แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

วันอาทิตย์ที่ห้า เทศกาลธรรมดา

ลูกา 5:1-11
    วันหนึ่งพระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่บนฝั่งทะเลสาบเยเนซาเรท ขณะที่ประชาชนเบียดเสียดรอบพระองค์เพื่อฟังพระวาจาของพระเจ้า พระองค์ทอดพระเนตรเห็นเรือสองลำจอดอยู่ริมฝั่ง ชาวประมงกำลังซักอวนอยู่นอกเรือ พระองค์จึงเสด็จลงเรือลำหนึ่งซึ่งเป็นของซีโมน ทรงขอให้เขาถอยเรือออกไปจากฝั่งเล็กน้อย แล้วประทับสั่งสอนประชาชนจากเรือนั้น
    เมื่อตรัสสอนเสร็จแล้ว พระองค์ตรัสแก่ซีโมนว่า “จงแล่นเรือออกไปที่ลึกและหย่อนอวนลงจับปลาเถิด” ซีโมนทูลตอบว่า "พระอาจารย์ พวกเราทำงานหนักมาทั้งคืนแล้ว จับปลาไม่ได้เลย แต่เมื่อพระองค์มีพระดำรัส ข้าพเจ้าก็จะลงอวน” เมื่อทำดังนี้แล้ว พวกเขาจับปลาได้จำนวนมากจนอวนเกือบขาด เขาจึงส่งสัญญาณเรียกเพื่อนในเรืออีกลำหนึ่งให้มาช่วย พวกนั้นก็มาและนำปลาใส่เรือเต็มทั้งสองลำจนเรือเกือบจม
    เมื่อซีโมน เปโตร เห็นดังนี้ จึงกราบลงที่พระชานุของพระเยซูเจ้า ทูลว่า “โปรดไปจากข้าพเจ้าเสียเถิด พระเจ้าข้า เพราะข้าพเจ้าเป็นคนบาป” เพราะเขาและคนอื่น ๆ ที่อยู่กับเขาต่างประหลาดใจมากที่จับปลาได้มากเช่นนั้น ยากอบและยอห์น บุตรของเศเบดี ซึ่งเป็นผู้ร่วมงานกับซีโมน ก็ประหลาดใจเช่นเดียวกัน พระเยซูเจ้าจึงตรัสแก่ซีโมนว่า “อย่ากลัวเลย ตั้งแต่นี้ไป ท่านจะเป็นชาวประมงหามนุษย์” เมื่อพวกเขานำเรือกลับถึงฝั่ง แล้วละทิ้งทุกสิ่ง ติดตามพระองค์

บทรำพึงที่ 1

ข้อรำพึงที่หนึ่ง
สำนึกในบาป

    หลังจากได้รับการต้อนรับอย่างไม่เป็นมิตรจากประชาชนในเมืองนาซาเร็ธ พระเยซูเจ้าทรงเริ่มต้นพันธกิจเทศน์สอน และรักษาโรคตามเมืองและหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ตามชายฝั่งทะเลสาบ พระองค์ทรงได้รับการต้อนรับอย่างดี คนจำนวนมากพากันมาหาพระองค์ ถึงเวลาแล้วที่จะต้องเรียกบางคนให้มาเป็นศิษย์ในระดับใกล้ชิดมากขึ้น เพื่อคนเหล่านี้จะสานต่องานของพระองค์เมื่อถึงเวลา ลูกามักบอกเล่าเหตุการณ์หนึ่งด้วยการเน้นที่ประสบการณ์อันลึกซึ้งของบุคคลหนึ่ง ในที่นี้ คือ ซีโมน เปโตร

    พวกเขาออกเรือหาปลามาแล้วตลอดคืนแต่จับปลาไม่ได้เลย แต่เมื่อพระเยซูเจ้าทรงขอร้อง พวกเขาก็หย่อนอวนลงจับปลาอีกครั้งหนึ่ง และจับปลาได้จำนวนมาก สำหรับซีโมน เปโตร การได้เห็นแวบหนึ่งของความยิ่งใหญ่ขององค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นประสบการณ์ที่เขาแทบจะรับไม่ไหว และทำให้เราคิดถึงประสบการณ์ของอิสยาห์ ที่ใช้เป็นบทอ่านที่หนึ่งของวันอาทิตย์นี้ อิสยาห์ได้สัมผัสกับความศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่เหมือนใครของพระเจ้า และสัมผัสนี้ทำให้รู้สึกว่าตนเองเลวทรามและมีมลทิน ปฏิกิริยาของซีโมน เปโตร คือกราบลงที่พระชานุ (เข่า) ของพระเยซูเจ้า และยอมรับว่าเขาไม่สมควรอยู่ใกล้พระองค์ “โปรดไปจากข้าพเจ้าเสียเถิด พระเจ้าข้า เพราะข้าพเจ้าเป็นคนบาป”
    บาปคือปัญหาสำหรับยุคปัจจุบัน ปัญหาที่ว่านี้คือคนส่วนใหญ่ไม่คิดว่าบาปเป็นปัญหา พระสงฆ์ที่ฟังแก้บาปจะนึกสงสัยว่ามนุษย์ทุกวันนี้ไม่ทำบาปกันแล้วหรือ เพราะเขามีบาปมาสารภาพน้อยเหลือเกิน พระสันตะปาปาปีโอ ที่ 12 ตรัสไว้ตั้งแต่เมื่อห้าสิบกว่าปีก่อนว่าบาปยิ่งใหญ่ที่สุดของยุคเรา คือเราขาดสำนึกในบาป คือ ไม่ว่าอะไรก็ไม่ถือว่าเป็นบาป

