chaiya1

อาทิตย์ที่ 20 เทศกาลธรรมดา


ข่าวดี    ลูกา 12:49-53
    (49)‘เรามาเพื่อจุดไฟในโลก เราปรารถนาอย่างยิ่งที่จะให้โลกนี้ลุกเป็นไฟ  (50)เรามีการล้างที่จะต้องรับ และเราเป็นทุกข์กังวลใจอย่างมากจนกว่าการล้างนี้จะสำเร็จ
    (51)‘ท่านคิดว่าเรามาเพื่อนำสันติภาพมาสู่โลกหรือ มิได้ เราบอกท่านทั้งหลายว่า  เรานำความแตกแยกมาต่างหาก  (52)ตั้งแต่นี้ไป คนห้าคนในบ้านหนึ่งจะแตกแยกกัน  คนสามคนจะแตกแยกกับคนสองคน และคนสองคนจะแตกแยกกับคนสามคน  (53)บิดาจะแตกแยกกับบุตรชาย และบุตรชายจะแตกแยกกับบิดา มารดาจะแตกแยกกับบุตรหญิง และบุตรหญิงจะแตกแยกกับมารดา มารดาของสามีจะแตกแยกกับบุตรสะใภ้  และบุตรสะใภ้จะแตกแยกกับมารดาของสามี’



     นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่พระเยซูเจ้าทรงแสดงความจริงใจสูงสุดด้วยการบอกสิ่งที่จะเกิดขึ้นให้ผู้ที่คิดจะติดตามพระองค์ได้ทราบล่วงหน้า
     ความจริงใจของพระองค์คงทำให้ผู้ฟังจำนวนมากต้องตกตะลึง โดยเฉพาะชาวยิวที่เฝ้าคอยพระเมสสิยาห์มาเป็นเวลานาน  แต่แทนที่พวกเขาจะได้พบกับพระเมสสิยาห์ในฐานะกษัตริย์ผู้พิชิตโลกและนำยุคทองมาสู่พวกเขา  พวกเขากลับได้พบกับพระเมสสิยาห์ผู้ต้องทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสและนำความแตกแยกมาให้
    คริสตชนจำนวนไม่น้อยก็รู้สึกสะดุดใจเพราะเรื่องนี้
    กระนั้นก็ตาม ความทุกข์ทรมานและความแตกแยกคือ “กางเขน” ที่คริสตชนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้  เพราะศาสนาคริสต์คือศาสนาแห่ง “ไม้กางเขน”
    กางเขนแรกที่คริสตชนต้องเผชิญคือ “ไฟ”
    สำหรับชาวยิว สัญลักษณ์อย่างหนึ่งของ “ไฟ” คือ “การพิพากษา”  พวกเขาเชื่อมั่นว่าพระเจ้าจะทรงพิพากษาชาวยิวด้วยมาตรฐานที่เบากว่าชนชาติอื่น เพราะพวกเขาสืบเชื้อสายมาจากอับราฮัมผู้เปี่ยมด้วยความเชื่อในพระองค์
    แม้ว่าพระเยซูเจ้าจะทรงปฏิเสธความคิดของชาวยิวเรื่อง “ดับเบิลสแตนดาร์ด” (สองมาตรฐาน) และทรงเปิดหนทางสู่ความรอดด้วยมาตรฐานเดียวกันสำหรับชนทุกชาติ โดยจะทรงพิพากษาทุกคนด้วยมาตรฐานง่าย ๆ อย่างเช่น การให้อาหารผู้ที่หิวโหยกิน ให้น้ำผู้ที่กระหายดื่ม ให้เสื้อผ้า เยี่ยมคนป่วย คนคุก ดังปรากฏในคำอุปมาเรื่อง “การพิพากษาครั้งสุดท้าย” (มธ 25:31-46) แล้วก็ตาม
     แต่การพิพากษาก็ยังคงเป็นสิ่งที่เราทุกคนพากันหวาดกลัว และอยากให้ตัดออกไปจากสารบบข่าวดีของพระองค์อยู่นั่นเอง !
