วันอาทิตย์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต
อพยพ 17:3-7; โรม 5:1-2, 5-8; ยอห์น 4:5-42

บทรำพึงที่ 1
สองอัศจรรย์
เราควรบอกข่าวดีให้ผู้อื่นรับรู้ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเราผ่านทางน้ำแห่งศีลล้างบาป

    เมื่อ ค.ศ. 1887 เด็กหญิงอายุ 7 ปีคนหนึ่งชื่อ เฮเลน เคลเลอร์ อาศัยอยู่ในรัฐอลาบามา แต่เธอไม่ใช่เด็กธรรมดา เธอตาบอด หูหนวก และเป็นใบ้

    เฮเลนสูญเสียสมรรถภาพการมองเห็น และการได้ยิน เนื่องจากการป่วยเมื่อเธออายุประมาณหนึ่งขวบครึ่ง เนื่องจากเธอไม่ได้ยินอะไรอีกแล้ว ในไม่ช้าเธอก็สูญเสียความสามารถในการเลียนแบบเสียง ดังนั้นเธอจึงพูดไม่ได้

    เธอเป็นเหมือนสัตว์ป่าตัวเล็ก ๆ ที่ไม่มีทางติดต่อกับโลก แต่กระนั้น ก่อนที่เฮเลนจะเสียชีวิต เธอจะสำเร็จการศึกษาระดับวิทยาลัยโดยได้รับเกียรตินิยม เธอจะกลายเป็นนักประพันธ์ที่ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวาง เธอจะเป็นแขกรับเชิญไปยังทำเนียบขาวของประธานาธิบดีสหรัฐ ตั้งแต่ โกรเวอร์ คลีฟแลนด์ จนถึงจอห์น เอฟ. เคเนดี้ และเธอจะกลายเป็นแรงบันดาลใจให้แก่คนพิการทั่วโลก

    เรื่องราวเบื้องหลังความสำเร็จอันน่าทึ่งของเฮเลนเริ่มขึ้นในวันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิของปี 1887 เมื่อหญิงสาววัย 20 ปี คนหนึ่งชื่อ แอนนี่ ซัลลิแวน เดินทางมาที่อลาบามา เพื่อทำหน้าที่ครูส่วนตัวของเฮเลน

    ก้าวแรกอันยิ่งใหญ่ของแอนนี่ในการเริ่มต้นสื่อสารกับเฮเลนน้อย เกิดขึ้นหลังจากเธอมารับหน้าที่ได้หลายสัปดาห์ เฮเลนบรรยายเหตุการณ์นี้ในหนังสืออัตชีวประวัติของเธอชื่อ The Story of My Life ไว้ดังนี้

    “[ครูของดิฉัน] นำหมวกมาให้ดิฉัน และดิฉันรู้ว่าดิฉันกำลังจะออกไปอยู่ท่ามกลางแสงแดดอันอบอุ่น ความคิดนี้ทำให้ดิฉันกระโดดโลดเต้นด้วยความสนุกสนาน

    เราเดินไปตามทางที่นำไปสู่บ่อน้ำที่ปั๊มน้ำแบบคันโยก เราเดินตามกลิ่นหอมของดอกไม้จากเถาไม้เลื้อยที่ขึ้นปกคลุมบ่อน้ำ ใครบางคนกำลังปั๊มน้ำขึ้นมาจากบ่อ และครูของดิฉันก็จับมือของดิฉันยื่นไปใต้ก๊อกน้ำ ขณะที่สายน้ำเย็นฉ่ำ ไหลผ่านมือข้างหนึ่งของดิฉัน เธอก็เขียนคำว่า “น้ำ” บนมืออีกข้างหนึ่งของดิฉัน ดิฉันหยุดชะงัก ความสนใจทั้งหมดมารวมอยู่ที่ความเคลื่อนไหวของนิ้วมือของครู

    ความเร้นลับของภาษาถูกเปิดเผยแก่ดิฉันในทันทีทันใด ดิฉันรู้ในเวลานั้นว่า “น้ำ” หมายถึงอะไรบางอย่างที่เย็นฉ่ำที่กำลังไหลผ่านมือของดิฉัน คำที่มีชีวิตปลุกวิญญาณของดิฉันให้ตื่นขึ้น ให้ความสว่าง ความหวัง ความยินดี และปลดปล่อยให้วิญญาณของดิฉันเป็นอิสระ...