    ในจิตสำนึกระดับเปลือกนอก เราเข้าใจว่าบาปหมายถึงการละเมิดพันธะบางอย่างด้วยความคิด วาจา การกระทำ หรือการละเลย พันธะนี้คือบทบัญญัติ เป็นคำสั่งสอนของพระศาสนจักร เป็นคำแนะนำจากผู้มีอำนาจปกครอง หรือเป็นหน้าที่ตามสถานภาพชีวิตของบุคคลหนึ่ง การละเมิดนี้สามารถระบุชื่อได้ เช่น การกล่าวเท็จ การลักขโมย การไม่นบนอบ หรือความโกรธ และการละเมิดเหล่านี้สามารถนับจำนวนครั้งได้ อย่างน้อยก็โดยประมาณ

    กิจการที่นับจำนวนครั้งได้นี้เป็นเหมือนผลแอปเปิลเน่าบนต้น จิตสำนึกระดับที่สองจะมองหารากที่เป็นพิษซึ่งทำให้ผลเน่า ธรรมประเพณีระบุชื่อของรากที่เป็นพิษไว้เจ็ดประการ ซึ่งตามปกติเราเรียกว่าบาปต้น คือ จองหอง ตระหนี่ อุลามก โลภอาหาร อิจฉาริษยา โมโห เกียจคร้าน การทำบาปทุกครั้งสามารถย้อนรอยกลับไปจนถึงรากที่เป็นพิษเหล่านี้ได้อย่างน้อยหนึ่งประการ จิตสำนึกระดับนี้มองว่าบาปเป็นนิสัยบางอย่างที่จำเป็นต้องได้รับการรักษา และเสริมภูมิต้านทาน

    แต่ยังมีจิตสำนึกระดับที่ลึกกว่านี้ ซึ่งเกิดจากความตระหนักถึงความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า เมื่ออิสยาห์ และเปโตร ได้รับประสบการณ์ส่วนตัวกับพระเจ้า ทั้งสองคนจมอยู่ภายใต้จิตสำนึกว่าตนเองเป็นคนบาป จิตสำนึกที่มีวุฒิภาวะทำให้เรารู้สึกได้ว่าเราเป็นใครเมื่อเราเผชิญหน้ากับความรักของพระเจ้า เราอ่านเรื่องของนักบุญต่าง ๆ ที่ร้องไห้เสียใจกับความเป็นคนบาปของตน แม้ว่านักบุญเหล่านี้ไม่ได้ทำอะไรที่พวกเราถือว่าเป็นบาป นักบุญฟรังซิสร้องไห้เพราะ “ความรักไม่ได้รับความรักตอบ” หลังจากได้มีประสบการณ์อันใกล้ชิดกับพระเจ้าแล้ว การพูดว่า “ฉันเป็นคนบาป” มีความหมายลึกกว่าการพูดว่า “ฉันได้ทำบาป” จุดรวมความสนใจอยู่ที่ “ฉันเป็นใครในการตอบสนองต่อพระเจ้า” มากกว่าอยู่ที่ “ฉันได้ทำอะไรลงไป”

    ในอดีตมีคนมายืนรอสารภาพบาปเป็นแถวยาว และแต่ละคนมีรายการบาปที่ระบุเฉพาะมาสารภาพ นั่นเป็นยุคที่ผู้มีอำนาจปกครองมีความสำคัญต่อชีวิตประชาชนมาก ผู้มีอำนาจปกครองในด้านการเมือง การสั่งสอน การแพทย์ ครอบครัว และพระศาสนจักรเป็นบุคคลที่เราไม่เคยคิดจะตั้งคำถาม ในยุคนั้น มนุษย์จึงมีสำนึกในบาปเมื่อเขาไม่นบนอบต่ออำนาจปกครองสูงสุดของพระเจ้า