    อย่างไรก็ตาม แทนที่จะตัดการพิพากษาออกไป พระองค์กลับย้ำเตือนให้ทุกคนระลึกว่าพระองค์เสด็จมา “เพื่อจุดไฟในโลก” (ลก 12:49) หรือ “เพื่อพิพากษาโลก” นั่นเอง
    ถึงเราจะไม่ชอบการพิพากษา  แต่การพิพากษาก็มาถึงแล้วพร้อมกับการเสด็จมาของพระเยซูคริสตเจ้า !
    แล้วทำไมเราไม่ดำเนินชีวิตตามมาตรฐานที่จะทำให้การพิพากษาเป็นคุณแก่เราเสียตั้งแต่วันนี้เล่า ?!?
    กางเขนที่สองของคริสตชนคือ “ความแตกแยก”
    และที่ร้ายกาจหนักเข้าไปอีกก็คือ ความแตกแยกนี้ดันมาเกิดกับคนที่เรารักและผูกพันมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นความแตกแยกระหว่างพ่อแม่กับลูกชายลูกสาว  หรือระหว่างลูกสะใภ้กับพ่อแม่ของสามี ดังนี้เป็นต้น
    ความแตกแยกอันร้ายกาจปานนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร ?
    ชาวยิวปักใจเชื่อมานานแล้วว่าใน “วันของพระเจ้า” (The Day of the Lord) ซึ่งเป็นวันที่พระองค์จะเสด็จเข้ามาในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาตินั้น จะเกิดการแตกแยกขนานใหญ่ภายในครอบครัว  ดังที่พวกรับบีสอนว่า “เมื่อโอรสแห่งดาวิดเสด็จมา ลูกสาวจะแตกแยกกับแม่ ลูกสะใภ้จะทะเลาะกับแม่สามี  ลูกชายจะเหยียดหยามพ่อ  สมาชิกในบ้านจะเป็นศัตรูกัน”
    พระเยซูเจ้าทรงนำความคิดที่ผู้ฟังคุ้นเคยอยู่แล้วมาใช้ เพื่อบอกว่าโอรสแห่งดาวิดเสด็จมาแล้ว และพระอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงแล้ว
    อันที่จริง ความคิดของชาวยิวใช่ว่าจะไร้เหตุผลรองรับ เพราะยามเกิดเหตุการณ์ใหญ่ขึ้นครั้งใดย่อมต้องมีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและคัดค้าน  ฝ่ายที่ตอบรับและปฏิเสธควบคู่กันไปเสมอ
    เช่นเดียวกับการลงประชามติครั้งประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย ซึ่งย่อมต้องมีทั้งฝ่ายที่เห็นชอบและไม่เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550
    ไฉนเลยกับการเสด็จมาของพระเยซูคริสตเจ้า ผู้ทรงพลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ  พระองค์ย่อมต้องเผชิญหน้ากับโลกที่แบ่งเป็นสองฝ่ายอย่างแน่นอน นั่นคือฝ่ายที่ยอมรับพระองค์ และอีกฝ่ายหนึ่งที่ปฏิเสธพระองค์
    ต่อหน้าพระเยซูเจ้า เรามีเพียงสองทางเลือกคือ “รับ” หรือ “ปฏิเสธ” พระองค์ !
    แต่ที่น่าขมขื่นอย่างยิ่งก็คือ หลายครั้งอุปสรรคขัดขวางเราจากพระเยซูเจ้ามาจากคนในครอบครัวของเรานั่นเอง !
    เป็นไปได้ที่ชายคนหนึ่งจะรักภรรยาและครอบครัวมากจนปฏิเสธเสียงเรียกให้เสียสละรับใช้พระเจ้า หรือให้ทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อประเทศชาติและส่วนรวม
    เขาปล่อยให้ความผูกพันส่วนตัวมา “ยึดเหนี่ยว” เขาไว้จากพระเจ้า
    นี่คือ “กางเขน”  ที่ทำให้เราต้องตัดสินใจเลือกระหว่าง “ผู้ใกล้ชิดที่สุดในโลกนี้” กับ “ความสัตย์ซื่อต่อพระเยซูเจ้า” !!
