนี้น่าจะดังก้องอยู่ในจิตใจของเราทุกคน “เรายังคงหาพระเยซูเจ้าในหมู่ผู้ตายอยู่อีกหรือ ?”
    ที่ต้องตั้งคำถามเช่นนี้เพราะมีบางคนพยายามอ่านและศึกษาพระคัมภีร์อย่างละเอียดเพื่อจะได้รู้จักชีวประวัติของพระองค์ รวมถึงคำสอนทุกข้อและคำพูดทุกคำของพระองค์
     พวกเขาตรวจสอบและวิเคราะห์เรื่องราวของพระองค์อย่างละเอียด ไม่แตกต่างจากการศึกษาบุคคลสำคัญคนอื่น ๆ ในประวัติศาสตร์    
ดี...แต่ไม่พอ !
เพราะการศึกษาประวัติศาสตร์ก็คือการศึกษาเรื่องของ “คนที่ตายไปแล้ว”
ทำไมเราจึงมองหา “ผู้เป็น” ในหมู่ผู้ตายเล่า ?
พระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว  พระองค์ยังทรงชีวิตอยู่ !
พระองค์ทรงกลับคืนชีพไม่ใช่เพื่อให้เราศึกษาประวัติศาสตร์เกี่ยวกับพระองค์เพียงอย่างเดียว แต่ที่สำคัญเหนืออื่นใดคือเพื่อให้เรา “เจริญชีวิตร่วมกับพระองค์”
เพื่อจะเจริญชีวิตร่วมกับพระองค์ เราจำเป็นต้องเรียนรู้ว่าพระองค์ทรงมี “หัวจิตหัวใจ” เช่นใด
นี่คือเป้าหมายของการอ่านและศึกษาพระคัมภีร์ !

อีกประการหนึ่ง หลังกลับคืนพระชนมชีพ พระเยซูคริสตเจ้าทรงเป็น “ผู้เป็น” ที่ครบครันและเปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจสูงสุด  พระองค์สามารถช่วยเหลือ แนะนำ ประทานพลัง และเป็น “แบบอย่าง” เพื่อให้เราดำเนินชีวิตเหมือนพระองค์
    ต่างจาก “แบบอย่าง” อื่นอย่างเช่น นก
    เราเฝ้าดูแบบอย่างการบินของนกมานานนับพันปีเพื่อจะได้บินเหมือนนก  แต่ก็ต้องผิดหวัง  เพราะว่านกไม่มีฤทธิ์อำนาจที่จะช่วยให้เราบินเหมือนมันได้
    ตรงกันข้าม พระเยซูคริสตเจ้าผู้กลับคืนพระชนมชีพ ทรงเป็น “แบบอย่างชีวิต” ที่สามารถช่วยเหลือเราให้เจริญชีวิตแบบพระองค์ได้
    ขึ้นอยู่กับว่าเรายังเห็นพระองค์ทรงชีวิต และยอมให้พระองค์ช่วยเหลือเราหรือไม่ ?
    หากเราร่วมมือและร่วมชีวิตกับพระองค์มากเท่าใด เราจะยิ่งคิดเหมือนพระองค์ และปรารถนาเหมือนพระองค์ มากขึ้นเท่านั้น  !!
    การคิดเหมือนพระเจ้าและปรารถนาเหมือนพระเจ้า ก็คือการดำเนินชีวิตเหมือนพระเจ้า
    และการดำเนินชีวิตเหมือนพระเจ้าก็คือการเป็นสมาชิกของพระอาณาจักรสวรรค์ตั้งแต่บัดนี้ และในโลกนี้แล้ว !!!

    หากมีบางสิ่งบางอย่างขาดหายไปจากชีวิตของเรา สาเหตุคงเป็นเพราะเราแสวงหาพระเยซูคริสตเจ้าผู้ทรงชีวิตในท่ามกลางผู้ตายนั่นเอง !!