    แต่ยุคสมัยได้เปลี่ยนไปแล้ว และในวัฒนธรรมปัจจุบันที่มนุษย์คิดถึงแต่ความต้องการของตนเอง เราไม่เคารพอำนาจปกครองเพราะถือว่าเป็นการรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัว และเสรีภาพในการเลือกของเรา ประสบการณ์ส่วนตัวและเสรีภาพในการเลือกได้กลายเป็นกรอบสำคัญในการตัดสินใจ อำนาจของประสบการณ์เข้ามาแทนที่ประสบการณ์ผู้มีอำนาจปกครอง

    เมื่อมนุษย์คิดเช่นนี้ จิตสำนึกจะถูกท้าทายได้อย่างไร เราไม่คิดเหมือนในอดีตอีกต่อไปว่าบาปคือการขาดความนบนอบ สำหรับคนจำนวนมากที่กลับไปหาศีลอภัยบาป เขามองว่าเขามีเหตุผลที่จะพิจารณาชีวิตของตนเอง และยอมรับว่ามีส่วนใดในชีวิตที่เขาจำเป็นต้องได้รับการให้อภัย และพระหรรษทานที่มีอำนาจเยียวยารักษาจากพระเจ้า เขารู้สึกว่าอยากจะพิจารณามโนธรรมโดยเปรียบเทียบกับคุณธรรมอันพึงปรารถนา ซึ่งบางทีเขาอาจพบเห็นจากข้อความต่าง ๆ ในพระคัมภีร์

    ปัจจัยสำคัญที่สุดที่บดบังสำนึกในบาปคือความเชื่อที่จืดจางลง ผิวของหินอาจแข็งแกร่ง และน้ำอาจอ่อนนุ่ม แต่น้ำที่หยดลงบนก้อนหินทุกวันสามารถทำให้หินกร่อนได้ การรับฟังความคิดแบบโลกีย์นิยมตลอดเวลา เช่น รายการโทรทัศน์ที่แสดงราวกับว่าพระเจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลยกับชีวิต ย่อมทำลายความเชื่อของเราทีละน้อย เว้นแต่ว่าเราจะต่อต้านด้วยการเจริญชีวิตภาวนาอย่างมีวินัย

    เมื่อซีโมน เปโตร ได้เห็นอำนาจของพระเจ้าในตัวพระเยซูเจ้า เขาเกิดความรู้สึกลึก ๆ ในใจว่าเขาอยู่ห่างไกลจากพระเจ้าเพราะบาปของเขา “โปรดไปจากข้าพเจ้าเสียเถิด พระเจ้าข้า เพราะข้าพเจ้าเป็นคนบาป” แต่ความรู้สึกว่าอยู่ห่างจากพระเจ้าเช่นนี้เกิดจากประสบการณ์อันเข้มข้นของความใกล้ชิดกับพระเจ้า นักวิจารณ์ชอบพูดถากกางเกี่ยวกับความรู้สึกผิดของชาวคาทอลิก แต่เป็นความจริงที่ความรู้สึกผิดเป็นปฏิกิริยาที่เหมาะสมแล้วเมื่อเราทำผิด และการปฏิเสธความรู้สึกผิดที่สมเหตุสมผลย่อมไม่ถูกต้อง สำหรับอิสยาห์ และซีโมน เปโตร ความรู้สึกผิดเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ของเขา เมื่อเขาสัมผัสกับความยิ่งใหญ่ ความรัก และความงามของพระเจ้า สำนึกในบาปที่แท้จริงคือด้านที่เป็นเงาของแสงสว่างของพระเจ้า ซึ่งเราสัมผัสได้ในความเชื่อ

ข้อรำพึงที่สอง
เปโตร ระลึกถึงเหตุการณ์ในเช้าวันนั้น

    วันที่ข้าพเจ้าตัดสินใจติดตามพระเยซูเจ้าเป็นครั้งแรกนั้น เริ่มขึ้นโดยที่ข้าพเจ้าไม่ได้มีความคิดเรื่องศาสนาเลย ข้าพเจ้ากำลังเหนื่อยหลังจากทำงานมาแล้วทั้งคืน และหงุดหงิดที่จับปลาไม่ได้เลย เราต้องดึงเศษวัชพืชออกจากอวน และพับอวนเก็บ ข้าพเจ้าไม่มีอารมณ์จะพบหน้าใครก่อนที่ข้าพเจ้าจะกินอาหารเช้า หลังจากนอนหลับเต็มอิ่มแล้ว ข้าพเจ้าอาจรู้สึกเป็นผู้เป็นคนได้อีกครั้งหนึ่ง ยากอบ และยอห์น รู้จักข้าพเจ้าดีพอที่จะอยู่ห่าง ๆ ส่วนอันดรูว์หรือ ไม่รู้ว่าเขาหายไปไหน ข้าพเจ้าได้ยินเสียงคนพูดกัน และเห็นหลายคนเดินออกมาจากสายหมอกยามเช้า เขาออกมาทำอะไรกันตั้งแต่เช้าเช่นนี้

