วันพระคริสตสมภพ – มิสซาเที่ยงคืน

บทรำพึงที่ 1
บทอ่านที่หนึ่ง : อิสยาห์ 9:2-7

    ประชากรที่เดินในความมืดแลเห็นความสว่างยิ่งใหญ่ บรรดาผู้อาศัยในแผ่นดินมืดมิด ความสว่างส่องแสงมาเหนือเขา พระองค์ทรงเพิ่มจำนวนประชากร ทรงเพิ่มความชื่นบานของเขา เขาทั้งหลายจะยินดีเฉพาะพระพักตร์พระองค์ ดั่งความชื่นบานในฤดูเก็บเกี่ยว ดั่งความยินดีเมื่อเขาแบ่งของเชลยให้แก่กัน เพราะว่าแอกอันเป็นภาระของเขา ท่อนไม้ที่เขาต้องแบก ไม้ตะพดของผู้กดขี่ พระองค์ทรงหักเสียอย่างที่ทรงเคยทำกับชาวมีเดียน รองเท้าทุกคู่ของบรรดาทหารที่เข้าประจัญบาน เสื้อคลุมทุกตัวที่เปื้อนเลือด จะถูกเผาเป็นเชื้อเพลิงในกองไฟ เพราะกุมารผู้หนึ่งเกิดมาเพื่อเรา บุตรชายคนหนึ่งเป็นผู้ที่พระเจ้าประทานให้เรา สัญลักษณ์แห่งการปกครองอยู่บนบ่าของเขา เขาจะได้รับนามว่า “ที่ปรึกษามหัศจรรย์” “พระเจ้าผู้ทรงอำนาจ” “พระบิดานิรันดร” “เจ้าแห่งสันติ” การปกครองของเขาจะยิ่งใหญ่ สันติภาพจะไม่สิ้นสุด เหนือพระบัลลังก์ของกษัตริย์ดาวิด และเหนือราชอาณาจักรที่เขาจะสถาปนาไว้ และเชิดชูด้วยความยุติธรรม และความชอบธรรม บัดนี้ และตลอดไป พระเจ้าจอมจักรวาลจะทรงกระทำเช่นนี้ด้วยความรักแรงกล้าของพระองค์

คำอธิบาย    หนังสือประกาศกอิสยาห์ (ปีที่ 765-700 ก่อนคริสตกาล) อ้างหลายครั้งถึงพระเมสสิยาห์ ผู้จะเสด็จมาในอนาคต คำทำนายที่เราเพิ่งจะอ่านไปนี้ น่าจะเป็นคำทำนายไม่นานหลังจากอาณาจักรเหนือของอิสราเอลถูกทำลาย และประชาชนถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยของอัสซีเรีย (ปีที่ 722 ก่อนคริสตกาล) ถ้อยคำของท่านประกาศกมีจุดมุ่งหมายจะปลอบโยนประชาชนที่เหลืออยู่ในแผ่นดินอิสราเอล แม้ว่าสถานการณ์ดูหม่นมัว และน่าหดหู่ใจ แต่วันหนึ่ง พระเจ้าจะทรงนำความยินดี และความสุขกลับมาสู่แผ่นดิน และประชากรอิสราเอล วันนั้น จะเป็นวันของพระเมสสิยาห์

แลเห็นความสว่างยิ่งใหญ่ : ความเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์จะเกิดขึ้น ประชาชนจะเบิกบานยินดีเหมือนชาวนาเมื่อผลผลิตอุดมสมบูรณ์ หรือเหมือนทหารที่รบชนะ และแบ่งของเชลยให้แก่กัน

แอก ... ผู้กดขี่ : พวกเขาจะไม่เป็นทาสอีกต่อไป เขาจะเป็นอิสระ

ที่ทรงเคยทำกับชาวมีเดียน : ดังที่บอกเล่าในหนังสือผู้วินิจฉัย (7:1-8; 28) กิเดโอนทำให้ชาวมีเดียนพ่ายแพ้ยับเยิน หลังจากที่พวกเขารังควานประชากรเลือกสรร ชาวยิวจดจำและพูดถึงชัยชนะครั้งนี้ต่อมาอีกนานหลายศตวรรษ

รองเท้า ... เสื้อคลุม : สงครามจะยุติลง

เพราะกุมารผู้หนึ่งเกิดมาเพื่อเรา : สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นบนแผ่นดิน และท่ามกลางประชากรนี้คือการประสูติของกษัตริย์องค์ใหม่ – การประสูติของโอรสกษัตริย์ดาวิด ผู้จะสถาปนาบัลลังก์ของดาวิดขึ้นมาตลอดนิรันดร ดังที่ ประกาศกนาธันได้ทำนายไว้ (2 ซมอ 7:14)

ที่ปรึกษามหัศจรรย์ : สมญาที่ถวายให้แก่กษัตริย์เกิดใหม่ พระองค์แสดงว่าพระองค์จะทรงพระปรีชาญาณเหมือนซาโลมอน ทรงกล้าหาญเหมือนดาวิด และทรงคุณธรรมเหมือนโมเสส และอัยกาทั้งหลาย อีกนัยหนึ่งคือ พระองค์จะเป็นกษัตริย์ในอุดมคติ เป็นผู้แทนคนสุดท้าย และผู้แทนแท้จริงของราชวงศ์ดาวิด คำบรรยายนี้ไม่ตรงกับกษัตริย์มนุษย์คนใดที่เคยครองบัลลังก์ของดาวิดเลย แต่คำทำนายนี้จะเป็นจริงในองค์พระเมสสิยาห์เท่านั้น

สันติภาพจะไม่สิ้นสุด : พระองค์จะทรงนำสันติภาพมาสู่มวลมนุษย์ และการคืนดีระหว่างมนุษย์และพระเจ้า พระอาณาจักรของพระองค์จะกว้างใหญ่ไพศาล

ความยุติธรรม ... ความชอบธรรม : นี่คือคุณสมบัติ และอภิสิทธิ์ของกษัตริย์ผู้ทรงปรีชาญาณ

พระเจ้าจอมจักรวาล : การเสด็จมาของพระองค์ และพระพรของพระองค์จะเป็นผลงานของพระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ – “พระเจ้าจอมจักรวาล” ผู้ทรงกระทำการด้วยความรัก และความซื่อสัตย์ต่อคำสัญญาของพระองค์ ด้วย “ความรักแรงกล้า” ที่พระองค์ทรงมีต่อเรา “พระองค์ทรงเกิดมาเพื่อเรา” และ “พระองค์ถูกประทานให้แก่เรา”

