แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

chaiya1

ฉลองพระเยซูเจ้าทรงประจักษ์พระวรกาย


ข่าวดี    มาระโก 9:2-10
พระเยซูเจ้าทรงแสดงพระองค์อย่างรุ่งโรจน์
(2)ต่อมาอีกหกวัน พระเยซูเจ้าทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นขึ้นไปบนภูเขาสูงตามลำพัง แล้วพระวรกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าเขา  (3)ฉลองพระองค์กลับมีสีขาวเจิดจ้า ขาวผ่องอย่างที่ไม่มีช่างซักฟอกคนใดในโลกทำให้ขาวเช่นนั้นได้  (4)แล้วประกาศกเอลียาห์กับโมเสสแสดงตนสนทนาอยู่กับพระเยซูเจ้า  (5)เปโตรจึงทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ที่นี่สบายน่าอยู่จริง ๆ เราจงสร้างเพิงขึ้นสามหลังเถิด หลังหนึ่งสำหรับพระองค์ หลังหนึ่งสำหรับโมเสส อีกหลังหนึ่งสำหรับประกาศกเอลียาห์”  (6)เขาไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไรเพราะศิษย์ทั้งสามคนต่างตกใจกลัว  (7)ครั้นแล้วเมฆก้อนหนึ่งลอยมาปกคลุมเขาไว้ มีเสียงหนึ่งออกมาจากเมฆก้อนนั้นว่า “ผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเรา จงฟังท่านเถิด”  (8)ทันใดนั้น ศิษย์ทั้งสามคนเหลียวมองรอบ ๆ ไม่เห็นผู้ใดอยู่กับตนนอกจากพระเยซูเจ้าเท่านั้น
(9)ขณะที่กำลังลงจากภูเขา พระองค์ตรัสสั่งเขามิให้เล่าเหตุการณ์ที่เห็นให้ผู้ใดฟัง จนกว่าบุตรแห่งมนุษย์จะกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย  (10)ศิษย์ทั้งสามคนเก็บเรื่องนี้ไว้ไม่บอกใครแต่ยังปรึกษากันว่า “จนกว่าจะกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย” นี้ หมายความว่าอย่างไร



“ต่อมาอีกหกวัน” ตามพระวรสารของมาระโก (มก 9:2) หรือ “ประมาณแปดวัน” ตามลูกา (ลก 9:28) ล้วนเป็นสำนวนที่มีความหมายเดียวกันคือ “ประมาณหนึ่งสัปดาห์” โดยนับจากเหตุการณ์ที่เมืองซีซารียาแห่งฟิลิปซึ่งเปโตรได้ประกาศความเชื่อว่า “พระองค์คือพระคริสตเจ้า” (มก 8:29) และพระองค์ได้ทรงทำนายถึงพระทรมานเป็นครั้งแรก
ที่สำคัญคือ พระองค์ไม่เพียงทำนายเท่านั้น แต่ทรงมุ่งหน้าสู่กรุงเยรูซาเล็มเพื่อรับการทรมานและถูกตรึงตายบนไม้กางเขน ซึ่งถือว่าเป็นจุดสุดยอดแห่งภารกิจของพระองค์
เพื่อให้แน่ใจว่าพระองค์กำลังเดินมาถูกทางแล้ว พระองค์จึงพาศิษย์ 3 คนขึ้นภูเขาสูง “เพื่ออธิษฐานภาวนา" (ลก 9:28) ขอความเห็นชอบจากพระบิดา
    เคยเชื่อกันว่า “ภูเขาสูง” นี้คือภูเขาทาบอร์ (Tabor) เพราะมีการเอ่ยถึงภูเขาลูกนี้ในหนังสือเพลงสดุดี “ภูเขาทาบอร์และเฮอร์โมนก็โห่ร้องสรรเสริญพระนามของพระองค์” (สดด 89:12)
แต่ข้อเท็จจริงคือภูเขาทาบอร์ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของแคว้นกาลิลี ในขณะที่เมืองซีซารียาแห่งฟิลิปอยู่เหนือแคว้นกาลิลีขึ้นไปอีกประมาณ 40 กิโลเมตร  ระยะทางโดยรวมจึงไกลเกินกว่าจะเดินทางได้ภายในเวลา “ประมาณหนึ่งสัปดาห์”  อีกทั้งในสมัยพระเยซูเจ้า ยอดเขาทาบอร์ยังเป็นที่ตั้งของค่ายทหาร จึงไม่น่าจะเหมาะสมสำหรับการแสดงพระองค์อย่างรุ่งโรจน์ด้วยประการทั้งปวง
ปัจจุบันสันนิษฐานกันว่า “ภูเขาสูง” นี้คือภูเขาเฮอร์โมน (Hermon) ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองซีซารียาแห่งฟิลิปเพียง 22 กิโลเมตร และสูงมากถึง 3,352 เมตร  ผิดกับภูเขาทาบอร์ซึ่งสูงเพียง 300 เมตรเศษ จึงไม่ใช่ “ภูเขาสูง” อย่างแท้จริง
    เนื่องจากภูเขาสูงมาก ต้องใช้เวลาเดินทางอย่างน้อย 5 ชั่วโมงกว่าจะถึงยอดเขา และบนยอดเขาเองก็มีอากาศเบาบางมากจนทำอะไรแทบไม่ได้เลย  จึงสันนิษฐานกันว่าพระองค์ทรงแสดงพระองค์อย่างรุ่งโรจน์ ณ ลาดเขาแห่งใดแห่งหนึ่งของภูเขาลูกนี้