    นั่นคือเยซู อาจารย์จากนาซาเร็ธ เพราะเหตุนี้เอง อันดรูว์จึงหายตัวไป เขาน่าจะบอกข้าพเจ้าก่อน เยซูคนนี้ ... เขาเป็นคนของพระเจ้าแน่นอน เขารักษาแม่ยายของข้าพเจ้าให้หายจากไข้สูง บัดนี้ เพียงได้เห็นเขาก็ทำให้ข้าพเจ้าหงุดหงิดน้อยลงแล้ว ฝูงชนเบียดเสียดกันเข้ามาข้างหน้า แล้วเขาก็นั่งลงบนหัวเรือของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นเกียรติที่เขาใช้เรือของข้าพเจ้าเป็นเวทีปราศรัย ในตัวเขามีความลุ่มลึก ความสงบ และความเข้มแข็งภายในที่ดึงดูดใจประชาชน ข้าพเจ้ายังเห็นภาพของเขาติดตา เขานั่งอยู่ที่นั่นอย่างผ่อนคลาย แกว่งเท้าไปมาในน้ำ และพูด ข้าพเจ้าอารมณ์ดีขึ้นทีละน้อย ฝูงชนไม่แสดงท่าทีว่าจะกลับไป จึงดูเหมือนว่าเราน่าจะถอยเรือออกไปให้ไกลจากฝั่งสักหน่อย

    แล้วเขาก็บอกให้ข้าพเจ้าหย่อนอวน หลังที่เหนื่อยล้าของข้าพเจ้าประท้วง ข้าพเจ้ารู้ว่าไม่มีปลาสักตัวเดียวในระยะหลายไมล์เมื่อมีแสงสว่างเช่นนี้ และยังจะต้องพับอวนเก็บอีกครั้งหนึ่ง ... น่าขันที่คนหากินบนบกชอบคิดว่าเพียงเราหย่อนอวนลงน้ำ มันก็จะเต็มไปด้วยปลาทุกครั้ง “พระอาจารย์ พวกเราทำงานหนักมาทั้งคืนแล้ว ...” แต่เขาก็เคยมีบุญคุณกับเรามาก และเขายังเป็นแขกบนเรือของข้าพเจ้าด้วย ข้าพเจ้าจึงเป็นหนี้เขาถึงสองเท่า คือเป็นหนี้บุญคุณ และต้องมีมารยาท ... “แต่เมื่อท่านบอกเช่นนี้ ข้าพเจ้าก็จะลงอวน” ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงพยายามแสดงท่าทีกระตือรือร้น ทันใดนั้น ทุ่นก็จมลงอย่างรวดเร็ว ผิวน้ำเต็มไปด้วยสีเงินที่ดิ้นได้ น้ำหนักที่ดึงเชือกทำให้เรือของเราเกือบล่ม “ยากอบ...ยอห์น...มานี่เร็ว ๆ อวนกำลังจะขาด”

    ข้าพเจ้าหาปลามานานหลายปี แต่บัดนี้ ข้าพเจ้าตื่นเต้นราวกับเด็ก ๆ เรือลำหนึ่งเต็มจนถึงขอบเรือ ปลาเต็มเรือสองลำ ไม่น่าเชื่อ เรือเกือบจม เพราะเราอยากนำปลาทั้งหมดกลับไปขึ้นบก เราประคองเรือมาจนถึงฝั่งโดยไม่เสียปลาไปเลยแม้แต่ตัวเดียว เมื่อเท้าของข้าพเจ้าแตะพื้นดินนั่นเอง ข้าพเจ้าจึงกลับมาสู่ความเป็นจริง ข้าพเจ้ากำลังฝันอยู่หรือ เปล่าเลย ปลากำลังดิ้นอยู่เต็มไปหมด เกิดอะไรขึ้น

    เขาเป็นใครกัน และข้าพเจ้าเป็นใคร ข้าพเจ้าจับชายเสื้อของเขาไว้แน่น กลัวที่จะปล่อยเขาไป แต่กลับรู้สึกว่าตนเองอยู่ห่างไกลเขาสักล้านไมล์ ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าพูดอะไรออกไปบ้าง รู้สึกพ่ายแพ้ กำลังจะตาย หยุดมีชีวิตอีกต่อไป ... รู้สึกว่าตนเองตัวเล็กเหลือเกิน ยากไร้เหลือเกิน ไร้ประโยชน์เหลือเกิน ข้าพเจ้าผลาญเวลาให้สูญเปล่าไปมาก มีข้อบกพร่องมากมาย มีความอ่อนแอมากมาย มีแต่บาป...บาป...บาป รู้สึกว่าตนเองต่ำทรามที่สุด ไม่มีอะไรเหลืออีกเลย ข้าพเจ้าอยู่ห่างไกลจากทุกสิ่งทุกอย่าง