คำสั่งสอน : เหตุการณ์ที่อิสยาห์ทำนายไว้ 700 ปี ก่อนจะเกิดขึ้นจริง คือเหตุการณ์ที่เราเฉลิมฉลองกันในคืนนี้ สองพันกว่าปีหลังจากที่เกิดขึ้น และจะยังได้รับการเฉลิมฉลองต่อไปอีกสองพันปีนับจากวันนี้ ถ้าโลกนี้ยังดำรงอยู่ พระเจ้าเสด็จมายังโลกของเรา ทรงรับสภาพมนุษย์เหมือนเรา เพื่อให้เรากลายเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เหตุการณ์นี้ยิ่งใหญ่กว่าเหตุการณ์อื่นใดในประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้น และจะเกิดขึ้นบนดาวเคราะห์ของเรา

    แต่น่าเสียดายที่มีคนหลายล้านคนที่ยังไม่ได้ยินข่าวดีนี้ แต่ผลอันเป็นคุณของข่าวดีนี้จะแผ่ไปถึงคนเหล่านี้ได้ ถ้าความไม่รู้ของเขาไม่ได้เกิดจากตัวเขาเอง มีคนอีกหลายล้านที่ได้ยินข่าวดีแล้ว แต่ไม่ยอมเชื่อ เหตุผลที่เขาไม่เชื่อนั้นไม่ใช่เพราะข่าวดีนี้ไม่อาจเป็นจริงได้ แต่เพราะเขาคิดว่าเป็นข่าวที่ดีเกินกว่าจะเป็นความจริง มันยากที่จะเชื่อว่าพระเจ้าผู้ไร้ขอบเขต และทรงสมบูรณ์พร้อม จะสนใจใยดีกับสิ่งสร้างที่ไม่สมบูรณ์เช่นเรา  แต่เพราะพระองค์ทรงไร้ขอบเขต และความรักของพระองค์ก็ไร้ขอบเขต พระองค์จึงสามารถ และทรงยอมทุ่มเทถึงเพียงนี้เพื่อสิ่งสร้างที่ไม่คู่ควรของพระองค์

    ขณะที่เราขอบพระคุณพระเจ้าในคืนนี้ด้วยความรู้สึกสำนึกในพระคุณอย่างจริงใจ สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงกระทำเพื่อเรา และในขณะที่เราสัญญาอย่างซื่อสัตย์ว่าจะพยายามปรับปรุงตัวให้คู่ควรมากขึ้นกับความรักไร้ขอบเขตที่พระองค์ทรงแสดงต่อเราด้วยการเสด็จมารับสภาพมนุษย์ ขอให้เราระลึกถึงพี่น้องหลายล้านคนของเราที่ยังไม่รู้จักพระองค์อย่างแท้จริง ขอให้เราวอนขอพระเจ้าให้ทรงส่งข่าวดีนี้ไปให้ถึงคนเหล่านี้ และประทานพระหรรษทานให้เขายอมรับพระพรยิ่งใหญ่แห่งความรักอันไร้ขอบเขตของพระองค์ เพื่อว่าลูก ๆ ทุกคนของพระองค์บนโลกนี้จะได้รู้จัก และขอบพระคุณพระองค์เช่นเดียวกัน และขอให้เราพยายามดำเนินชีวิตอย่างคริสตชนแท้เป็นตัวอย่าง เพื่อว่าไม่เพียงเพื่อนคริสตชนของเราเท่านั้น แต่มนุษย์ทุกคนจะได้รู้จักความรักของพระเจ้าต่อเรา



บทอ่านที่สอง : จดหมายถึงทิตัส 2:11-14

    พระหรรษทานของพระเจ้าปรากฏขึ้นเพื่อช่วยมนุษย์ทุกคนให้รอดพ้น สอนเราให้ละทิ้งอธรรมและโลกีย์ตัณหา เพื่อดำเนินชีวิตอย่างมีสติสัมปชัญญะ ด้วยความชอบธรรมและด้วยความเคารพรักพระเจ้าในโลกนี้ ขณะที่เรากำลังรอคอยการสำแดงพระองค์ในพระสิริรุ่งโรจน์ของพระคริสตเยซู พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และพระผู้ไถ่ของเรา เป็นความสุขที่เราหวังไว้ พระองค์ทรงมอบพระองค์เพื่อเรา เพื่อไถ่กู้เราจากอธรรมทั้งหลาย ชำระประชากรให้บริสุทธิ์ เพื่อจะเป็นประชากรของพระองค์ และเป็นผู้ปรารถนาจะทำแต่ความดี

คำอธิบาย : ทิตัส เป็นคนต่างศาสนาที่กลับใจเพราะการเทศน์สอนของนักบุญเปาโล และได้กลายเป็นเพื่อน และเพื่อนร่วมทางที่ซื่อสัตย์ในการแพร่ธรรมของเปาโล หลังจากเขากลับใจได้หลายปี ทิตัสได้รับแต่งตั้งให้ดูแลพระศาสนจักรที่ครีต และเป็นผู้ดูแล หรือพระสังฆราชคนแรก ของกลุ่มคริสตชนนี้ ขณะอยู่ที่นี่ เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ โดยเรียกทิตัส ว่า “บุตรแท้จริงของข้าพเจ้าในความเชื่อที่เรามีร่วมกัน” ในจดหมายนี้ เปาโลเตือนทิตัสให้มีความกระตือรือร้นในการเผยแผ่ความเชื่อ อีกทั้งให้คำแนะนำ และคำสั่งสอนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่พระสังฆราชของเขา ทิตัส และกลุ่มคริสตชนของเขาต้องเป็นแบบฉบับในทุกด้าน

พระหรรษทานของพระเจ้า : มีคำแปลที่แตกต่างกันในที่นี้ แต่แก่นแท้ของความหมายเหมือนกัน กล่าวคือ เพราะความรักอันเปี่ยมเมตตาของพระเจ้า (พระหรรษทานของพระองค์) ที่ทรงมีต่อเรา มนุษย์ทุกคนจึงได้รับความรอดพ้น พระคริสตเจ้าทรงเป็นผู้นำพระพรของพระเจ้ามาให้เราเปล่า ๆ

