แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

วันพระคริสตสมภพ
อิสยาห์ 52:7-10; ฮีบรู 1:1-6; ยอห์น 1:1-18

บทรำพึงที่ 1
ของขวัญคริสต์มาสของพระเจ้าสำหรับเรา
พระเยซูเจ้าทรงประกาศข่าวให้ชาวโลกรู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระบิดาของเรา และเราทุกคนเป็นพี่น้องกัน

    เมื่อหลายปีก่อน ระหว่างที่เจมส์ มาร์ติน เดินทางไปยังแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ เขาได้ซื้อรูปปั้นการประสูติของพระเยซูเจ้ามาชุดหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยรูปปั้นของพระเยซูเจ้า พระนางมารีย์ นักบุญโยเซฟ และคนเลี้ยงแกะ

    เมื่อมาร์ตินมาถึงสนามบินเทลอาวีฟ เพื่อเดินทางกลับสหรัฐอเมริกา มาตรการรักษาความปลอดภัยที่นั่นเข้มงวดมาก เจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจดู และฉายเอ็กซ์เรย์รูปปั้นทุกรูป แม้แต่รูปพระกุมาร

    เจ้าหน้าที่ขออภัยมาร์ติน ว่า “เราประมาทไม่ได้เลย เราต้องมั่นใจว่าไม่มีระเบิดซ่อนอยู่ในชุดรูปปั้นนี้”

    มาร์ตินมานั่งคิดในภายหลังว่า “ถ้าเจ้าหน้าที่คนนั้นรู้ว่ารูปปั้นชุดนี้มีพลังที่ระเบิดได้ไกลที่สุดในโลก เขาจะว่าอย่างไร”

    พลังระเบิดที่มาร์ตินพูดถึงนี้มีอานุภาพมากกว่าระเบิดนิวเคลียร์ของสหรัฐอเมริกาและรัสเซียรวมกัน แต่พลังนี้คืออะไร

    พลังที่มาร์ตินพูดถึงนี้ไม่ใช่พลังอันไร้ขอบเขตของพระเจ้าที่สามารถสร้าง หรือทำลายโลกได้ภายในพริบตา แต่เป็นพลังที่พระเยซูเจ้าทรงนำเข้ามาในโลกนี้ในคืนคริสต์มาสครั้งแรกนั้น

    พลังนี้ไม่เหมือนพลังอื่นใดที่โลกเคยรู้จักจนถึงเวลานั้น ความแปลกของพลังนี้แสดงออกมาด้วยวิธีการที่พระเยซูเจ้าเสด็จมาในโลกนี้ในฐานะบุตรชายของช่างไม้จน ๆ คนหนึ่ง มาอาศัยอยู่ในคอกสัตว์ที่สกปรก ในดินแดนของชนชาติหนึ่งที่อ่อนแอที่สุดในโลก

    พระเยซูเจ้าเสด็จมาในโลกนี้เหมือนกับคุณและผม คือ เปลือยเปล่า ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ อ่อนแอ และเช่นเดียวกับเราทุกคน พระองค์ต้องรอคอยให้มนุษย์คนอื่น ๆ มาดูแลพระองค์

    พระองค์ทรงรู้จักหิว รู้จักกระหาย และรู้จักเจ็บปวด

    พระองค์ทรงเคยพบกับการเย้ยหยัน การปฏิเสธ พระองค์ถึงกับสิ้นพระชนม์ด้วยวิธีการที่เจ็บปวดที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งสามารถพบได้ คือการตรึงกางเขน

    และเมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงโลกนี้ ไม่มีผู้นำของโลก ไม่มีบรรดานายพล ไม่มีบุคคลสำคัญมาต้อนรับพระองค์

    ผู้ที่มาต้อนรับพระองค์คือคนเลี้ยงแกะตัวเหม็น ๆ ซึ่งสถานภาพทางโลกของเขาต่ำต้อยจนศาลไม่รับฟังคำพยานของเขา

    เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาในโลกนี้ พระองค์ทรงแสดงว่าพระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับคนยากจน คนที่ทนทุกข์ทรมาน คนไร้อำนาจ และแม้แต่คนบาป

    บัดนี้ เราจะพูดถึงพลังที่พระเยซูเจ้าทรงนำมายังโลกนี้พร้อมกับพระองค์ นี่คือพลังที่มีอยู่ในสารที่ไม่น่าเชื่อ ที่พระองค์ทรงนำมาด้วย สารนี้มีสองข้อ

    ข้อแรก นี่คือ “ข่าวดี” ที่บอกเราว่าพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่แห่งสวรรค์และแผ่นดินพระองค์นี้ ทรงรักเรา พระองค์ทรงรักเราแต่ละคน โดยไม่เว้นใคร และโดยไม่สงวนท่าทีเลย

    พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่แห่งสวรรค์และแผ่นดิน ทรงรักเรามาก จนพระองค์ไม่ทรงส่งจดหมายมาบอกเรา พระองค์ไม่ได้ส่งทูตสวรรค์ พระองค์ทรงรักเรามากจนถึงกับทรงส่งผู้นำสารที่ดีที่สุด คือ พระบุตรของพระองค์เอง

    สารข้อที่สองที่พระเยซูเจ้าทรงนำมายังโลกนี้ก็คือ นอกจากพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่แห่งสวรรค์และแผ่นดินพระองค์นี้ทรงรักเราแล้ว พระองค์ยังเป็นพระบิดาของเรา และเราทุกคนเป็นพี่น้องกัน

    สารข้อนี้ไม่น่าเชื่อจนทำให้ เอช. จี. เวลส์ นักประวัติศาสตร์ที่ไม่ใช่คริสตชน จัดให้พระเยซูเจ้าเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาคนทั้งหลายที่เคยมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ เวลส์บอกเหตุผลที่เขาเลือกพระเยซูเจ้าว่า

    “ผมพูดถึงพระองค์ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ... นักประวัติศาสตร์ต้องถือว่าพระองค์เป็นมนุษย์คนหนึ่ง เหมือนกับที่จิตรกรวาดภาพของพระองค์ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง”

    เวลส์บอกว่านักประวัติศาสตร์ต้องไม่สนใจความจริงที่ว่ามนุษย์จำนวนมากถือว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า เขาต้องพิจารณาจากความจริงที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ ความจริงที่จะไม่มีใครท้าทาย และมนุษย์ทุกคนยอมรับได้ในโลกนี้ ไม่ว่าเขาจะเป็นผู้มีความเชื่อหรือไม่มีความเชื่อก็ตาม

    เวลส์แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสารที่ไม่น่าเชื่อของพระเยซูเจ้าว่า “สารนี้เป็นการเปลี่ยนทัศนะที่ปฏิวัติความคิดมากที่สุดครั้งหนึ่ง ไม่เคยมีสารใดที่กระตุ้นและเปลี่ยนความคิดของมนุษย์มากเช่นนี้ ไม่มียุคใดที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าสารนี้มีความท้าทายมากมายอย่างไร ... แต่โลกเริ่มเปลี่ยนไปนับจากวันที่มีการเทศน์สอนคำสอนนี้”

    เวลส์บอกว่าบททดสอบความยิ่งใหญ่ของบุคคลหนึ่ง คือให้ถามว่าบุคคลนั้นได้ทิ้งสิ่งใดไว้เบื้องหลังเพื่อให้เจริญงอกงาม หรือเติบโตต่อไปหลังจากความตายของเขาหรือไม่ เมื่อทดสอบเช่นนี้แล้ว พระเยซูเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์ทุกคนที่เคยมีชีวิตอยู่บนโลกนี้

    พลังที่อยู่ในเหตุการณ์คริสต์มาส คือพลังของสารทั้งสองข้อที่พระเยซูเจ้าทรงนำมาประกาศในโลกนี้

    นั่นคือสารที่บอกเราว่าพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่แห่งสวรรค์และแผ่นดิน ทรงเป็นพระบิดาผู้รักเรา และเราทุกคนควรเป็นพี่น้องที่รักกัน

    สารที่ไม่น่าเชื่อนี้คือของขวัญคริสต์มาสที่พระเจ้าประทานแก่เราแต่ละคน สิ่งใดที่เรากระทำกับสารนี้จะเป็นของขวัญที่เราถวายแด่พระเจ้า

    นอกจากนี้คริสต์มาสยังท้าทายเราด้วย เราสรุปคำท้าทายนี้ในผลงานของกวีนิรนามดังนี้

    “เมื่อเสียงเพลงของทูตสวรรค์เงียบลง
    เมื่อดาวบนท้องฟ้าหายลับไป
    เมื่อพระราชา และเจ้าชายทั้งหลายกลับไปยังวังของเขา
    เมื่อคนเลี้ยงแกะกลับไปดูแลฝูงแกะ
    งานของคริสต์มาสจึงเริ่มขึ้น

    จงตามหาผู้ที่หลงทาง
    รักษาผู้ที่บาดเจ็บ
    เลี้ยงอาหารผู้ที่หิว
    ปล่อยตัวนักโทษ
    สร้างชาติขึ้นมาใหม่
    นำสันติสุขมาสู่พี่น้อง
    สร้างเสียงดนตรีด้วยหัวใจ”

บทรำพึงที่ 2
ยอห์น 1:1-18

    สำหรับคริสตชน และผู้ที่ไม่ได้เป็นคริสตชน คริสต์มาสหมายถึงรางหญ้า คนเลี้ยงแกะ พระนางมารีย์ “พระกุมารเยซู” เป็นต้น ... ทั้งหมดนี้เป็นความจริง และเราได้ยินเรื่องราวเหล่านี้แล้วจากพระวรสารในมิสซาเที่ยงคืน และมิสซารุ่งอรุณ และจากพระวรสารของนักบุญลูกา ...