    แล้วข้าพเจ้าก็รู้สึกถึงความอบอุ่นอันอ่อนโยนจากมือของเขาที่ลูบผมข้าพเจ้า ความรู้สึกว่าได้รับการเยียวยาไหลท่วมหัวใจ ให้ทั้งความกล้าหาญและความสว่าง “อย่ากลัวเลย” เป็นคำพูดที่อ่อนโยน และให้กำลังใจอย่างยิ่ง ความตายผ่านไปแล้ว ข้าพเจ้ากลายเป็นสิ่งสร้างใหม่ “ตั้งแต่นี้ไป ท่านจะเป็นชาวประมงหามนุษย์”

    ในวันนั้น ข้าพเจ้าจะทำอะไรได้อีก นอกจากละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง และติดตามเขาไป

บทรำพึงที่ 2

    พระวรสารหน้านี้เหมือนกับอีกหลายหน้า ที่ดูเหมือนจะเล่าเรื่องที่สำคัญเป็นรองในชีวิตของพระเยซูเจ้า อันที่จริง นี่คือหน้าหนึ่งของคำสอนทางเทววิทยาของพระศาสนจักร

วันหนึ่ง พระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่บนฝั่งทะเลสาบเยนเนซาเรท ขณะที่ประชาชนเบียดเสียดรอบพระองค์เพื่อฟังพระวาจาของพระเจ้า

    ก่อนอื่น ข้าพเจ้าเพ่งพินิจเหตุการณ์ที่บรรยายไว้อย่างชัดเจนนี้

    พระเยซูเจ้าประทับอยู่ท่ามกลางฝูงชน ... พระองค์ตรัส ... ประชาชนฟังพระองค์ ... พระองค์ไม่ได้ตรัสโดยไม่ได้วางแผนล่วงหน้า แต่ตรัสเรื่องพระวาจาของพระเจ้า...

    ในฐานะนักเทววิทยา ลูกาเผยแก่เราในข้อความนี้ว่า บทบาทแรกของพระศาสนจักรคือการเทศน์สอน งานที่พระศาสนจักรกำลังพยายามทำอยู่ทุกวันนี้เป็นงานที่พระเยซูเจ้าได้ทรงริเริ่มขึ้น การเทศน์สอนของพระศาสนจักรเป็นการขยายเวลาการเทศน์สอนของพระเยซูเจ้า และมีเนื้อหาสาระเหมือนกัน

    พระเจ้าข้า โปรดให้เรามีความรักอันยิ่งใหญ่ต่อพระวาจาของพระองค์ ... ให้เรามีความกระหายอันลึกล้ำที่จะฟังพระวาจาของพระองค์...

พระองค์ทอดพระเนตรเห็นเรือสองลำจอดอยู่ริมฝั่ง ชาวประมงกำลังซักอวนอยู่นอกเรือ พระองค์จึงเสด็จลงเรือลำหนึ่งซึ่งเป็นของซีโมน ทรงขอให้เขาถอยเรือออกไปจากฝั่งเล็กน้อย แล้วประทับสั่งสอนประชาชนจากเรือนั้น

    นี่เป็นภาพเหตุการณ์ที่พบเห็นได้ในชีวิตจริง แต่ก็มีความหมายเชิงสัญลักษณ์ด้วย เรือนั้นนำพระเยซูเจ้าถอยห่างออกจากฝูงชนเล็กน้อย และภาพนี้เน้นให้เห็นพระเดชานุภาพของพระองค์ ... บัดนี้ พระองค์ตรัสสอนขณะที่นั่งอยู่ เหมือนกับรับบี หรืออาจารย์ ... และทรงสั่งสอนจาก “เรือของซีโมน”...

    ลูกาตั้งใจเอ่ยชื่อบางคนที่อยู่ในฝูงชนนี้ คนเหล่านี้จะกลายเป็น “ศิษย์สองคนที่พระองค์ประทานนามว่า ‘อัครสาวก’ “ (ลก 6:12) และในกลุ่มบุคคลนี้ ลูกาชี้ให้เรามองดูซีโมนโดยเฉพาะ เขาเป็นบุคคลสำคัญที่สุดในคำบอกเล่านี้ ซึ่งเอ่ยชื่อเขาถึงหกครั้งในหน้าเดียว ... นี่คือโครงสร้างที่จำเป็นของพระศาสนจักรที่พระเยซูเจ้าทรงต้องการสถาปนาขึ้น...