    การแสดงพระองค์อย่างรุ่งโรจน์ครั้งนี้มี “ความหมาย” ทั้งต่อตัวพระเยซูเจ้าเอง และต่อบรรดาศิษย์ของพระองค์
    เนื่องจากพระเยซูเจ้ากำลังมุ่งหน้าไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อรับการตรึงกางเขน  พระองค์ต้องการทราบว่า “นี่เป็นน้ำพระทัยของพระบิดาจริงหรือไม่ ?”
คำตอบที่พระองค์ได้รับคือ
    1.    “ประกาศกเอลียาห์กับโมเสสแสดงตนสนทนาอยู่กับพระเยซูเจ้า” (ข้อ 4)
        เอลียาห์เป็นประกาศกองค์แรกและเป็นองค์ที่ชาวอิสราเอลถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุด  ส่วนโมเสสเป็นเสมือนผู้ก่อตั้งชาติอิสราเอล และเป็นผู้บัญญัติกฎหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเช่นกัน
        ลูกาเล่าว่าเนื้อหาของการสนทนาคือเรื่อง “การจากไปของพระองค์ที่กำลังจะสำเร็จในกรุงเยรูซาเล็ม” (ลก 9:31)
     “การจากไป” ตรงกับภาษากรีก exodos (เอกซ์ซอดอส) และตรงกับภาษาอังกฤษ exodus
        คำ exodus มีความหมายลึกซึ้งทางศาสนา เพราะเป็นการเดินทางผจญภัยของชนชาติหนึ่งที่มอบความวางใจทั้งหมดไว้ในพระเจ้า แล้วออกเดินทางจากแผ่นดินอียิปต์ที่อุดมสมบูรณ์ มุ่งหน้าสู่ถิ่นทุรกันดารในทะเลทรายที่ไม่มีใครรู้จัก  จนในที่สุดพระองค์ทรงนำพวกเขาเข้าสู่แผ่นดินแห่งพระสัญญา
        พระเยซูเจ้ากำลังทำ exodus โดยมุ่งหน้าสู่กรุงเยรูซาเล็มและไม้กางเขน !!!
         แม้จะมีกางเขนรออยู่เบื้องหน้า แต่การสนทนากับโมเสสและเอลียาห์ ทำให้พระองค์มั่นพระทัยว่า หลัง exodus ยังมีแผ่นดินแห่งพระสัญญาฉันใด  หลังสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ยังมีความรุ่งโรจน์แห่งการกลับคืนชีพรอคอยพระองค์อยู่ฉันนั้น
        เท่ากับว่าบุคคลที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาวอิสราเอล ได้ยืนยันกับพระองค์ว่า “ทรงมาถูกทางแล้ว”
    2.    “ครั้นแล้วเมฆก้อนหนึ่งลอยมาปกคลุมเขาไว้” (ข้อ 7)
        นอกจากคำยืนยันของสองผู้นำชาวอิสราเอลแล้ว ยังมี “เมฆก้อนหนึ่งลอยมาปกคลุมเขาไว้” และมีเสียงหนึ่งออกมาจากเมฆก้อนนั้นว่า “ผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเรา จงฟังท่านเถิด”  
        สำหรับชาวยิว “เมฆ” หมายถึง “พระเจ้า” นั่นเอง !
         ระหว่างการอพยพออกจากอียิปต์ “ในเวลากลางวัน พระยาห์เวห์เสด็จนำหน้าเขาเหมือนเสาเมฆเพื่อชี้ทาง” (อพย 13:21)  นอกจากนั้น “พระยาห์เวห์เสด็จมาในเมฆ” เพื่อประทานศิลาจารึกพระบัญญัติเป็นครั้งที่สอง (อพย 34:5)  อีกทั้งทรงเสด็จมาที่สักการสถานโดย “เมฆปกคลุมกระโจมนัดพบ และพระสิริรุ่งโรจน์ของพระยาห์เวห์อยู่เต็มกระโจมที่ประทับ” (อพย 40:34)
        เท่ากับว่า พระเจ้าทรงเสด็จมาตรัสกับบุตรสุดที่รักของพระองค์เองว่า “ท่านกำลังทำเยี่ยงบุตรสุดที่รักของเราพึงกระทำ จงเดินหน้าต่อไปเถิด”
        บัดนี้คำภาวนาของพระองค์ได้รับการตอบสนองแล้ว  พระองค์มั่นใจเต็มร้อยว่า “กางเขน” คือน้ำพระทัยของพระบิดาเจ้าจริง ๆ !!!
        บนภูเขาสูงนี้ ชีวิตภายในของพระเยซูเจ้าได้บรรลุถึงขั้นสมบูรณ์สูงสุด เพราะพระองค์สามารถน้อมรับน้ำพระทัยของพระบิดาเจ้าได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ แม้จะต้องถูกตรึงตายบนไม้กางเขนก็ตาม  