    ดิฉันเดินจากบ่อน้ำนั้นมาพร้อมกับความกระหายจะเรียนรู้ ทุกสิ่งทุกอย่างมีชื่อ และแต่ละชื่อให้กำเนิดความคิดใหม่อย่างหนึ่ง ขณะที่เราเดินกลับมาที่บ้าน วัตถุทุกอย่างที่ดิฉันแตะต้องดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยชีวิต นั่นเป็นเพราะดิฉันมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างด้วยสายตาที่แปลกและใหม่ที่ดิฉันเพิ่งจะได้รับ”

    ประสบการณ์ของเฮเลนที่บ่อน้ำในวันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิ ได้เปลี่ยนชีวิตของเธอตลอดไป

    เรื่องของ เฮเลน เคลเลอร์ ที่บ่อน้ำมีความคล้ายคลึงมากกับเรื่องราวในพระวรสารวันนี้ เรื่องนี้เกิดขึ้นที่บ่อน้ำเช่นเดียวกัน และเป็นเรื่องของครูคนหนึ่งและศิษย์คนหนึ่งเช่นเดียวกัน ในเรื่องนี้ ครูก็ใช้น้ำเพื่อสื่อสารสำคัญให้แก่ศิษย์ และสารนั้นก็เปลี่ยนชีวิตของศิษย์ได้ตลอดไป

    เช่นเดียวกับกรณีของ เฮเลน เคลเลอร์ น้ำได้ยกหญิงชาวสะมาเรียขึ้นจากโลกแห่งความมืด และเปิดโลกแห่งความสว่างให้แก่เธอ และเช่นเดียวกับชีวิตของ เฮเลน เคลเลอร์ ชีวิตของหญิงชาวสะมาเรียผู้นี้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

    ในยุคแรกของคริสตศาสนา หญิงชาวสะมาเรียเป็นภาพลักษณ์ที่นิยมใช้แทนตัวผู้ที่เรียนคำสอนเตรียมตัวเป็นคริสตชน คนเหล่านี้เป็นผู้ใหญ่ที่ศึกษาคำสอนของคริสตศาสนาเพื่อเตรียมตัวรับศีลล้างบาปในวันเตรียมฉลองปัสกา ในไม่ช้า คนเหล่านี้จะได้พบกับพระเยซูเจ้าที่บ่อน้ำ น้ำจะมีบทบาทสำคัญในการพบกันนั้น และชีวิตของเขาก็จะเปลี่ยนไปตลอดกาลเช่นเดียวกัน

    เรื่องนี้ทำให้เราคิดถึงเขตวัดของเราและตัวเรา ในเขตวัดของเราในวันเตรียมฉลองปัสกา ผู้เรียนคำสอนจะมารวมตัวกันรอบบ่อน้ำ และเหมือนกับกรณีของหญิงชาวสะมาเรีย และเฮเลน เคลเลอร์ น้ำจากบ่อน้ำนั้นจะเปลี่ยนชีวิตของเขาตลอดไป

    ในวันเตรียมฉลองปัสกา เราจะมายืนรอบบ่อน้ำเดียวกันนี้เพื่อรื้อฟื้นคำปฏิญาณศีลล้างลาปของเราเช่นเดียวกัน เราจึงควรไตร่ตรองข้อความในเรื่องจากพระวรสารที่เราได้ยินวันนี้ เราต้องสังเกตว่าหญิงชาวสะมาเรียทำอะไรหลังจากเธอพบพระเยซูเจ้าที่บ่อน้ำนั้นแล้ว พระวรสารบอกเราว่า