    เราอาจพอใจ หรือรำคาญใจกับโครงสร้างสถาบันของพระศาสนจักร ในประวัติศาสตร์ มีพระสันตะปาปาและพระสังฆราชบางองค์ที่แสดงบทบาททางโลกเหมือนกับผู้ปกครองทั่วไปในโลกนี้ แต่ตามหลักเทววิทยา โครงสร้างคณะธรรมทูตของพระศาสนจักรถือกำเนิดมาจากพระเยซูเจ้า ... หน้าที่แรกของผู้อภิบาลในพระศาสนจักรไม่ใช่การเป็นผู้นำ หรือผู้ใหญ่ที่มีฐานันดรสูง หรือเป็นผู้จัดการทั่วไป ... แต่เขาเป็นผู้รับใช้ ผู้เป็นตัวแทนของพระคริสต์ผู้รับใช้ ... สังฆภาพเป็นเครื่องหมายอย่างหนึ่ง เป็นศีลศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูคริสตเจ้า การมีพระสงฆ์อยู่ในกลุ่มศิษย์พระคริสต์แสดงว่าเราไม่อาจ “ช่วงชิง” พระหรรษทาน หรือพระวาจาของพระเจ้า แต่เรา “ได้รับ” มาจากผู้อื่นอีกทอดหนึ่ง ... นี่เป็นความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ เพราะผู้อภิบาลต้อง “นำเสนอ” พระเยซูคริสตเจ้าอีกครั้งหนึ่ง...

    ในปัจจุบัน มนุษย์มีแนวโน้มที่จะลดคุณค่าของการเทศน์สอนของพระศาสนจักร โดยทำลายคุณลักษณะที่เป็นศีลศักดิ์สิทธิ์ เป็นธรรมล้ำลึก และความศักดิ์สิทธิ์ของการเทศน์สอน ... ทำให้เรามองเห็นแต่ผู้ที่กำลังพูด และลืมบุคคลที่ผู้พูดนี้เป็นตัวแทน ... สภาสังคายนายืนยันว่า “พระเยซูเจ้าประทับอยู่เสมอในการเฉลิมฉลองพิธีกรรมในตัวผู้อภิบาลของพระองค์ ... เมื่อมนุษย์คนหนึ่งกำลังอ่านพระคัมภีร์ในวัด พระองค์ทรงเป็นผู้ตรัสข้อความเหล่านั้น ... เมื่อมนุษย์คนหนึ่งโปรดศีลล้างบาป พระคริสตเจ้าเองทรงกำลังโปรดศีลล้างบาป ... พิธีกรรมเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของพระเยซูเจ้าในฐานะสมณะ และแสดงออกด้วยเครื่องหมายที่รับรู้ได้ทางประสาทสัมผัส” (พิธีกรรม, 7)

    ข้าพเจ้าขอภาวนาเพื่อพระสันตะปาปา พระสังฆราช และพระสงฆ์ ให้ท่านเหล่านี้ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างดี...

    “เรือของเปโตร” ลำนี้จอดอยู่ที่ท่าเรือเล็ก ๆ ของเมืองคาเปอรนาอุม ข้าพเจ้าอยากจะคิดว่าเรือลำนี้เป็นเรือเก่า ๆ ที่ใช้แผ่นไม้ตอกด้วยตะปูปิดรอยรั่วทั่วลำ เป็นเรือที่ธรรมดาและยากไร้อย่างยิ่ง แต่กระนั้น พระเยซูเจ้าก็ยังเสด็จขึ้นไปนั่งบนเรือ และเทศน์สอนจากเรือลำนี้

    พระเจ้าข้า พระศาสนจักรของพระองค์เป็นเรือที่เร้นลับ เป็นทั้งเรือมนุษย์ และเรือสวรรค์ในเวลาเดียวกัน

เมื่อตรัสสอนเสร็จแล้วแล้ว พระองค์ตรัสแก่ซีโมนว่า “จงแล่นเรือออกไปที่ลึก และหย่อนอวนลงจับปลาเถิด”

    “จงแล่นเรือออกไปที่ลึก” (หรือ eis to bathos ในภาษากรีก)...

    ชาวซีไมท์เป็นคนหากินบนบก จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะมองว่าทะเลเป็นสถานที่น่ากลัว เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ร้าย (ปฐก 7:17, สดด 24:2, 74:13-14, โยบ 38:16, ยนา 2:21, วว 9:1-3, 13:1, 20:3)

    พระดำรัสของพระเยซูเจ้าสามารถแปลความหมายได้ดังนี้ “เรือของซีโมน พระศาสนจักรของเรา จงแล่นออกไปยังทะเลที่อันตราย ออกไปสู่ภัยต่าง ๆ ในโลก และออกไปจากความปลอดภัยบนฝั่งเถิด”...