    สำหรับชาวยิว พระเมสสิยาห์คือผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์ดาวิดผู้เกรียงไกร ซึ่งจะเสด็จมานำพากองทัพของพวกเขาปราบปรามและทำลายล้างศัตรูทั่วพิภพเพื่อเป็นการแก้แค้น และทำให้ชนชาติยิวกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง    
เมื่อพระเยซูเจ้าทรงตรัสทำนายถึงพระทรมาน จิตใจของพวกศิษย์จึงห่อเหี่ยวอย่างยิ่ง  พวกเขาทั้งงงและผิดหวังที่พระองค์ผู้ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ของพวกเขากำลังมุ่งหน้าสู่กรุงเยรูซาเล็ม เพื่อรับการทรมานและสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน
    แต่บนภูเขาแห่งการแสดงพระองค์อย่างรุ่งโรจน์นี้เอง ที่บรรดาศิษย์ได้เห็น “พระวรกายของพระองค์เปลี่ยนไป” และ “ฉลองพระองค์กลับมีสีขาวเจิดจ้า ขาวผ่องอย่างที่ไม่มีช่างซักฟอกคนใดในโลกทำให้ขาวเช่นนั้นได้”
    สิ่งนี้ช่วยทำให้จิตใจของบรรดาศิษย์ทุกคนชุ่มชื่นขึ้น  เพราะพวกเขามองเห็นความรุ่งโรจน์ของพระวรกายที่จะตามมาหลังจากความทุกข์ยากแห่งไม้กางเขนผ่านพ้นไปแล้ว
     พวกเขามองเห็น “ชัยชนะผ่านทางไม้กางเขน” และตระหนักว่า No Cross No Crown !
    นอกจากสิ่งที่เห็นแล้ว พวกเขายังได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้ายืนยันว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็น “บุตรสุดที่รัก” ของพระองค์และทรงกำชับพวกเขาว่า “จงฟังท่านเถิด” (ข้อ 7)
    
“ขณะที่กำลังลงจากภูเขา พระองค์ตรัสสั่งเขามิให้เล่าเหตุการณ์ที่เห็นให้ผู้ใดฟัง จนกว่าบุตรแห่งมนุษย์จะกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย” (ข้อ 9)
พระองค์จำเป็นต้องตรัสสั่งเช่นนี้เพราะชาวยิวยังเข้าใจความหมายของคำ “พระเมสสิยาห์” ไม่ถูกต้อง  หากพวกเขารู้ว่าทั้งพระเจ้าและบุคคลสำคัญระดับโมเสสและเอลียาห์ เสด็จมาสนทนากับพระองค์ พวกเขาคงแต่งตั้งพระองค์เป็นกษัตริย์  และเมื่อนั้นความวุ่นวายทางการเมืองตลอดจนการนองเลือดคงติดตามมาอีกมากมาย
วันนั้น ชาวยิวเข้าใจผิดและพร้อมแต่งตั้งพระองค์เป็นกษัตริย์
    วันนี้ เราซึ่งเข้าใจมากกว่าและกำลังร่วมจิตร่วมใจกัน “ฉลองพระเยซูเจ้าทรงประจักษ์พระวรกาย”....
     ...เราจะตอบสนองพระองค์อย่างไร ?!....