ให้ละทิ้งอธรรม : การปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระคริสตเจ้าหมายความว่าผู้กลับใจมาเป็นคริสตชนต้องไม่เลียนแบบพฤติกรรม และความเบี่ยงเบนทางเพศของคนที่ไม่นับถือพระเจ้า และคริสตชนจะต้องใช้สิ่งของฝ่ายโลกอย่างพอเหมาะพอควร และอย่างยุติธรรม คือด้วยความเคารพต่อเพื่อนมนุษย์ และใช้อย่างชอบธรรม คือด้วยความซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า

ความสุขที่เราหวังไว้ : เราต้องเพ่งสายตาไปที่วันอันยิ่งใหญ่ที่จะมาถึง

พระสิริรุ่งโรจน์ของพระคริสตเยซู : วันที่พระเจ้าจะประทานรางวัลแก่เรา เมื่อพระคริสตเจ้าเสด็จมาในพระสิริรุ่งโรจน์เพื่อพิพากษาโลก นับแต่วันที่นักบุญเปาโลกลับใจบนถนนใกล้เมืองดามัสกัส เขาไม่เคยเคลือบแคลงใจแม้แต่น้อยในพระเทวภาพของพระคริสตเจ้า ในที่นี้ เขาเรียกพระคริสตเจ้าว่าพระเจ้า เหมือนในจดหมายทุกฉบับของเขา

ทรงมอบพระองค์เพื่อเรา : พระเยซูคริสตเจ้า ผู้เป็นพระเจ้านี้ ยังเป็นมนุษย์แท้อีกด้วย และทรงถวายพระองค์ (ธรรมชาติมนุษย์ของพระองค์) เป็นเครื่องบูชาชดเชยบาปแทนเราบนเนินเขากัลวารีโอ

ประชากรของพระองค์ : ประชาการเลือกสรร ชาวยิวเป็นประชากรเลือกสรรในพันธสัญญาเดิม และคริสตชน ไม่ว่าจะเป็นชาวยิว หรือผู้ที่เคยเป็นคนต่างศาสนา ล้วนเป็นประชากรเลือกสรรของพันธสัญญาใหม่

เป็นผู้ปรารถนาจะทำแต่ความดี : นี่คือแก่นแท้ของชีวิตคริสตชน

คำสั่งสอน : เทศกาลพระคริสตสมภพเป็นเวลาสำหรับความเบิกบาน เป็นเทศกาลแห่งความปรารถนาดีต่อกัน เป็นเวลาของความยินดีสำหรับทุกคน แม้แต่บุคคลที่ไม่รู้ หรือไม่ตระหนักถึงความหมายแท้ของเทศกาลนี้ สำหรับเราคริสตชน นี่คือการฉลองประจำปีที่ยิ่งใหญ่เป็นที่สอง (รองจากวันปัสกา) ซึ่งเตือนให้เรานึกถึงความรักอันไร้ขอบเขตที่พระองค์ทรงแสดงต่อเรามนุษย์

    มีเหตุผลที่ทำให้เรารู้สึกเบิกบานยินดีอย่างแน่นอน เพราะพระคริสตเจ้า พระบุตรแท้ของพระเจ้า พระบุคคลองค์ที่สองในพระตรีเอกภาพ ได้เสด็จมารับธรรมชาติมนุษย์อันต่ำต้อยของเรา และเป็นหนึ่งเดียวกับเรา เพื่อพระองค์จะทรงยกฐานะของเราขึ้น ให้เป็นบุตรบุญธรรมของพระบิดาสวรรค์ของพระองค์ ถ้ามีกษัตริย์ หรือขุนนางคนใดในโลกที่รับบุตรของคนรับใช้ของเขาไปอยู่ในวังของเขา ให้เขาสวมใส่เสื้อผ้าราคาแพง และแต่งตั้งให้เป็นทายาทของเขาอีกด้วย ชาวโลกคงประหลาดใจที่สุด พระเจ้าทรงรับเราซึ่งเป็นสิ่งสร้างอันต่ำต้อยของพระองค์ ทรงให้เราสวมใส่อาภรณ์แห่งพระหรรษทาน ทรงรับเราไว้เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของพระองค์ โดยทรงยอมให้พระบุตรของพระองค์มาบังเกิดเป็นมนุษย์เหมือนเรา และทรงให้เราเป็นทายาทแห่งอาณาจักรนิรันดร

    แต่มนุษยชาติก็ยังเพิกเฉย หรือลืมคิดถึงการกระทำอันแสดงความเมตตากรุณา และการพิสูจน์ความรักของพระเจ้าเช่นนี้ เราคริสตชนไม่ได้เพิกเฉย หรือลืมการกระทำอันแสดงความเมตตากรุณาเช่นนี้แน่นอน แต่เราไม่ได้ระลึกถึงมากเท่าที่ควร เราไม่ได้ขอบพระคุณพระเจ้ามากเท่าที่ควรสำหรับทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำไปเพื่อเรา บ่อยครั้งทีเดียวที่เราทำตัวเป็นบุตรเนรคุณ

    คืนนี้ ขณะที่เราเตือนตนเองให้ระลึกถึงความรักไร้ขอบเขตของพระเจ้าผู้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มายังโลกมนุษย์ ให้มาบังเกิดจากพระนางพรหมจารีมารีย์ ในคอกสัตว์ที่เมืองเบธเลเฮม เพื่อให้เราสามารถใช้เวลาตลอดนิรันดรของเราในคฤหาสน์แห่งสวรรค์ ขอให้เราแสดงความกตัญญูรู้คุณ และซาบซึ้งในความรักนี้ ด้วยการตั้งใจจริงที่จะดำเนินชีวิตให้สมกับที่เราเป็นบุตรบุญธรรมของพระเจ้า

    จดหมายของนักบุญเปาโลถึงทิตัส สอนว่าเราจะดำเนินชีวิตเช่นนี้ได้อย่างไร เราต้องปฏิเสธชีวิตที่ไร้พระเจ้า และชีวิตที่หมกมุ่นในโลกีย์ตัณหา ด้วยการดำเนินชีวิตอย่างพอเหมาะพอควร ยุติธรรม และศรัทธาต่อพระเจ้า โดยใช้สิ่งของฝ่ายโลกเป็นบันใดนำเราไปให้ถึงสวรรค์ พระเจ้าทรงรับเราเป็นประชากรเลือกสรรของพระองค์แล้ว พระองค์ทรงทำยิ่งกว่านั้นอีก โดยทรงรับเราเป็นบุตรบุญธรรมของพระองค์ ขอให้เราแสดงความกตัญญูรู้คุณอย่างจริงใจ ด้วยการพยายามดำเนินชีวิตอย่างเหมาะสมกับกระแสเรียกอันสูงส่งเช่นนี้เถิด