    หญิงผู้นั้นทิ้งไหน้ำของนางไว้ที่นั่น กลับเข้าไปในเมือง และบอกประชาชนว่า
    “มาเถิด มาดูชายคนหนึ่งที่บอกทุกอย่างที่ดิฉันเคยทำ”

    พระวรสารบอกด้วยว่า ประชาชนพากันออกจากเมือง และมาเฝ้าพระองค์

    ดังนั้น หญิงคนนี้ ซึ่งเคยเป็นคนบาปหนามาก่อน ได้กลายเป็นธรรมทูตคนแรกของคริสตศาสนา หลังจากได้พบพระเยซูเจ้าที่บ่อน้ำแล้ว เธอกลับไปแบ่งปันข่าวดีเกี่ยวกับพระเยซูเจ้าให้แก่มิตรสหาย และเพื่อนบ้านของเธอ

    และนี่คือสิ่งที่พระวรสารประจำวันนี้สอนให้เราแต่ละคนปฏิบัติ
    เราเองก็ควรตอบสนองต่อการพบปะระหว่างเรากับพระเยซูเจ้าที่บ่อน้ำแห่งศีลล้างบาป เหมือนกับที่หญิงชาวสะมาเรียเคยทำ เราควรทำเหมือนกับที่ เฮเลน เคลเลอร์ เคยทำ เราควรแบ่งปันชีวิตใหม่ที่พระอาจารย์ของเราช่วยให้เราได้รับกับผู้อื่น เราควรออกไปและบอกเล่าข่าวดีเกี่ยวกับพระเยซูเจ้าให้ผู้อื่นรับรู้ ข้าพเจ้าขอแนะนำวิธีหนึ่งที่เราสามารถทำเช่นนี้ได้

    ในจำนวนคาทอลิก 70 ล้านคนในประเทศสหรัฐอเมริกา 15 ล้านคนไม่ปฏิบัติศาสนกิจ นั่นหมายความว่าคาทอลิกเฉลี่ย 600 คนต่อหนึ่งเขตวัดไม่ปฏิบัติศาสนกิจ สถิติเผยว่าสองในสามของคาทอลิกทั้งหมดที่กลับคืนสู่พระศาสนจักรในที่สุด กลับมาเพราะเพื่อนหรือญาติคนหนึ่งของเขาชวนเขากลับมา

    สถิติยังเผยด้วยว่าผู้ที่เชิญชวนคาทอลิกที่ไม่ปฏิบัติศาสนกิจให้กลับคืนสู่พระศาสนจักรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดก็คือคาทอลิกที่ครั้งหนึ่งเคยทิ้งวัด

    ข้าพเจ้าเชื่อว่านี่คือส่วนหนึ่งของงานธรรมทูตซึ่งคาทอลิกทุกคนในวัดนี้ ในวันนี้ สามารถทำได้ และควรทำได้

    เราทุกคนรู้จักคาทอลิกที่ทิ้งวัด และอาจพบหนทางที่นำเขากลับคืนสู่พระศาสนจักรได้ โดยอาศัยพลีกรรมระหว่างเทศกาลมหาพรตของเรา และคำเชิญชวนด้วยความรักของเรา

    พระเยซูเจ้าทรงยืนยันกับเราว่า ชาวสวรรค์จะยินดีเมื่อคนหลงทางคนหนึ่งได้กลับมา มากกว่ายินดีกับคนหนึ่งร้อยคนที่ไม่จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือให้รอดพ้น