    แต่ธรรมล้ำลึกที่เราเฉลิมฉลองกันในวันนี้มีความหมายมากมายหลากหลาย จนเราต้องอ่านพระวรสารหลายฉบับประกอบกัน เพื่อให้เราเข้าใจในระดับลึกมากขึ้นในเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโฉมหน้าของโลก และหลังจากเวลาผ่านไป 2,000 ปี ก็ยังสร้างความซาบซึ้งใจแก่ชายหญิงจำนวนมากทั่วโลก เหตุการณ์นั้นคือกำเนิดของเด็กคนหนึ่ง

เมื่อแรกเริ่มนั้น พระวจนาตถ์ทรงดำรงอยู่แล้ว พระวจนาตถ์ประทับอยู่กับพระเจ้า และพระวจนาตถ์เป็นพระเจ้า พระองค์ประทับอยู่กับพระเจ้าแล้วตั้งแต่แรกเริ่ม

    ก่อนกำเนิดของพระเยซูเจ้าที่เบธเลเฮม ซึ่งสามารถระบุวันและสถานที่ได้ มีอีก “กำเนิด” หนึ่งตั้งแต่ก่อนกาลเวลา ... นักบุญยอห์นพาเรากระโดดรวดเดียวไปถึงก่อนกาลเวลา ... บทข้าพเจ้าเชื่อของสภาสังคายนานีเชอา กล่าวว่า “ทรงบังเกิดจากพระบิดาก่อนกาลเวลา ทรงเป็นพระเจ้าจากพระเจ้า ทรงเป็นพระเจ้าแท้จากพระเจ้าแท้” ...

    เพื่ออธิบายธรรมล้ำลึกนี้ ยอห์นใช้คำว่า “พระวจนาตถ์ (Word หรือ Verb)” ด้วยวิธีนี้ เขาเสนอว่าในองค์พระเจ้ามีการสนทนา (dialogue) ในประสบการณ์ของเราก็เช่นกัน ก่อนที่ “วาจา (word)” ของเราจะถูกเอ่ยออกมา วาจานั้นต้องมีอยู่ก่อนภายในตัวเรา ในรูปของ “การสนทนาภายใน (interior discourse)” หรือความคิด...

    พระเยซูเจ้าทรงเป็น “พระวจนาตถ์ของพระเจ้า” ผู้ทรงแสดงให้พระเจ้าปรากฏแก่สายตาของเรา พระองค์ทรงทำให้เรามองเห็นพระเจ้า ... เพราะพระองค์คือ “ความคิดของพระเจ้า” หมายความว่าพระองค์เองทรงเป็นพระเจ้า ... ก่อนจะบังเกิดมาในสภาพที่ตามนุษย์มองเห็นได้ ก่อนจะแสดงพระองค์ในรางหญ้าที่เบธเลเฮม พระวจนาตถ์ทรงดำรงอยู่แล้วในพระตรีเอกภาพ และขณะที่เรามองพระเยซูเจ้าผู้เสด็จมาบังเกิดบนโลกนี้ ขอให้เราอย่าลืมว่าพระเจ้าทรงกำลังเผยพระองค์เองแก่เราในเหตุการณ์นี้ “ผู้ที่เห็นเรา ก็เห็นพระบิดา” (ยน 12:45, 14:49) ...

    เด็กน้อยในรางหญ้าบอกอะไรข้าพเจ้า ... “วาจา” ใดที่พระองค์พูดกับข้าพเจ้า ...

    พระองค์ทรงเปิดเผยให้ข้าพเจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับพระเจ้า ...

พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งอาศัยพระวจนาตถ์ ไม่มีสักสิ่งเดียวที่พระเจ้าไม่ทรงสร้างโดยทางพระวจนาตถ์

    หลังจาก “กำเนิด” นิรันดรของพระวจนาตถ์ของพระเจ้า บัดนี้ เราได้อ่านเรื่อง “กำเนิดของโลก” ... “ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นในพระองค์ และไม่มีสิ่งสร้างใดถูกสร้างขึ้นโดยปราศจากพระองค์” ... ดังนั้น การเนรมิตสร้างนั้นเองคือการแสดงออกครั้งแรกของพระเจ้า จักรวาลบอกเล่าเรื่องราวของพระผู้สร้างแก่เรา ...