พระวรสาร : ลูกา 2:1-14

    ครั้งนั้น พระจักรพรรดิออกัสตัส ทรงออกพระราชกฤษฎีกาให้มีการสำรวจสำมะโนประชากรทั่วจักรวรรดิโรมัน การสำรวจสำมะโนประชากรครั้งแรกนี้มีขึ้นเมื่อคีรินีอัสเป็นผู้ว่าราชการแคว้นซีเรีย ทุกคนต่างไปลงทะเบียนในเมืองของตน โยเซฟออกเดินทางจากเมืองนาซาเร็ธในแคว้นกาลิลี ไปยังเมืองของกษัตริย์ดาวิด ชื่อเบธเลเฮม ในแคว้นยูเดีย เพราะโยเซฟสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์กษัตริย์ดาวิด ท่านไปลงทะเบียนพร้อมกับพระนางมารีย์ ซึ่งกำลังทรงพระครรภ์ ขณะที่อยู่ที่นั่น ก็ถึงกำหนดเวลาที่พระนางมารีย์จะมีพระประสูติกาล พระนางประสูติพระโอรสองค์แรก ทรงใช้ผ้าพันพระวรกายพระกุมารนั้น แล้วทรงวางไว้ในรางหญ้า เนื่องจากไม่มีที่ในห้องพักแรมเลย ในบริเวณนั้นมีคนเลี้ยงแกะกลุ่มหนึ่งอยู่กลางแจ้ง กำลังเฝ้าฝูงแกะในยามกลางคืน ทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเจ้าปรากฏองค์ต่อหน้าเขา และพระสิริของพระเจ้าก็ส่องแสงรอบตัวเขา คนเลี้ยงแกะมีความกลัวอย่างยิ่ง แต่ทูตสวรรค์กล่าวแก่เขาว่า “อย่ากลัวเลย เพราะเรานำข่าวดีมาบอกท่านทั้งหลาย เป็นข่าวดีที่จะทำให้ประชาชนทุกคนยินดีอย่างยิ่ง วันนี้ ในเมืองของกษัตริย์ดาวิด พระผู้ไถ่ประสูติเพื่อท่านแล้ว พระองค์คือพระคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านจะรู้จักพระองค์ได้จากเครื่องหมายนี้ ท่านจะพบกุมารคนหนึ่ง มีผ้าพันกาย นอนอยู่ในรางหญ้า” ทันใดนั้น ทูตสวรรค์อีกจำนวนมากปรากฏมาสมทบทูตสวรรค์องค์นั้น ร้องสรรเสริญพระเจ้าว่า “พระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่พระเจ้าในสวรรค์สูงสุด และบนแผ่นดิน สันติจงมีแก่มนุษย์ที่พระองค์โปรดปราน”

คำอธิบาย :

การสำรวจสำมะโนประชากร : จักรพรรดิออกัสตัส ได้สั่งให้จัดการสำรวจสำมะโนประชากรทั่วจักรวรรดิโรมัน ซึ่งพระองค์ถือว่าเป็นทั้งโลก

โยเซฟออกเดินทางไปยังเมืองเบธเลเฮม : ทะเบียนประวัติครอบครัวชาวยิวจะเก็บไว้ที่เมือง หรือหมู่บ้านของบรรพบุรุษ เมื่อโยเซฟสืบเชื้อสายมาจากษัตริย์ดาวิด เบธเลเฮมจึงเป็นเมืองบรรพบุรุษของเขา

พร้อมกับพระนางมารีย์ : ผู้เป็นบิดาของครอบครัวเท่านั้นที่ต้องไปลงทะเลียน แต่โยเซฟไม่สามารถทิ้งให้พระนางมารีย์ อยู่ตามลำพังที่นาซาเร็ธในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ นอกจากนี้ ยังเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าให้พระนางเดินทางไปยังเบธเลเฮม (ไม่ว่าพระนางจะรู้หรือไม่ก็ตาม) เพราะเบธเลเฮมจะต้องเป็นสถานที่ประสูติของพระบุตรของพระนาง คือพระคริสตเจ้า

พระโอรสองค์แรก : ข้อความนี้ไม่ได้หมายความว่าพระนางมีโอรสอื่น ๆ อีกในภายหลัง คำว่าบุตรคนแรกเป็นการเน้นศักดิ์ศรี และสิทธิพิเศษของเด็กเท่านั้น

ไม่มีที่ในห้องพักแรม : เป็นไปได้ว่าท่านทั้งสองยากจน และไม่มีเงินจ่ายค่าที่พัก หรือขณะที่มาถึงนั้นโรงแรมเต็มหมดแล้ว ท่านทั้งสองเข้าพักแรมในคอกสัตว์ และพระคริสตเจ้าประสูติในที่นั้น

คนเลี้ยงแกะ ... อยู่กลางแจ้ง : ชายที่ต่ำต้อยกลุ่มนี้เป็นคนที่ใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ และเขาคงใกล้ชิดพระเจ้าด้วย เพราะพระองค์ทรงส่งผู้นำสารมาหาพวกเขา แทนที่จะส่งมาหาชาวเบธเลเฮมที่ร่ำรวย หรือมีความรู้

อย่ากลัวเลย : การปรากฏตัวอย่างฉับพลันของทูตสวรรค์ ซึ่งคงปรากฏมาในรูปร่างของมนุษย์ ทำให้พวกเขาตกใจเป็นธรรมดา
ข่าวดีที่จะทำให้ประชาชนทุกคนยินดีอย่างยิ่ง : คนเลี้ยงแกะก็เหมือนกับชาวยิวทุกคนในสมัยนั้นที่กำลังรอคอยพระเมสสิยาห์ อย่างกระวนกระวาย และบางทีเขาอาจรอคอยมากกว่าชาวยิวส่วนใหญ่ด้วย

เมืองของกษัตริย์ดาวิด : ทายาทแห่งบัลลังก์กษัตริย์ดาวิด ตามคำสัญญาที่ให้ไว้เมื่อนานมาแล้ว ผู้สืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ เกิดมาในคอกสัตว์ และกำลังนอนอยู่ในรางหญ้า นี่คือการทดสอบความเชื่อของคนทั้งหลายที่มักตัดสินตามมาตรฐานโลก แต่ยังมีบททดสอบที่หนักยิ่งกว่านี้อีก

พระคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้า : ทารกที่เกิดท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันต่ำต้อย ที่ยากจนยิ่งกว่าคนยากจนที่สุด ผู้มีแต่ที่พักอาศัยเล็ก ๆ และมีรางหญ้าเป็นที่นอนนี้ ไม่เพียงเป็นพระเมสสิยาห์ที่ทุกคนรอคอย และเป็นทายาทของกษัตริย์ดาวิดเท่านั้น แต่ยังเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งเป็นชื่อที่เขาใช้เรียกพระเจ้าในพันธสัญญาเดิม

พระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่พระเจ้า : คำสรรเสริญ และขอบพระคุณพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ทรงเป็นผู้ปกครองสูงสุดของสรรพสิ่ง

สันติจงมีแก่มนุษย์ที่พระองค์โปรดปราน : สันติแด่มนุษย์ผู้เป็นมิตรของพระเจ้า ผู้มีความเมตตากรุณาเหมือนพระเจ้า นี่คือท่อนแรกของบทเพลงสรรเสริญ และขอบพระคุณ ที่เราขับร้องกันทุกครั้งที่ถวายบูชามิสซา และเราได้รับมาจากทูตสวรรค์ที่พระเจ้าทรงส่งมาหาคนเลี้ยงแกะในเบธเลเฮมในคืนคริสต์มาสครั้งแรก การเสด็จมาของพระเมสสิยาห์เป็นจุดเริ่มต้นของยุคที่มนุษย์สามารถสรรเสริญและขอบพระคุณพระเจ้าได้อย่างแท้จริง มนุษย์เองไม่สามารถถวายคำสรรเสริญที่เหมาะสมสำหรับพระเจ้าได้ แต่เมื่อเราสรรเสริญพระเจ้าร่วมกับพระคริสตเจ้า ผู้ทรงเป็นมนุษย์-พระ คำสรรเสริญของเราย่อมมีค่า เพราะเราถวายร่วมกับพระคริสตเจ้า สันติสุขเป็นผลลัพธ์อีกอย่างหนึ่งของการเสด็จมาของพระคริสตเจ้า เพราะบัดนี้ มนุษย์คืนดีกับพระเจ้าแล้ว และจะมีสันติกับเพื่อนมนุษย์ด้วยถ้าเขาปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระคริสตเจ้า

คำสั่งสอน : คืนนี้ ขณะที่เราคุกเข่าเบื้องหน้าพระกุมารผู้นอนอยู่ในรางหญ้า เพื่อสรรเสริญและขอบพระคุณพระบุตร สำหรับความรัก และความเมตตาอันไร้ขอบเขตของพระเจ้า ขอให้เราอย่าทึ่งใจกับความถ่อมตน และความยากไร้ของคอกสัตว์และรางหญ้า แม้ว่าสิ่งเหล่านี้น่าประทับใจ จนเรามองไม่เห็นความอัปยศที่หนักกว่าจนไม่น่าเชื่อของการเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระเยซูเจ้า แม้ว่าพระผู้ไถ่ของเราจะประสูติในพระราชวังหินอ่อนของเฮโรดในกรุงเยรูซาเล็ม นอนบนเตียงชุบทองคำและห่มผ้าไหมเนื้อละเอียด การเสด็จมารับสภาพมนุษย์ก็ยังเป็นการถ่อมพระองค์จนมนุษย์ไม่น่าจะเข้าใจได้ มนุษย์บางคนพยายามใคร่ครวญ และอธิบายธรรมล้ำลึกแห่งการเสด็จมารับสภาพมนุษย์ เขาพยายามหาคำอธิบายว่าพระคริสตเจ้าทรงเป็นทั้งพระเจ้า และมนุษย์ในเวลาเดียวกันได้อย่างไร และบุคคลหนึ่งจะมีสองธรรมชาติได้อย่างไร แม้ว่านี่คือธรรมล้ำลึก และมีแต่พระเจ้าเท่านั้นสามารถเข้าใจได้ แต่ธรรมล้ำลึกที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นก็คือธรรมล้ำลึกของความรักของพระเจ้า ผู้กระทำการนี้เพื่อเรา และเป็นธรรมล้ำลึกที่เกินสติปัญญามนุษย์จะเข้าใจได้ “มนุษย์เป็นอะไร พระเจ้าจึงต้องใส่ใจเขา” เราเคยทำอะไร หรือสามารถทำอะไรได้หรือ จึงสมควรได้รับความรัก ความเมตตา และการถ่อมตนเช่นนี้จากพระเจ้า เปล่าเลย เราไม่ได้ทำอะไรที่ทำให้เราสมควรได้รับความรักเช่นนั้นเลย แต่เป็นเพราะความใจกว้างอย่างไร้ขอบเขตของพระเจ้า ซึ่งเกินสติปัญญามนุษย์จะเข้าใจได้ เราเป็นสิ่งสร้างของพระองค์ผู้สามารถร่วมรับความสุขกับพระองค์ตลอดนิรันดร และพระองค์ทรงเตรียมการให้เราร่วมรับความสุขนี้ได้
    สิ่งเดียวที่เราทำได้ก็คือ ขอบพระคุณพระเจ้าจากใจจริงอย่างเจียมตน และตั้งใจจริงว่าเราจะตอบรับข้อเสนอที่ไม่น่าเชื่อนี้ เราเป็น “มิตรสหายของพระเจ้า” พระองค์ทรงเรียกเราเช่นนี้ ดังนั้น ขอให้เราพยายามที่สุดที่จะรักษามิตรภาพนี้ไว้ เพราะไม่มีมิตรภาพใดที่ยิ่งใหญ่กว่าสำหรับเรา ไม่ว่าในโลกนี้หรือในสวรรค์ ถ้าเราปฏิบัติหน้าที่ในส่วนของเราเช่นนี้ พระองค์จะทรงทำในส่วนของพระองค์ พระองค์จะประทานส่วนแบ่งของเราในความสุขนิรันดร ซึ่งพระองค์ทรงช่วงชิงมาให้เราด้วยการเสด็จมารับสภาพมนุษย์