    ขอให้เราสรุปบทรำพึงนี้ด้วยบทภาวนา

    พระเจ้าข้า เช่นเดียวกับ เฮเลน เคลเลอร์
    ผู้ค้นพบชีวิตใหม่ที่บ่อน้ำ
    และเช่นเดียวกับหญิงชาวสะมาเรีย
    ผู้ค้นพบชีวิตใหม่ที่บ่อน้ำเช่นกัน
    โปรดทรงช่วยเราให้แบ่งปันชีวิต
    ที่เราได้รับจากบ่อน้ำแห่งศีลล้างบาปกับผู้อื่นเช่นกัน
    นี่คือสิ่งเล็กน้อยที่สุดที่เราสามารถทำได้
    เพื่อตอบแทนพระพรแห่งชีวิตอันยิ่งใหญ่ที่พระองค์ประทานแก่เรา


บทรำพึงที่ 2
ยอห์น 4:5-42

พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองหนึ่งในแคว้นสะมาเรีย ชื่อสิคาร์ ใกล้ที่ดินที่ยาโคบยกให้โยเซฟ บุตรชาย ที่นั่นมีบ่อน้ำของยาโคบ พระเยซูเจ้าทรงเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง จึงประทับที่ขอบบ่อ ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณเที่ยงวัน หญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่งมาตักน้ำ

    พระวรสารของนักบุญยอห์นตอนที่ดีที่สุดเป็นข้อความที่อ่านแล้วลืมไม่ลง เราสามารถอ่านได้ในหลายระดับโดยที่ความหมายไม่ขัดแย้งกันเอง เช่น อ่านเสมือนเป็นเพชรน้ำหนึ่งด้านวรรณกรรม และถึงกับเป็นศิลปะทางบทกวี ... เสมือนว่าเป็นการแสดงออกซึ่งความเฉียบคมด้านจิตวิทยาของพระเยซูเจ้า ... หรือเป็นแหล่งข้อมูลอันอุดมสำหรับรำพึงตามเหตุการณ์ในพระคัมภีร์ ... หรือเป็นตัวอย่างที่ดีเยี่ยมของการใช้สัญลักษณ์ที่ลึกล้ำที่สุดของมนุษย์ ... และนอกจากทั้งหมดนี้แล้ว ยังเป็นคำสอนให้เราเรียนรู้เรื่องราวของพระคริสตเจ้า และศีลศักดิ์สิทธิ์...

    แต่ก่อนอื่น ขอให้เราลิ้มรสความเป็นจริงที่เสนอในคำบอกเล่านี้ พระเยซูเจ้า “ทรงเหน็ดเหนื่อย” ทรงอ่อนเพลียจากการเดินทางอันยาวนานภายใต้แสงแดดยามเที่ยงวัน ... นั่นเป็นเวลาก่อนที่พระองค์เสวยอาหาร ... ขณะกำลังเหนื่อยล้าจนสุดจะทนได้อีกต่อไป พระองค์ประทับนั่งลงบนพื้นดิน พิงข้างบ่อ พระองค์ทรงกระหายน้ำ แต่ไม่มีอุปกรณ์สำหรับตักน้ำขึ้นจากบ่อ ... หญิงคนหนึ่งเดินมาถึงที่นั่น นางทูนไหน้ำบนศีรษะอย่างที่หญิงในแถบตะวันออกเคยทำ...

    เมื่อใดที่ข้าพเจ้าหมดแรง เหน็ดเหนื่อยถึงขีดสุด ข้าพเจ้าสามารถภาวนาต่อพระเยซูเจ้าผู้นี้ เพราะพระองค์ทรงรู้ว่าความเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างไร...