    เมื่อมองดวงดาว ดอกไม้ แผ่นดิน ความน่าพิศวงของอะตอม และของเซลส์ที่มีชีวิต เมื่อมองดูมนุษย์ชายหญิง และเด็ก เมื่อมองดูชีวิต และแสงสว่าง ... เราเข้าใจได้ในระดับหนึ่งแล้วว่าพระเจ้าเป็นใคร เพราะพระองค์ทรงแสดงพระองค์เอง – พระองค์ทรงสื่อสารบางอย่างผ่านพระวจนาตถ์ของพระองค์ – ในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง และทุกสิ่งที่ดำรงอยู่นั้น ไม่มีแม้แต่สิ่งเดียวที่ดำรงอยู่โดยปราศจากพระองค์ ...

    พระเยซูเจ้าทรงเป็น “ผู้บังเกิดก่อนสรรพสิ่ง” ...

ชีวิตอยู่ในพระองค์ และชีวิตเป็นแสงสว่างสำหรับมนุษย์ แสงสว่างส่องในความมืด และความมืดกลืนแสงสว่างนั้นไม่ได้

    หลังจาก “กำเนิดนิรันดร” และ “กำเนิดของโลก” ในที่นี้ ยอห์นกล่าวถึง “กำเนิดของงานไถ่กู้” คือชีวิต และแสงสว่างสำหรับมนุษย์ ดังนั้น จึงอาจแปลได้ว่า “สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นในพระองค์คือชีวิต และชีวิตคือแสงสว่างสำหรับมนุษย์” ...

    ทั้งนี้เพราะในพระวรสารของนักบุญยอห์น คำว่า “ชีวิต” หมายถึง “ชีวิตนิรันดร” ชีวิตเหนือธรรมชาติ ชีวิตพระเจ้า – และไม่ได้หมายถึงชีวิตตามธรรมชาติ “สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นในพระองค์คือชีวิต” นี่คือผลงานของพระเยซูเจ้า เราจะพบชีวิตแท้หนึ่งเดียวสำหรับมนุษย์ได้ในพระองค์ กล่าวคือ ในการบังเกิดของพระองค์ในวันพระคริสตสมภพ ในคำสั่งสอนของพระองค์ ในอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงกระทำ ในการสิ้นพระชนม์ และการกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์ ...

    ดังนั้น นักบุญยอห์นได้บอกคร่าว ๆ เกี่ยวกับแผนการของพระเจ้าตั้งแต่ต้นพระวรสารของเขาแล้ว คือ พระตรีเอกภาพ การเนรมิตสร้าง การไถ่กู้ ... ตั้งแต่นิรันดรกาลมาแล้ว และจากภายในธรรมล้ำลึกแห่งความรักของพระองค์ พระเจ้าทรงใฝ่ฝันว่าจะให้เรามีส่วนร่วมในชีวิตของพระองค์เอง ...

    การเนรมิตสร้างคือกิจการอันยิ่งใหญ่ของการทำให้มนุษย์กลายเป็นพระเจ้า กล่าวคือ พระเจ้าผู้ทรงชีวิตทรงวางแผนว่าจะสร้างบุคคลที่มีชีวิต ... ความมืดจะไม่มีทางหยุดยั้งแสงสว่างได้ ... ความตาย และความชั่วไม่สามารถชนะแสงสว่างได้ ...

    คริสต์มาส ... พระคริสตสมภพ ... ชีวิต ... แสงสว่าง

พระเจ้าทรงส่งชายผู้หนึ่งมา เขาชื่อยอห์น เขามาในฐานะพยาน เพื่อเป็นพยานถึงแสงสว่าง เขาไม่ใช่แสงสว่าง แต่เป็นพยานถึงแสงสว่าง

    หลังจากได้นำเราเข้าสู่การเพ่งพินิจขั้นสูงสุดแล้ว ผู้นิพนธ์พระวรสารฉบับที่สี่เริ่มต้นอธิบายอีกครั้งหนึ่งจากระดับพื้นฐาน เพราะในคำบอกเล่าที่เริ่มต้นในวันนี้ เขาต้องการเล่าเรื่องของพระเยซูเจ้า – และเป็นข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ที่ไม่อาจโต้แย้งได้ว่า ยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง เป็นผู้เทศน์สอนเพื่อปูทางให้แก่พันธกิจของพระเยซูเจ้า

    ยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง เขาไม่ใช่ “แสงสว่าง” ผู้นิพนธ์พระวรสารเน้นความจริงข้อนี้ ด้วยเกรงว่าอาจมีมนุษย์คนใดอ้าง หรือถูกอ้างว่าเขาเป็นพระเจ้า หรือเป็นพระเมสสิยาห์ของพระองค์ ... แต่พระเจ้าทรงต้องการความช่วยเหลือจากมนุษย์ ... พระเยซูเจ้าทรงต้องการความช่วยเหลือจากยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง และเพื่อจะเสด็จมาบังเกิดในวันพระคริสตสมภพ พระองค์ทรงต้องการความช่วยเหลือจากพระนางมารีย์ เพราะเมื่อทรงตัดสินใจแล้วว่าพระองค์จะทรงสร้างมนุษยชาติให้มีความรับผิดชอบ และเป็นอิสระ และให้เป็นพันธมิตรแท้ของพระองค์ พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อมนุษย์อย่างยุติธรรม .. ตามปกติ ไม่มีใครเข้าถึงความเชื่อในพระเยซูคริสตเจ้าได้โดยตรง โดยไม่ผ่านคนกลางที่เป็นมนุษย์ โดยไม่มีมนุษย์เป็นพยาน ... หรือโดยไม่มีมนุษย์ชายหรือหญิงผู้เตรียมทางให้แก่แสงสว่าง ...