บทรำพึงที่ 2
ลูกา 2 : 1-4

    คริสต์มาสเป็นหนังสือที่มีภาพประกอบที่งดงาม เราจงเก็บภาพนี้ไว้ในความทรงจำ แต่เราก็เห็นได้ว่าลูกากำลังเชิญชวนเราให้เพ่งพินิจในระดับลึกยิ่งกว่า คำบอกเล่าของเขาเป็น “อารัมภบท” ทางเทววิทยาสำหรับพระวรสารของเขา และเราสามารถลิ้มรสชาติจากคำบอกเล่าของเขาโดยอาศัยความเชื่อเท่านั้น

ครั้งนั้น พระจักรพรรดิออกัสตัส ทรงออกพระราชกฤษฎีกาให้มีการสำรวจสำมะโนประชากรทั่วจักรวรรดิโรมัน

    ออกัสตัสซีซาร์ เป็นจักรพรรดิที่มีชื่อเสียงที่สุดของจักรวรรดิโรมัน (30 ปี ก่อน ค.ศ. ถึง ค.ศ. 14) ในปีที่ 27  ก่อน คริสตกาล เขาได้สั่งให้วุฒิสภาถวายนามแก่เขาว่า ออกัสตัส หรือในภาษากรีกคือ Sebastos ซึ่งแปลว่า “สมควรได้รับการนมัสการ”

    ด้วยการเอ่ยสมญานามที่อวดอ้างตนเองของ “ราชาของโลก” ลูกาต้องการแสดงให้เห็นความแตกต่างของพระเจ้า กล่าวคือ พระองค์ทรงเกิดมาในลักษณะของทารกผู้อ่อนแอของบิดามารดาที่อยู่ห่างไกลถิ่นฐานของตนเอง ...

การสำรวจสำมะโนประชากรครั้งแรกนี้มีขึ้นเมื่อคีรินีอัส เป็นผู้ว่าราชการแคว้นซีเรีย

    ฉากหลังของคริสต์มาสครั้งแรกเป็นภาพที่ค่อนข้างน่าหดหู่ใจ

    ดินแดนนี้ถูกยึดครอง และประชากรตกอยู่ภายใต้อำนาจของกองกำลังต่างชาติ ประวัติศาสตร์บอกเราว่าการสำรวจสำมะโนประชากรของคีรินีอัส เมื่อ ค.ศ. 6 เป็นสาเหตุให้เกิดการลุกฮือของประชาชน เมื่อประชาชนต้องลงทะเบียนที่ดิน และอาคารบ้านเรือนเพื่อประเมินว่าควรเรียกเก็บภาษีเท่าไร

    อีกหลายปีต่อมา พระเยซูเจ้าจะทรงเผชิญหน้ากับผู้ว่าราชการอีกคนหนึ่ง คือ ปอนติอัส ปิลาต ...

ทุกคนต่างไปลงทะเบียนในเมืองของตน โยเซฟออกเดินทางจากเมืองนาซาเร็ธ ในแคว้นกาลิลี ไปยังเมืองเบธเลเฮม ในแคว้นยูเดีย

    โยเซฟปล่อยให้เหตุการณ์นำทางเขาไป โลกที่พระเยซูเจ้าเสด็จมาบังเกิดนี้เป็นโลกที่โหดร้าย เต็มไปด้วยการบีบบังคับ ... คริสต์มาสไม่มีอะไรชวนให้เบิกบานใจเลย – แต่ปาสกาล บอกเราว่า “พระเจ้าทรงลากเส้นตรงทับเส้นโค้ง” ... และเหตุการณ์ต่าง ๆ คือ “นายที่พระเจ้าประทานแก่เราด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง” ...

    ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นลึก ๆ ในใจหรือไม่ว่าพระเจ้าประทับอยู่กับเรา และพระองค์ทรงถามข้าพเจ้าผ่านทางเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวข้าพเจ้า ... โยเซฟออกเดินทางพร้อมกับหญิงมีครรภ์!

... ไปยังเมืองของกษัตริย์ดาวิด ชื่อเบธเลเฮม ในแคว้นยูเดียว เพราะโยเซฟสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์กษัตริย์ดาวิด

    ลูกาตีความคำทำนายของประกาศกมีคาห์ (5:1-4) ผู้ที่เกิดมานี้คือ “พระเมสสิยาห์” ผู้จะเกิดจาก “ธิดาคนหนึ่งของศิโยน” ... “ในเมืองเล็กที่สุดของยูเดีย” ท่ามกลางความยากจน ท่ามกลาง “พี่น้องที่เหลืออยู่” ใน “เมืองของกษัตริย์ดาวิด” ... แต่พระเมสสิยาห์พระองค์นี้แตกต่างมากจากบุคคลที่ชาวยิวคาดหมาย พวกเขาคาดหมายว่าพระองค์จะมีอำนาจ ร่ำรวย เข้มแข็ง – แต่พระองค์กลับเสด็จมาอย่างบุคคลที่ไร้อำนาจ ยากจน และอ่อนแอ ...

    พระเจ้าทรงตระหนักดีว่า “คนเคร่งศาสนา” ไม่รู้จักพระองค์จริง ๆ จนพระองค์ต้องเสด็จมายังโลกนี้ในลักษณะที่ไม่มีใครรู้จัก และผิดธรรมดา พระองค์ต้องถูกลักลอบนำพาผ่านด่านชายแดนของเรา เจ้าหน้าที่จะไม่มีวันยอมให้พระองค์เสด็จผ่านเข้ามา ถ้าพระองค์ทรงประกาศว่าพระองค์เป็นใคร ... ไม่น่าเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงแสดงพระองค์ในรูปลักษณ์ภายนอกที่ต่ำต้อยเช่นนี้ ทรงไม่ใยดีกับอภิสิทธิ์ของพระองค์ และระเบียบแบบแผน จนดูเหมือนว่าทรงเย้ยหยันพิธีหรูหราที่ศาสนากำหนดขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติพระองค์!

    ถ้าสิ่งเหล่านี้ไม่มีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า แล้วอะไรเล่าที่พระองค์ทรงคิดว่าสำคัญ ...

ท่านไปลงทะเบียนพร้อมกับพระนางมารีย์ ซึ่งกำลังทรงพระครรภ์

    แม้ว่าท่านทั้งสองหมั้นหมายกันตามกฎหมาย แต่ลูกาพยายามให้เห็นว่า โยเซฟ และพระนางมารีย์ ไม่ได้อยู่กินฉันสามีภรรยา พระนางเป็น “พรหมจารี” แต่พระนางทรงพระครรภ์ ... ทำไมเราจึงมักคิดว่าพระเจ้าจะทรงทำอะไรเหมือนเรา เราไม่รู้จักพระเจ้า ถ้าเราคิดว่าพระองค์ทรงสามารถทำได้เท่ากับที่เราทำได้เท่านั้น ...