    พระเจ้าข้า โปรดทรงสอนเราให้รู้จักเสี่ยงด้วยเถิด ... ให้เราวางใจในพระองค์

ซีโมน ทูลตอบว่า “พระอาจารย์ พวกเราทำงานหนักมาทั้งคืนแล้ว จับปลาไม่ได้เลย แต่เมื่อพระองค์มีพระดำรัส ข้าพเจ้าก็จะลงอวน”

    พันธกิจของพระศาสนจักรเป็นงานที่หนักเกินกำลังของมนุษย์ ศิษย์แท้ของพระคริสตเจ้าจะฟังพระวาจาของพระเจ้า และตอบรับความท้าทายแม้ว่าพระวาจานี้ขอให้เขากระทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในสายตาของมนุษย์

เมื่อทำดังนี้แล้ว พวกเขาจับปลาได้จำนวนมากจนอวนเกือบขาด เขาจึงส่งสัญญาณเรียกเพื่อนในเรืออีกลำหนึ่งให้มาช่วย พวกนั้นก็มา และนำปลาใส่เรือเต็มทั้งสองลำ จนเรือเกือบจม

    ลูกาเน้นความแปลกประหลาดของการจับปลาครั้งนี้ คือ อวนเกือบ “ขาด” พวกเขาต้องการความช่วยเหลือ ... ปลาเต็มเรือสองลำ เรือทั้งสองลำเกือบจม...

    ความสำเร็จของพระศาสนจักรเกิดขึ้นจากความเชื่อในพระวาจาของพระเยซูเจ้า ซีโมนคงจำการจับปลาครั้งนั้นได้ตลอดชีวิต ... เขาคิดว่าตนเองเชี่ยวชาญในอาชีพประมง แต่พระเยซูเจ้าทรงชี้ให้เขาเห็นข้อจำกัดของเขาว่า ถ้าปราศจากพระองค์ เขาทำอะไรไม่ได้เลย ... “พวกเราทำงานหนักมาทั้งคืนแล้ว”

    บ่อยครั้งที่เราต้องนบนอบเชื่อฟัง สมาชิกอีกคนหนึ่งในเรือของเราอาจหย่อนอวนลงในที่ ซึ่งถ้าเราต้องตัดสินใจ เราคงไม่เลือกหย่อนอวนลงที่นั่น ... ความรู้สึกล้มเหลว ซึ่งทั้งเจ็บปวดและน่าอับอาย ... แต่ความล้มเหลวนี้เปิดโอกาสให้เรากำจัดภาพลวงตาทั้งหมดที่ล่อลวงให้เราพึ่งพาอาศัยคุณค่าของเราเอง ... ถูกแล้ว บางครั้ง พระเจ้าทรงเชิญชวนเราให้เสี่ยงด้วยความเชื่อ ... ให้ปฏิบัติหน้าที่ในอาชีพของเรา ให้รักสามีของเรา ให้ยอมรับบุตรคนหนึ่ง ให้อดทนกับความทุกข์ยาก ... หรือแม้แต่อดทนกับการมีชีวิตอย่าง “ไร้ประโยชน์” ในวันหนึ่ง เมื่อดูเหมือนว่าเราลงทุนลงแรงโดยไม่ได้รับอะไรเลย ... ในเวลาเช่นนั้น เราต้องวางใจในพระองค์ และ “แล่นเรือออกไปที่ลึก”

เมื่อซีโมน เปโตร เห็นดังนี้ จึงกราบลงที่พระชานุของพระเยซูเจ้า ทูลว่า “โปรดไปจากข้าพเจ้าเสียเถิด พระเจ้าข้า เพราะข้าพเจ้าเป็นคนบาป” เพราะเขา และคนอื่น ๆ ที่อยู่กับเขาต่างประหลาดใจมากที่จับปลาได้มากเช่นนั้น

    ลูกาเรียกสมญา “เปโตร” ในที่นี้ ทั้งที่พระเยซูเจ้าจะประทานสมญานี้ให้แก่ซีโมนในภายหลัง (ลก 6:14) ในทำนองเดียวกัน เขาก็เรียกพระเยซูเจ้าว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า (Lord)“ (หรือ kurios ในภาษากรีก ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกพระเยซูเจ้าหลังจากพระองค์กลับคืนชีพแล้ว (ลก 24:3, 24:34) ...

    เมื่ออยู่เบื้องหน้าพระเจ้า มนุษย์ย่อมรู้สึกกลัว เป็นความยำเกรงอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเกิดขึ้นกับบุคคลในทุกศาสนาของโลก “วิบัติแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าพินาศแล้ว เพราะข้าพเจ้าเป็นคนที่ริมฝีปากไม่สะอาด” ประกาศกอิสยาห์อุทานเช่นนี้ (6:1-8) เมื่อเขาได้ยินเสราฟิมร้องว่า “ศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ พระเจ้าจอมโยธา ทั้งโลกเต็มไปด้วยพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์”...

    เราจำได้ว่าประชาชนชาวนาซาเร็ธร้องขอเครื่องหมายอัศจรรย์จากพระเจ้า แต่ศิษย์แท้ของพระคริสตเจ้าย่อมตระหนักในความไร้ค่าของตนเอง และไม่กล้าร้องขออัศจรรย์ แต่วิงวอนพระเจ้าเหมือนเปโตรว่า “โปรดไปจากข้าพเจ้าเสียเถิด ... เพราะข้าพเจ้าเป็นคนบาป”...