    ท่านผู้กำลังเฉลิมฉลองเทศกาลพระคริสตสมภพในวันนี้ ท่านเป็นพยานถึงพระเยซูเจ้าหรือเปล่า ... ชีวิตของท่านกล่าวสารเดียวกันกับสารที่พระเยซูเจ้าตรัสจากรางหญ้าหรือเปล่า ...

แสงสว่างแท้จริงซึ่งส่องสว่างแก่มนุษย์ทุกคน กำลังจะมาสู่โลก

    พระเยซูเจ้าผู้เดียวเท่านั้นทรงเปิดเผยความลึกล้ำของทุกสิ่งทุกอย่าง และความหมายของสรรพสิ่ง ...

    ในวันพระคริสตสมภพนี้ วันที่แม้แต่คนที่ปกติไม่ไปวัดก็ยังก้าวเข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้า เราได้รับความบรรเทาใจที่ได้ยินยอห์นบอกเราว่า สหภาพแห่งพระวจนาตถ์กำลังส่องแสงไปยังมนุษย์ทุกคน ไม่เว้นใครเลย ถูกแล้ว พระเจ้าตรัสกับหัวใจของมนุษย์ชายหญิงแต่ละคน ด้วยวิธีที่เราไม่รู้ ...

    เป็นความจริงที่คริสต์มาสส่งสารไปถึงหัวใจทุกดวง ในช่วงเวลานี้ คลื่นความดีโถมเข้าใส่โลก ในหัวใจของมนุษย์แต่ละคน เขาได้ยินเสียงเรียกให้เขารักให้มากขึ้น ... พระเจ้าผู้ซ่อนพระองค์ ไม่ได้อยู่ห่างไกลมนุษย์คนใดเลย เพราะพระองค์คือ “แสงสว่างดวงน้อย” ดวงนั้น ซึ่งบ่อยครั้งส่องทะลุความมืดในชีวิตของเรา ...

พระวจนาตถ์ประทับอยู่ในโลก และโลกถูกสร้างโดยอาศัยพระองค์ แต่โลกไม่รู้จักพระองค์ พระองค์เสด็จมาสู่บ้านเมืองของพระองค์ แต่ประชากรของพระองค์ไม่ยอมรับพระองค์

    ตลอดพระวรสารของนักบุญยอห์น เต็มไปด้วยทางเลือกนี้ บางคนติดตามพระเยซูเจ้า บางคนปฏิเสธ ... บางคนเชื่อ และบางคนไม่เชื่อ ...

    ท่านผู้เฉลิมฉลองเทศกาลพระคริสตสมภพในวันนี้ ท่านพร้อมจะ “แสดงความเชื่อ” อย่างแท้จริงหรือไม่ ... ท่านจะพยายามย่างเท้าไปอีกก้าวหนึ่งเพื่อติดตามพระเยซูเจ้าหรือไม่ ... ขอให้เราถามตนเองว่าเรายอมรับพระเยซูเจ้าอย่างแท้จริงในชีวิตแต่ละวันของเราหรือเปล่า ...

    คำตอบอาจไม่เห็นได้ชัดเจนนัก การยอมรับพระเยซูเจ้าไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่าย “ประชากรของพระองค์ไม่ยอมรับพระองค์” ... กางเขนที่สร้างขึ้นจากไม้อย่างหยาบ ๆ เหมือนรางหญ้า ปรากฏขึ้นลาง ๆ เหนือรางหญ้านี้แล้ว คือการปฏิเสธของมนุษย์ที่จะเชื่อในความรัก ดังนั้น เขาจึงปฏิเสธชีวิต และแสงสว่างด้วย ...