พระเยซูเจ้าตรัสแก่นางว่า “ขอน้ำดื่มสักหน่อยเถิด” บรรดาศิษย์ของพระองค์ไปซื้ออาหารในเมือง หญิงชาวสะมาเรียทูลพระองค์ว่า “ท่านเป็นชาวยิว ทำไมจึงขอน้ำดื่มจากดิฉันซึ่งเป็นชาวสะมาเรียเล่า เพราะชาวยิวไม่ติดต่อกับชาวสะมาเรียเลย” พระเยซูเจ้าตรัสตอบนางว่า “หากท่านรู้จักของประทานของพระเจ้า และรู้จักผู้ที่บอกท่านว่า ‘ขอน้ำดื่มสักหน่อยเถิด’ ท่านคงกลับเป็นผู้ขอ และผู้นั้นจะให้ ‘น้ำที่ให้ชีวิต’ แก่ท่าน”

    พระเยซูเจ้าผู้ทรงเป็นมนุษย์ที่เป็นอิสระอย่างแท้จริง พระองค์ทรงฝ่าฝืนข้อห้ามถึงสามข้อในกรณีนี้ คือ ข้อห้ามทางเชื้อชาติ ศาสนา และศีลธรรม ... ในดินแดนตะวันออก มีข้อห้ามพูดกับสตรีในที่สาธารณะ “ชาวยิวที่ดี” ดูถูกชาวสะมาเรียว่าเป็นคนนอกรีต เป็นพวกนับถือรูปเคารพ ชาวยิวและชาวสะมาเรียเกลียดชังกันอย่างรุนแรงมานานถึงแปดศตวรรษ ... แต่พระเยซูเจ้าทรงเป็นอิสระ พระองค์ไม่ทรงเชื่อเรื่องการตัดขาดกันอย่างถาวร หรือในตราบาป หรือในการแบ่งแยกทางการเมือง หรือทางศาสนาระหว่าง “ฝ่ายดี” และ “ฝ่ายเลว”…

นางจึงทูลว่า “นายเจ้าขา ท่านไม่มีถังตักน้ำและบ่อก็ลึกมาก ท่านจะเอาน้ำที่ให้ชีวิตมาจากไหน ท่านยิ่งใหญ่กว่ายาโคบ บรรพบุรุษของเราหรือ ยาโคบให้บ่อน้ำนี้แก่เรา ยาโคบ ลูกหลาน และฝูงสัตว์ก็ได้ดื่มน้ำจากบ่อนี้” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้นั้นจะไม่กระหายอีก น้ำที่เราจะให้เขา จะกลายเป็นธารน้ำในตัวเขา ไหลรินเพื่อชีวิตนิรันดร” หญิงนั้นจึงทูลว่า “นายเจ้าขา โปรดให้น้ำนั้นแก่ดิฉันบ้าง เพื่อดิฉันจะไม่ต้องกระหาย หรือต้องมาตักน้ำที่นี่อีก”
    เราเริ่มมองเห็นวิธีใช้หลักจิตวิทยาของพระเยซูเจ้า (และของยอห์น) บ้างแล้ว เราไม่ได้กำลังอ่านเรื่องของนักเดินทางที่เนื้อตัวมอมแมมด้วยฝุ่นคนหนึ่งต้องการน้ำสักหนึ่งอึกเพื่อดับความกระหาย ... ลึกลงไปในพระทัย พระเยซูเจ้าทรงกระหาย แต่ด้วย “ความกระหาย” อีกประเภทหนึ่ง พระองค์ทรงมีความปรารถนาแรงกล้าให้มีน้ำพุสายใหม่ไหลทะลักออกมาจากหัวใจของมนุษย์ชายหญิงทั้งหลาย...

    น้ำ! ... น้ำเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับชีวิต เมื่อปราศจากน้ำก็ปราศจากชีวิต ... ธาตุที่ดูเหมือนธรรมดาสามัญนี้เป็นของมีค่าสูงสุด ... แม้แต่ในภูมิภาคที่มีน้ำอย่างอุดมสมบูรณ์ ทุกวันนี้ เราได้ค้นพบคุณค่าแท้จริงของน้ำอีกครั้งหนึ่ง เราคุ้มครองปกป้องแหล่งน้ำ เราเก็บกักบางส่วนไว้ด้วยเกรงว่าเราอาจขาดน้ำ และเราทำให้น้ำนั้นกลายเป็นน้ำที่สะอาด...

    ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่มนุษย์ในทุกอารยธรรม และทุกศาสนายกให้น้ำมีคุณค่าเชิงสัญลักษณ์ ... ในพระคัมภีร์ “น้ำที่ให้ชีวิต” เป็นภาพลักษณ์ของพระเจ้าเอง ซึ่งเป็นผู้ประทานชีวิต (ยรม 2:13, อสย 12:3, 55:1, อสค 47:1, ศคย 14L8) น้ำเป็นสัญลักษณ์ที่พบได้ทั่วไปในพระวรสารของนักบุญยอห์น กล่าวคือ น้ำที่ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นเหล้าองุ่นในหมู่บ้านคานา (ยน 2:7) น้ำที่ชายพิการต้องการจุ่มตัวลงในสระเบเธสดา (ยน 5:7) น้ำที่เปิดดวงตาให้ชายตาบอดที่สระสิโลอัม (ยน 9:7) “ลำธารที่ให้ชีวิตจะไหลออกมาจากภายในผู้นั้น (พระคริสตเจ้า)” ที่พระเยซูเจ้าประกาศที่ลานพระวิหาร (ยน 7:38) น้ำที่ให้ชีวิตสำหรับผู้ที่ต้องการ “เกิดใหม่จากน้ำ และพระจิตเจ้า” ที่พระองค์ทรงประกาศแก่นิโคเดมัส (ยน 3:5) ท้ายที่สุดคือน้ำที่ไหลออกมาจากสีข้างที่ถูกแทงของพระผู้ถูกตรึงกางเขน (ยน 19:34)...

    ท่านตระหนักหรือไม่ว่าท่านมี “น้ำพุ” ที่ให้ชีวิตนี้อยู่ในตัวท่านเอง ... นับตั้งแต่วันที่ท่านรับศีลล้างบาป...

พระเยซูเจ้าตรัสแก่นางว่า “จงไปเรียกสามีของเธอ และกลับมาที่นี่” หญิงผู้นั้นทูลตอบว่า “ดิฉันไม่มีสามี” พระเยซูเจ้าตรัสแก่นางว่า “เธอพูดถูกแล้วที่ว่า ‘ดิฉันไม่มีสามี’ เพราะเธอมีสามีมาแล้วถึงห้าคน และคนที่อยู่กับเธอเวลานี้ ก็ไม่ใช่สามีของเธอด้วย เธอพูดจริงทีเดียว”

    นี่คือสัญลักษณ์ของดินแดนสะมาเรีย ที่ “ขายตัว” ให้แก่รูปเคารพ ... และเป็นเรื่องของหญิงคนหนึ่งที่มีตัวตนอยู่จริงด้วย ... เธอเป็นคนไร้ศีลธรรมจริง ๆ ... คนแปลกหน้าที่ท่าทางอิดโรยนี้เป็นใคร ชาวยิวผู้น่าชังคนนี้เป็นใคร จึงสามารถมองเห็นบาดแผลภายในตัวฉันได้ ... ชายคนนี้เป็นใคร เขาจึงสามารถทิ่มแทงหัวใจหญิงคนนี้ด้วยความละเอียดอ่อน โดยไม่ทำให้เธอเจ็บปวดเช่นนี้ได้ ... เขาเป็นใครจึงล่วงรู้ถึงความกระหายหาความสุขของฉัน ซึ่งการคบชู้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวไม่สามารถดับได้ ... เขาคนนี้ดูเหมือนว่ายื่นมือมาให้ฉัน และบอกฉันว่า ไม่ว่าประสบการณ์ในอดีตของฉันจะน่าอับอายอย่างไร แต่ชีวิตของฉันอาจไม่ได้ล้มเหลวไปเสียทั้งหมด...