    หลังจากนั้น เมื่อได้ยินไก่ขัน เปโตรจะค้นพบความหนักหนาของบาปของเขา และความไร้ค่าของเขามากยิ่งกว่านี้ ... เขาเป็นคนบาป ... ขอให้อย่าได้มีธรรมเนียมบูชาบุคคลในพระศาสนจักรเลย ... พระสันตะปาปาองค์แรก มนุษย์คนแรกที่พระเยซูเจ้าทรงขอให้เป็นผู้แทนพระองค์ เป็น “คนบาป” ... จนถึงเวลานั้น เปโตรเป็นกัปตันเรือที่วางใจในความรู้และประสบการณ์ของตนเอง แต่การพบกับพระเยซูเจ้าเผยให้เขาเห็นความต่ำต้อยของตนเอง ... และสำนึกนี้ทำให้เขารู้ตัวว่าเขาไม่มีความสำคัญอะไรเลย พระเยซูเจ้าทรงเตรียมเขาให้พร้อมจะเป็นผู้นำสูงสุดของพระศาสนจักรของพระองค์ ... ยอห์น บอกเล่าเหตุการณ์จับปลาอย่างอัศจรรย์นี้ภายหลังพระเยซูเจ้ากลับคืนชีพ (ยน 21:1-9) และจบลงด้วยการเตือนให้เปโตร ระลึกถึงการปฏิเสธพระองค์สามครั้งของเขา พระเยซูเจ้าทรงแสดงความมั่นใจในคนบาปคนนี้ด้วยการมอบหมายพันธกิจให้แก่เขา...

ยากอบ และยอห์น บุตรของเศเบดี ซึ่งเป็นผู้ร่วมงานกับซีโมน ก็ประหลาดใจเช่นเดียวกัน

    ลูกา รอจนถึงเวลานี้ จึงระบุชื่อของคนอื่น ๆ ราวกับจะเน้นตำแหน่งพิเศษของเปโตร ด้วยการเอ่ยถึงเขาเป็นคนแรก ก่อนเอ่ยถึงเพื่อนร่วมงานของเขา...

    ทั้งสามคนนี้ คือ เปโตร ยากอบ และยอห์น จะได้รับสิทธิพิเศษในการเป็นประจักษ์พยานของอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ คือ การปลุกเด็กหญิงคนหนึ่งให้ฟื้นจากความตาย (ลก 8:51) พวกเขาจะได้อยู่กับพระองค์เมื่อทรงสำแดงพระองค์อย่างรุ่งโรจน์บนภูเขา (ลก 9:28) และระหว่างทรงเข้าตรีทูตในสวนมะกอกเทศ (มธ 26:37)

    คนยุคปัจจุบันดูเหมือนว่าไม่ยำเกรงสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป และอันที่จริง ความยำเกรงนี้กำลังถูกแทนที่ด้วยความตื่นตระหนกกับสงครามนิวเคลียร์ และความวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคต...

พระเยซูเจ้าจึงตรัสแก่ซีโมน ว่า “อย่ากลัวเลย”...

    ถ้อยคำนี้ทั้งปลอบโยนและให้กำลังใจ ซึ่งในพระคัมภีร์ พระเจ้าและทูตสวรรค์จะกล่าวเช่นนี้กับมนุษย์เสมอ เมื่อมนุษย์ตกตะลึงเมื่ออยู่เบื้องหน้าพระเจ้า (ลก 1:13, 20, 2:10) ... หลังจากพระเยซูเจ้ากลับคืนชีพแล้ว พระองค์จะตรัสเช่นนี้ด้วย (มธ 28:10, วว 1:17)...

... ตั้งแต่นี้ไป ท่านจะเป็นชาวประมงหามนุษย์”

    นี่คือพันธกิจของพระศาสนจักร ... มนุษยชาติกำลังตกเป็นเหยื่อของอำนาจน่าสะพรึงกลัวที่พยายามกลืนกินมนุษย์ จงเป็น “ชาวประมงจับมนุษย์” – จงช่วยเขาให้รอดพ้นเถิด...

เมื่อพวกเขานำเรือกลับถึงฝั่งแล้ว เขาละทิ้งทุกสิ่ง และติดตามพระองค์

    อัศจรรย์ที่แท้จริงไม่ใช่การจับปลา ... อัศจรรย์แท้เกิดขึ้นภายในหัวใจของเขา ในการกลับใจของเขา ในการตัดสินใจยอมเสี่ยงเพื่อติดตามพระเยซูเจ้า และละทิ้งสิ่งอื่น ๆ ทุกสิ่ง...