ผู้ใดที่ยอมรับพระองค์คือผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ประทานอำนาจให้ผู้นั้นกลายเป็นบุตรของพระเจ้า เขามิได้เกิดจากสายเลือด มิได้เกิดจากความปรารถนาตามธรรมชาติ มิได้เกิดจากความต้องการของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า

    พระวรสารบทนี้ นอกจากยอห์นจะเปิดเผยให้เรารู้เรื่อง “กำเนิด” นิรันดรของพระวจนาตถ์ เขายังเผยให้เรารู้ด้วยว่า เรามีสองชาติกำเนิด กล่าวคือ เราเกิดเป็นมนุษย์ที่รู้จักตายและมีข้อจำกัด เกิดจากบิดามารดาของเรา – เกิดจาก “อำเภอใจของมนุษย์” ผ่านทาง “เลือดและเนื้อ” – และเรารู้ดีว่าสภาพมนุษย์ของเราอ่อนแอเพียงไร ... แต่ความเชื่อช่วยเราให้มองเห็น และยอมรับอีกชาติกำเนิดหนึ่ง – คือกำเนิดจากพระเจ้า นั่นคือ เราเกิดจากพระเจ้า ดังนั้น ภายในตัวตนที่อ่อนแอของเรา จึงมีชีวิตพระเจ้า ... นักบุญยอห์น เน้นย้ำกับเราหลายครั้งว่าชีวิตนี้เป็นชีวิตนิรันดร (ยน 3:15-16, 3:36, 4:14, 4:36, 5:24, 39, 6:27, 40, 47, 54, 68, 10:28, 12:25, 50, 17:2, 3) ...

    สิ่งน่าพิศวงที่สุดก็คือ เมื่อแปลความหมายในระดับลึกสุด ถ้อยคำของนักบุญยอห์นบอกเราว่าในตัวมนุษย์แต่ละคนมีกำเนิดจากพระเจ้าในสองระดับ นักบุญยอห์นใช้วลีที่แตกต่างกันว่า “เกิดจากพระเจ้า” และ “บุตรของพระเจ้า”

    1)    “เกิดจากพระเจ้า” - มนุษย์ทุกคนมีความสัมพันธ์ฉันบุตรกับพระเจ้ามาตั้งแต่ต้น ไม่มีมนุษย์ชายหญิงคนใดที่อยู่ภายนอกชีวิตที่พระเจ้าประทานแก่เราได้อย่างสิ้นเชิง นักบุญเปาโลอธิบายความคิดนี้ว่าแม้แต่บุคคลที่ไม่รู้จักพระคริสตเจ้าก็ยัง “เกิดจากพระเจ้า” และหลายคนอาจได้รับความรอดพ้นได้ด้วยการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติที่ “จารึกไว้ในดวงใจมนุษย์” (2 คร 3:2-3 เทียบ ยรม 31:33) ... ถูกแล้ว พระเจ้าทรงต้องการช่วยทุกคนที่ “เกิดจากพระองค์” ให้ได้รับความรอดพ้น และพระองค์ประทานพระพรแห่งความรอดพ้นแก่เขา โดยทรงช่วยเขาให้ดำรงชีวิตตามมโนธรรมของเขา (รม 2:14-16)

    2)    “บุตรของพระเจ้า” - นี่เป็นกำเนิดอีกขั้นหนึ่ง แม้ว่าเป็นขั้นที่พัฒนาขึ้นโดยมีขั้นแรกเป็นพื้นฐาน เรากลายเป็น “บุตรของพระเจ้า” โดยทางความเชื่อ เมื่อเราเชื่อในพระนามของพระเยซูเจ้า นี่คือคำเชิญสำหรับผู้ที่ได้รับชีวิตจากพระเจ้าแล้ว ให้มาเป็น “บุตรของพระเจ้า” โดยการศึกษาคริสตธรรมคำสอน และรับศีลล้างบาป กล่าวคือ ด้วยการเข้าเป็นสมาชิกของพระศาสนจักร เป็นประชากรของกลุ่มบุตรของพระเจ้า

    ทำไมคนจำนวนมากจึงอยากเข้าวัดในวันพระคริสตสมภพ เมื่อตามปกติเขาแทบไม่เคยเข้าวัด ทำไมเขาจึงมาฉลองคริสต์มาสกัน ... เขาไม่ได้กำลังบอกเราอย่างที่นักบุญยอห์น กำลังบอกเราในที่นี้หรือ ...

    มีความปรารถนาประการหนึ่งซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจมนุษย์ทุกคน เขาคิดว่า ถ้าคำสอนนี้เป็นความจริงเล่า ... ถ้าเป็นความจริงที่เราไม่ได้เป็นเพียงมนุษย์ที่รู้จักตาย แต่ในตัวเรามีชีวิตนิรันดร ...