    พระเจ้าข้า ด้วยความเชื่อ ข้าพเจ้าต้องการนมัสการอำนาจสร้างสรรค์ของพระองค์ ซึ่งทำงานอยู่ในการให้กำเนิดบุตรของหญิงพรหมจารีผู้นี้ พระเจ้าทรงเป็น “พระบิดา” เพียงผู้เดียวของทารกคนนี้ ซึ่งพระนางมารีย์ทรงอุ้มไว้ในพระครรภ์

ขณะที่อยู่ที่นั้น ก็ถึงกำหนดเวลาที่พระนางมารีย์จะมีพระประสูติกาล พระนางประสูติพระโอสรองค์แรก ...

    คำบรรยายนี้ช่างตรงกันข้ามกับนิยาย และตำนาน เด็กคนนี้เกิดมาเหมือนกับเด็กทั่วไป ไม่มีวงรังสีรอบศีรษะ ... นี่คือเด็กปกติธรรมดาคนหนึ่ง!
    พระเจ้าตรัสว่า “เราสร้างเจ้าตามภาพลักษณ์ของเรา” ... ท่านทั้งหลายที่เป็นพ่อแม่ ท่านย่อมรู้ดีว่าท่านควรรักลูกของท่านอย่างไร รู้ว่าท่านควรอุ้มเขาอย่างระมัดระวังอย่างไร ควรประคองศีรษะที่บอบบางของเขาอย่างไร ควรตรวจอุณหภูมิขวดนมอย่างพิถีพิถันอย่างไร และเฝ้ามองว่าเมื่อไรที่เขาจะยิ้ม ... ท่านรู้หรือยังว่าเราก็เหมือนกับท่าน ... มนุษย์ทั้งหลายที่มีความคิดผิด ๆ เกี่ยวกับตัวเรา และปฏิเสธ และเพิกเฉยต่อเรา จะพบว่าเราอ่อนโยนอย่างไร เมื่อเขามองพระนางมารีย์และโยเซฟ มองว่าท่านทั้งสองแสดงความรักออกมาด้วยกิริยาท่าทางอย่างไร และมารดาทั้งหลายก็จะเห็นได้ในระดับหนึ่งว่าเราเป็นใคร ...

ทรงใช้ผ้าพันพระวรกายพระกุมารนั้น แล้วทรงวางไว้ในรางหญ้า เนื่องจากไม่มีที่ในห้องพักแรมเลย

    ขณะที่เราพบเห็นแต่ข่าวสารที่น่าตื่นเต้น เรายังสามารถมองดูสภาพปกติธรรมดาซึ่งพระเจ้าทรงเลือกใช้เป็นที่อยู่อาศัยได้หรือไม่ ...

    เหตุการณ์ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติเพิ่งจะเกิดขึ้น นับแต่นี้ไป พระเจ้าจะเป็นมนุษย์คนหนึ่งอีกด้วย คือพระเยซูเจ้า! นับแต่นาทีนั้น ชะตากรรมของพระเจ้าจะเชื่อมโยงกับชะตากรรมของเราอย่างแยกไม่ออก เป้าหมายของเรากลายเป็นเป้าหมายของพระองค์ พระเจ้าสถิตอยู่ “กับเรา” ความหวังทั้งมวลเปิดกว้างสำหรับเรา แต่เหตุการณ์นี้ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น พระเจ้าประทับนอนใน “รางหญ้า” ซึ่งใช้สำหรับใส่อาหารเลี้ยงสัตว์ ...

    พระเจ้าองค์นี้น่าประหลาดใจ ... และท้าทายอย่างยิ่ง! พระองค์ทรงเผชิญหน้ากับความทะเยอทะยานเห่อเหิมของออกัสตัส ผู้ยกตนเองขึ้นเป็นเทพเจ้า! ... และเราต้องเสริมว่าความอ่อนแอของพระเจ้านี้ไม่ใช่การเล่นละคร ทั้งขณะที่นอนในรางหญ้า และแขวนอยู่บนไม้กางเขน พระองค์ทรงเปิดเผยตัวตนแท้จริงแก่เราในระดับลึกสุดของพระองค์ ... ของพระเจ้า! ...

    “ผู้ที่เห็นเรา ก็เห็นพระบิดาด้วย” (ยน 14:9) ... พระเจ้าทรงเป็นความรัก ... และความรักยอมให้ตนเองอ่อนแอเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ที่ตนรัก ผู้ใดที่พยายามแสดงอำนาจเหนือผู้อื่น ผู้นั้นไม่รู้จักรัก ...

ในบริเวณนั้นมีคนเลี้ยงแกะกลุ่มหนึ่งอยู่กลางแจ้ง กำลังเฝ้าฝูงแกะในยามกลางคืน

    ถ้ำเลี้ยงสัตว์ที่เราจำลองขึ้นทำให้เรามองว่าคนเลี้ยงแกะเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ตามธรรมชาติ แต่ในสายตาของคนในยุคนั้น คนเลี้ยงแกะเป็นเครื่องหมายของกลุ่มคนที่ถูกเหยียดหยาม … อาชีพของเขาทำให้เขามีภาพลักษณ์ไม่ดี เขาเป็น “พวกนอกกฎหมาย” ประชาชนถือว่าคนเลี้ยงแกะเป็นขโมยที่ดำรงชีพด้วยของที่เขาขโมยมา คนเหล่านี้ไม่มีสิทธิเป็นพยานในศาล พวกเขาไม่รู้หนังสือ และไม่มีเวลาศึกษาคำสั่งสอนทางศาสนาจากปัญญาชนทั้งหลายในศาลาธรรม พวกเขามีมลทินเพราะอาชีพของเขาทำให้เขาไม่สามารถหยุดทำงานในวันสับบาโตได้ ... นอกจากนี้ พวกเขายังสกปรก ตัวเหม็น เป็น “สวะสังคม” อย่างแท้จริง ...