หญิงผู้นั้นจึงทูลว่า “ดิฉันเห็นแล้วว่าท่านเป็นประกาศก บรรพบุรุษของเราเคยนมัสการพระเจ้าบนภูเขานี้ แต่ท่านพูดว่าสถานที่สำหรับนมัสการพระเจ้าคือกรุงเยรูซาเล็ม” พระเยซูเจ้าตรัสแก่นางว่า “นางเอ๋ย เชื่อเราเถิด ถึงเวลาแล้วที่ท่านทั้งหลายจะนมัสการพระบิดาเจ้า ไม่ใช่เฉพาะบนภูเขานี้ หรือที่กรุงเยรูซาเล็ม ท่านนมัสการพระเจ้าที่ท่านไม่รู้จัก แต่เรานมัสการพระเจ้าที่เรารู้จัก เพราะความรอดพ้นนั้นมาจากชาวยิว แต่จะถึงเวลา คือเวลานี้ เมื่อผู้นมัสการแท้จริงจะนมัสการพระบิดาเจ้า เดชะพระจิตเจ้าและตามความจริง เพราะพระบิดาทรงแสวงหาผู้นมัสการพระองค์เช่นนี้ พระเจ้าทรงเป็นจิต ผู้ที่นมัสการพระองค์จะต้องนมัสการเดชะพระจิตเจ้า และตามความจริง” หญิงผู้นั้นจึงทูลว่า “ดิฉันรู้ว่าพระเมสสิยาห์ คือพระคริสต์ กำลังจะเสด็จมา และเมื่อเสด็จมา พระองค์จะทรงแจ้งทุกเรื่องให้เรารู้” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราที่กำลังพูดอยู่กับเธอคือพระเมสสิยาห์”

    หญิงเอ๋ย ชีวิตของท่านยังไม่สิ้นสุด และไม่ใช่ชีวิตที่ล้มเหลวด้วย ... มนุษยชาติเอ๋ย ชีวิตของท่านมีความลุ่มลึกกว่าที่ท่านคิด ... คนบาปเอ๋ย ความล้มเหลวของท่านอาจกลับกลายเป็นน้ำพุขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งก็ได้...

    การนมัสการพระเจ้าคือเป้าหมายในชีวิตของท่าน ... ท่านไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มากพอ แต่ข้าพเจ้าขอย้ำคำนี้สัก 10 ครั้งว่า “จงนมัสการพระเจ้าเถิด ท่านถูกสร้างขึ้นมาเพื่อพระเจ้า ... หญิงเอ๋ย หัวใจของท่านกว้างใหญ่เกินกว่าจะถมให้เต็มด้วยความสนุกสนานชั่วแล่น ... สิ่งใดที่มีจุดจบ สิ่งนั้นอายุสั้น...

    มนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้นมัสการพระเจ้า พระเจ้าเท่านั้นสามารถเติมเต็มความต้องการสิ่งที่ไร้ขอบเขตที่มีอยู่ในตัวเรา - นี่คือแรงกระตุ้นที่ถูกปลุกให้ตื่นอยู่เสมอในตัวเรา...

    การนมัสการพระเจ้าเป็นทัศนคติอันเร้นลับของมนุษย์ผู้ยืนต่อหน้าพระเจ้าด้วยหัวใจที่ถูกตรึงไว้ ถูกดึงดูด และรู้สึกเต็มอิ่ม ... จากเบื้องบน

    หญิงชาวสะมาเรียยังคิดถึงความขัดแย้งทางศาสนา เราต้องนมัสการพระเจ้าที่ใด – บนภูเขาเกริซิม ในแคว้นสะมาเรีย ... หรือบนภูเขาศิโยน ในกรุงเยรูซาเล็ม ... คำตอบของพระเยซูเจ้าทะลายธรรมประเพณีอีกครั้งหนึ่ง พระองค์กล้าตรัสว่าพระวิหาร และพิธีการต่าง ๆ ในพระวิหาร ไม่ใช่สิ่งสำคัญ ... คำพูดเช่นนี้เหมือนกับเป็นการดูหมิ่นพระเจ้า...