พระวจนาตถ์ทรงรับธรรมชาติมนุษย์ และเสด็จมาประทับอยู่ในหมู่เรา เราได้เห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ เป็นพระสิริรุ่งโรจน์ที่ทรงรับจากพระบิดาในฐานะพระบุตรเพียงพระองค์เดียว เปี่ยมด้วยพระหรรษทาน และความจริง

    ยอห์นนำเรากลับไปหาพระกุมารที่เบธเลเฮม ในคอกสัตว์นั้น พระองค์บรรทมบนฟางแห่งความยากไร้ของมนุษย์ คล้ายกับความยากไร้ของเรา เราสามารถเพ่งพินิจ “เนื้อหนัง” ที่พระเจ้าเสด็จมาสวมนี้ได้ ... พระองค์ทรงทำให้พระองค์เองอ่อนแอ เพื่อประทานนิรันดรภาพของพระองค์แก่เรา ... พระองค์ทรงทำให้พระองค์เองรู้จักตาย เพื่อประทานอมตภาพของพระองค์แก่เรา ... พระองค์ทรงยอมรับสภาพมนุษย์ เพื่อยกเราขึ้นสู่สภาพพระเจ้า ดังที่ปิตาจารย์ยุคแรกของพระศาสนจักรกล้ายืนยัน ... ในศตวรรษที่ 4 ขณะที่อัตติลา และกองทัพของเขา กำลังโจมตีกรุงโรม ในวันพระคริสตสมภพ นักบุญเลโอผู้ยิ่งใหญ่ ทรงประกาศในบทเทศน์แก่โลกที่ตกอยู่ท่ามกลางวิกฤติทางสังคม ซึ่งดูเหมือนว่ากำลังนำมนุษยชาติไปสู่ความหายนะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่า “คริสตชนเอ๋ย จงตระหนักในความสูงศักดิ์ของท่าน – ท่านได้ร่วมรับพระธรรมชาติของพระเจ้าแล้ว ดังนั้น จงอย่าให้วิถีชีวิตอันต่ำช้าฉุดท่านกลับไปสู่สภาพเดิมอันต่ำช้าของท่านอีกเลย” ...

    พระวจนาตถ์ – พระเอกบุตร – ทรงรับสภาพมนุษย์ ... ก่อนหน้านี้ เมื่อยอห์นกล่าวถึงเรามนุษย์ เขาใช้คำว่า tekma Theou หรือบุตรของพระเจ้า บัดนี้ เขาใช้คำที่สงวนไว้สำหรับพระเยซูเจ้าเท่านั้นคือ Uios Theou หรือพระบุตรของพระเจ้า ความเป็น “พระบุตร” ของพระเยซูเจ้าแตกต่างจากการเป็น “บุตรพระเจ้า” ของเรา และเพื่อแสดงธรรมล้ำลึกข้อนี้ ซึ่งความเชื่อเท่านั้นสามารถทำให้เราเข้าถึงได้ ในข้อความนี้ ยอห์นจึงใช้คำที่ตรงที่สุด และเปิดเผยความเป็นจริงได้มากที่สุด คือ eskenosen ซึ่งแปลตรงตัวว่า “ทรงตั้งกระโจมของพระองค์” ท่ามกลางเรา พระคัมภีร์เซปตัวยินตา (พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมฉบับแปลเป็นภาษากรีก) ก็ใช้คำนี้ ซึ่งแปลมาจากแนวความคิดของชาวยิวจากคำว่า Shekinah หมายถึงที่พำนักของพระเจ้าท่ามกลางประชากรของพระองค์ หมายถึง “กระโจมของพระเจ้า” ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางประชาชนในถิ่นทุรกันดาร ... หมายถึง “พระวิหารของพระเจ้า” ในกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นสถานที่ของ “การประทับอยู่โดยแท้” ของพระองค์ และสถานที่แห่ง “พระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า” ...

    นับแต่นี้ไป “เนื้อหนัง หรือธรรมชาติมนุษย์” ของพระกุมารนี้จะเป็นที่ประทับของพระเจ้า ...

ยอห์นเป็นพยานถึงพระองค์ และประกาศว่า “ผู้ที่มาภายหลังข้าพเจ้าได้นำหน้าข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า”

    ในย่อหน้าที่สองที่กล่าวถึงยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง ผู้นิพนธ์พระวรสารพัฒนาแนวคิดทางเทววิทยาขึ้นเรื่อย ๆ ยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง เป็นมนุษย์คนสุดท้ายของยุคพันธสัญญาเดิม เป็นประกาศกคนสุดท้าย ... และเป็นพยานคนแรกที่ยืนยันถึงพระเยซูคริสตเจ้า ... เขายืนยันอีกครั้งหนึ่งถึงความแตกต่างของธรรมชาติของพระเยซูเจ้าและของเขา กล่าวคือ เราเกิดมาในกาลเวลา ส่วนพระเยซูเจ้าทรงบังเกิดก่อนกาลเวลา ... พระเจ้าทรงเสนอให้เราร่วมรับธรรมชาติพระเจ้าของพระองค์ ซึ่งทำให้เรากลายเป็นบุตรของพระเจ้า – แต่พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเจ้าตั้งแต่นิรันดรกาล ... พระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า!