    คนเช่นนี้เองที่พระเจ้าทรงเลือกเป็นกลุ่มแรก! พระเจ้าทรงรักคนต่ำต้อย คนยากจน บุคคลที่ทุกคนรังเกียจเหยียดหยาม ... นี่คือสาระสำคัญของพระวรสารของลูกา ...
ทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเจ้าปรากฏองค์ต่อหน้าเขา และพระสิริของพระเจ้าก็ส่องแสงรอบตัวเขา

    ในคำบอกเล่านี้ “สิ่งน่าพิศวง” เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่จุดนี้ ... นักเทววิทยาจะเตือนเราว่า ระวังไว้ ... ระวังไว้ ... นี่เป็นเพียงลักษณะหนึ่งของการบรรยาย เพราะสภาสังคายนาทั้งหลายได้ชี้ชัดแล้วว่าทูตสวรรค์ไม่มีร่างกาย! ... แต่กวี และประชาชนซื่อ ๆ จะบอกว่าทูตสวรรค์เหล่านี้ทำให้เรารู้สึกพิศวงกับพระเจ้า ซึ่งเกินสติปัญญาของมนุษย์จะเข้าใจได้ ...

    ปรากฏการณ์ทั้งหมดนี้มีความหมายชัดเจน กล่าวคือ ตราบจนถึงเวลานั้น ในพระคัมภีร์ “พระสิริรุ่งโรจน์” คือเครื่องหมายของการประทับอยู่ของพระเจ้า ซึ่งสงวนไว้สำหรับพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็มเท่านั้น นับแต่บัดนี้ไป พระสิริรุ่งโรจน์นี้จะ “โอบล้อม” คนยากจน ... “ท่านทำสิ่งใดต่อพี่น้องผู้ต่ำต้อยที่สุดของเราคนหนึ่ง ท่านก็ทำสิ่งนั้นต่อเรา” (มธ 25)

    ถูกแล้ว พระเจ้าองค์นี้น่าประหลาดใจ ... และท้าทายอย่างยิ่ง! ... ขอบพระคุณพระองค์

คนเลี้ยงแกะมีความกลัวอย่างยิ่ง แต่ทูตสวรรค์กล่าวแก่เขาว่า “อย่ากลัวเลย เพราะเรานำข่าวดีมาบอกท่านทั้งหลาย เป็นข่าวดีที่จะทำให้ประชาชนทุกคนยินดีอย่างยิ่ง”

    เรายืนยันว่าเราไม่มีทางได้ยินทูตสวรรค์พูด เพราะทูตสวรรค์ไม่มีเสียง “คำพูด” ของทูตสวรรค์คือความเงียบ ...

    จงฟัง ... ฟังซิ ... และอย่าส่งเสียงใด ๆ ...

    มโนสัมผัส หรือการสื่อสารทุกครั้งของพระเจ้าเป็น “ข่าวดีที่น่ายินดีอย่างยิ่ง” – นี่คือสาระสำคัญของพระวรสารของลูกา ...

    และข่าวดีนี้เป็นข่าว “สากล” ที่ทุกคนต้องได้ยิน – นี่เป็นสาระสำคัญอีกข้อหนึ่งของพระวรสารของลูกา ...

“วันนี้ ในเมืองของกษัตริย์ดาวิด พระผู้ไถ่ประสูติเพื่อท่านแล้ว พระองค์คือพระคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้า”

    ทูตสวรรค์กล่าวเพียงไม่กี่คำ “การสื่อสาร” ของทูตสวรรค์สั้นมาก และแจ้งสาระสำคัญทันที ...

    ทูตสวรรค์ประกาศอัตลักษณ์แท้ของทารกนิรนามผู้นี้ โดยระบุสามสมญาของพระเจ้า ... พระผู้ไถ่ (Soter) ... พระคริสต์ (Christos) และองค์พระผู้เป็นเจ้า (Kurios)...

    ลูกาจะไม่ใช้สมญาทั้งสามนี้อีกเลยในพระวรสารของเขา จนกระทั่งถึงตอนท้ายของพระวรสาร ขอให้ตั้งใจฟังเถิด พระเจ้าทรงกำลังบอกเราว่า พระกุมารเยซูน้อยผู้ไม่สลักสำคัญในวันนี้ คือ องค์เดียวกันกับองค์พระผู้เป็นเจ้าในพระสิริรุ่งโรจน์ในวันปัสกา ...

    ลูกาเล่าเรื่องปฐมวัยของพระเยซูเจ้าเสมือนเป็นอารัมภบทของพระวรสารฉบับนี้ ซึ่งเราจะเข้าใจได้เมื่ออ่านจนจบแล้วเท่านั้น ทารกเกิดใหม่ผู้นี้มีธรรมชาติพระเจ้า (พระองค์คือองค์พระผู้เป็นเจ้า) และพระองค์ประสูติมาพร้อมกับพันธกิจของพระเจ้า (พระผู้ไถ่) ... ความเป็นพระเจ้าของพระองค์ยังไม่อาจแลเห็นได้ในเวลานี้ ... แต่รอก่อน! ...

ท่านจะรู้จักพระองค์ได้จากเครื่องหมายนี้ ท่านจะพบกุมารคนหนึ่งมีผ้าพันกาย นอนอยู่ในรางหญ้า

    เครื่องหมายที่ทูตสวรรค์ระบุนี้คือความยากจน ความอ่อนแอ ...

    หยุดวิ่งหนีได้แล้ว และจงไปยืนเบื้องหน้ารางหญ้านั้น ... ใครจะรู้ ท่านอาจค้นพบสัญลักษณ์ที่ซ่อนอยู่ในรางหญ้านั้นก็ได้ ... ท่านจะเชื่อหรือไม่ว่าพระเจ้าทรงกำลังมอบพระองค์เอง ... ให้เป็น “อาหาร” ...

    “ข้าแต่พระบิดาเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ข้าพเจ้าสรรเสริญพระองค์ที่พระองค์ทรงปิดบังเรื่องเหล่านี้จากบรรดาผู้ปรีชา และรอบรู้ แต่ทรงเปิดเผยแก่บรรดาผู้ต่ำต้อย” (ลก 10:21)

    “ปังของพระเจ้า” – เบธเลเฮม แปลว่า “บ้านขนมปัง” – จะดับความหิวในหัวใจที่ยากไร้ ...

ทันใดนั้น ทูตสวรรค์อีกจำนวนมากปรากฏมาสมทบกับทูตสวรรค์องค์นั้น ร้องสรรเสริญพระเจ้าว่า “พระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่พระเจ้าในสวรรค์สูงสุด และบนแผ่นดิน สันติจงมีแด่มนุษย์ที่พระองค์โปรดปราน”

    นี่คือข้อความที่ประชาชนจะโห่ร้องสรรเสริญพระเจ้าในวันอาทิตย์ใบลาน (ลก 19:38) ...