    ยอห์น บันยาน (John Bunyan : 1628-1688) นักเทศน์และนักเขียนชาวอังกฤษ เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้ลิ้มรสความขมขื่นของ “กางเขนแห่งการเลือก” ระหว่างครอบครัวอันเป็นที่รักกับการประกาศข่าวดีของพระเยซูเจ้า
    ขณะถูกจำคุกเพราะประกาศข่าวดีโดยไม่ได้รับอนุญาต  สิ่งเดียวที่รบกวนจิตใจของบันยานมากที่สุดคือผลกระทบที่จะเกิดกับภรรยาและลูกหากขาดหัวหน้าครอบครัว  เขาบันทึกไว้ว่า “การต้องพลัดพรากจากภรรยาและลูก ๆ ที่น่าสงสารช่างเจ็บปวดรวดร้าวราวกับกระดูกถูกชักออกจากเนื้อ  ไม่ใช่เพราะข้าพเจ้ารักพวกเขามากเท่านั้น  แต่เพราะข้าพเจ้าอดคิดถึงความยากลำบากและขัดสนที่พวกเขาจะต้องประสบไม่ได้ โดยเฉพาะลูกที่ตาบอดและน่าสงสาร  ยิ่งคิดถึงเขาหัวใจของข้าพเจ้ายิ่งแตกเป็นเสี่ยง ๆ... ข้าพเจ้าพยายามเตือนสติตนเองว่าพระเจ้าจะทรงดูแลพวกเขา  ส่วนข้าพเจ้าต้องประกาศข่าวดี  ข้าพเจ้าต้องประกาศข่าวดี” !
    เหตุการณ์เช่นนี้คงไม่เกิดขึ้นบ่อยนักก็จริง  แต่ความจริงที่ยังคงดำรงอยู่จนถึงทุกวันนี้และจะยังคงดำรงอยู่ตลอดไปก็คือ “ความซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าต้องมาเหนือสิ่งอื่นใด” !!
    บางคนอาจสงสัยว่า ทำไมพระเยซูเจ้าจึงทรงเรียกร้องมากปานนี้ ?!?
    คำตอบคือ เพราะพระองค์ทรงรักเรามาก  ทรงปรารถนาให้เรามีชีวิตเหมือนพระองค์ จะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์เช่นเดียวกับพระองค์ !!!
    ที่สำคัญ พระองค์ไม่เพียงเรียกร้องด้วยคำพูดเท่านั้น แต่ทรงดำเนินชีวิตเป็นแบบอย่างแก่เราอีกด้วย
    พระองค์ตรัสว่า “เรามีการล้างที่จะต้องรับ และเราเป็นทุกข์กังวลใจอย่างมากจนกว่าการล้างนี้จะสำเร็จ” (ลก 12:50)
    คำ “ล้าง” ตรงกับภาษากรีก baptizein (บัพตีเซน) ซึ่งมีความหมายตามตัวอักษรว่า “จุ่ม” และหมายถึง “จม” เมื่อเป็นผู้ถูกกระทำ (passive voice)
    นิยมใช้ในความหมายเชิงอุปมา เช่น เรือจมใต้คลื่น (ยังไม่จมจริง)  เมาหัวราน้ำ (จมอยู่กับการดื่ม)  จมอยู่กับตำรา ฯลฯ  ที่สำคัญ คำนี้นิยมใช้กันมากกับคนที่ “จม” อยู่ในความทุกข์ยากหรือประสบการณ์อันน่าสยดสยองและน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
    ประสบการอันน่าสยดสยองนี้เองทำให้พระองค์ทรง “เป็นทุกข์กังวลใจอย่างมาก” (ข้อ 50) เพราะสิ่งที่พระองค์กำลังจะต้อง “จุ่ม” และ “จม” ลงไปคือ “พระมหาทรมานและการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน”
    เป็น “กางเขน” ที่ทำให้พระองค์เป็นทุกข์กังวลใจจนกว่าพระองค์จะได้ “จุ่ม” และ “จม” อย่างผู้มีชัยอีกครั้งหนึ่งเมื่อทรงกลับเป็นขึ้นมาจากความตายอย่างรุ่งโรจน์
    “กางเขน” คือหนทางสู่ “พระสิริรุ่งโรจน์”
    ศาสนาคริสต์จึงเป็นศาสนาแห่ง “กางเขน” ด้วยประการฉะนี้
    ในเมื่อพระเยซูเจ้ายังทรงเลือกหนทางของกางเขน แล้วเราจะเลือกหนทางใด ???