จากความไพบูลย์ของพระองค์ เราทุกคนได้รับพระหรรษทานต่อเนื่องกัน เพราะพระเจ้าได้ประทานธรรมบัญญัติผ่านทางโมเสส แต่พระหรรษทาน และความจริงมาทางพระเยซูคริสตเจ้า

    ความสัมพันธ์ของพระเจ้า และมนุษยชาติ อุดมไปด้วยพระพรอย่างบริบูรณ์และความรักล้นเหลือ – “พระหรรษทานต่อเนื่องกัน” ดังกล่าว หมายถึงพระพรต่าง ๆ ที่เราได้รับมาเปล่า ๆ อย่างต่อเนื่องจากความรักของพระเจ้า ... ธรรมบัญญัติที่พระองค์ประทานแก่โมเสส (และประวัติการผจญภัยของชาวอิสราเอลโบราณ) ก็เป็นนิยายรักที่น่าพิศวงแล้ว เป็นเรื่องราวของพันธสัญญารัก เพราะเราใช้คำว่า “พระหรรษทานและความจริง” บรรยายการทำงานของพระเจ้ามาตั้งแต่นิรันดรกาล แต่ในพระเยซูเจ้าทุกสิ่งเหล่านี้ไหลหลั่งลงมาอย่างล้นเหลือ จนเรียกได้ว่าเป็นความไพบูลย์ ... นับแต่นี้ไป มนุษยชาติจะเต็มเปี่ยมด้วยพระเจ้า ด้วยความเชื่อเหมือนของพระนางมารีย์ ผู้เป็นแบบฉบับสำหรับผู้มีความเชื่อในอนาคต มนุษยชาติผู้ “เต็มเปี่ยมด้วยพระเจ้า” จะให้กำเนิดพระองค์จากครรภ์ของมนุษยชาติเอง ...
    และในวันนี้ เช่นเดียวกับในทุกยุคสมัย “สรรพสิ่งต่างกำลังรอคอยอย่างกระวนกระวาย เพื่อพระเจ้าจะได้ทรงบันดาลให้บรรดาบุตรของพระองค์ปรากฏในพระสิริรุ่งโรจน์ ... และกำลังร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดราวกับสตรีคลอดบุตร” (รม 8:19-22) ... ถูกแล้ว วันนี้ ในวันฉลองพระคริสตสมภพครั้งนี้ “พระหรรษทาน และความจริงมาทางพระเยซูคริสตเจ้า” และกำลังบังเกิดในหัวใจของมนุษย์ทั้งหลาย ...

ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย พระบุตรเพียงพระองค์เดียว ผู้สถิตอยู่ในพระอุระของพระบิดานั้นได้ทรงเปิดเผยให้เรารู้

    ความรักของพระเจ้ายิ่งใหญ่นัก พระองค์ทรงรู้ว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ในอุตรภาพ (Transcendence) ที่ไกลเกินเอื้อมของสิ่งสร้างใด ๆ ไม่มีใคร “มองเห็น” พระองค์อย่างที่เรามองเห็นวัตถุต่าง ๆ ในโลก แต่พระองค์ประทับอยู่ในเนื้อหนังของพระเยซูเจ้า ... และเมื่อเรามองพระเยซูเจ้า เราสามารถรู้ได้ว่าพระเจ้าผู้สงบเงียบพระองค์นี้ ทรงคิดอะไร และทรงประสงค์สิ่งใด...

    ดังนั้น นี่จึงเป็น “อารัมภบท” ของข่าวดีตามคำบอกเล่าของนักบุญยอห์น – อารัมภบทนี้สอดคล้องกับเรื่องราวทั้งหมดที่จะตามมา กล่าวคือ พระเยซูเจ้าผู้ทรงเป็นพระเจ้า ตรัสกับมนุษย์ ทรงเผยความลับ และธรรมล้ำลึกของพระองค์ ... ผู้ใดที่รู้จักรัก ไม่ว่าเขาเป็นคริสตชนหรือไม่ก็ตาม ผู้นั้นย่อม “เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า และเกิดจากพระเจ้า” แล้ว แต่ใครก็ตามที่ “เชื่อในพระเยซูเจ้า” จะเข้าสู่ความไพบูลย์แบบใหม่ เพราะเขารู้จักพระเจ้า และกลายเป็นบุตรของพระองค์ ...

    พระเจ้าข้า ในวันพระคริสตสมภพนี้ โปรดทรงบันดาลให้เราเป็นหนึ่งใน “ความเป็นจริงภายใน” ของพระศาสนจักรของพระองค์ โดยอาศัยความรักจากชีวิตที่พระองค์ประทานให้ – และโปรดทรงบันดาลให้เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระศาสนจักรของพระองค์ “อย่างชัดแจ้ง และมองเห็นได้” โดยอาศัยศีลล้างบาป และศีลมหาสนิทด้วยเทอญ ...