    การนมัสการพระเจ้าอย่างแท้จริง คือ นมัสการตามแรงกระตุ้นของพระจิตเจ้าในชีวิตของเรา พระวิหารแท้ของพระเจ้าคือพระวิหารที่พระจิตเจ้าทรงปลุกให้มีชีวิตขึ้นมาในชีวิตของเรา คือพระกายของพระองค์เอง สถานที่ที่พระเยซูเจ้าทรงได้รับการต้อนรับมากที่สุดไม่ใช่แคว้นยูเดีย แต่เป็นภาคกลางของแคว้นสะมาเรีย “ท่านนมัสการพระเจ้าผู้ที่ท่านไม่รู้จัก” ชาวยิวรู้ความจริง – แต่เป็น “คนนอกรีต” ที่ได้รับการฟื้นฟูชีวิต...

    พระเจ้าข้า โปรดให้เราได้ลิ้มรสการนมัสการเดชะพระจิตเจ้า และตามความจริงด้วยเทอญ...

ขณะนั้น บรรดาศิษย์มาถึง รู้สึกประหลาดใจที่พระองค์ทรงสนทนาอยู่กับหญิงผู้นั้น แต่ไม่มีใครทูลถามว่า “พระองค์ทรงต้องการสิ่งใดจากนาง” หรือว่า “พระองค์กำลังตรัสอะไรกับนาง” หญิงผู้นั้นทิ้งไหน้ำของนางไว้ที่นั่น กลับเข้าไปในเมือง และบอกประชาชนว่า “มาเถิด มาดูชายคนหนึ่งที่บอกทุกอย่างที่ดิฉันเคยทำ เขาเป็นพระคริสต์กระมัง” ประชาชนจึงออกจากเมืองมาเฝ้าพระองค์

    หัวใจของหญิงคนนี้ได้รับความรอดพ้นแล้ว ... ตราบจนถึงเวลานั้นชีวิตของนางแห้งแล้ง เพราะวิถีชีวิตอันต่ำช้าของนาง บัดนี้ ได้เกิดน้ำพุสายใหม่ไหลทะลักออกมาในชีวิตของนาง ... นางไม่จำเป็นต้องใช้บ่อน้ำและไหน้ำนั้นอีกแล้ว นางวิ่งไปเพื่อส่งข่าว และแบ่งปันน้ำที่ให้ชีวิตที่นางเพิ่งค้นพบนี้ให้แก่ผู้อื่น ... นางตะโกนบอก “ข่าวดี” ให้แก่คนทั้งหมู่บ้าน ... สิ่งที่เตรียมนางให้มีความพร้อมสำหรับการประกาศเรื่องของพระเจ้าก็คืออดีตอันมืดมน เต็มไปด้วยบาปของนาง “มาเถิด มาดูชายคนหนึ่งที่รักฉันด้วยความรักที่เปี่ยมด้วยความเมตตา”...

    เรื่องนี้เหมือนกับเรื่องของตัวท่านเองหรือไม่...

ระหว่างนั้น บรรดาศิษย์ทูลรบเร้าพระองค์ว่า “รับบี เชิญรับประทานอาหารบ้างเถิด” แต่พระองค์ตรัสตอบว่า “เรามีอาหารอื่นที่ท่านทั้งหลายไม่รู้จัก” บรรดาศิษย์จึงถามกันว่า “มีใครนำสิ่งใดมาให้พระองค์รับประทานหรือ” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “อาหารของเราคือการทำตามพระประสงค์ของพระผู้ทรงส่งเรามา และการประกอบภารกิจของพระองค์ให้สำเร็จลุล่วงไป”...

ชาวสะมาเรียหลายคนจากเมืองนั้นมีความเชื่อในพระองค์ เพราะคำของหญิงคนนั้นที่ยืนยันว่า “เขาได้บอกทุกสิ่งที่ดิฉันเคยทำ” เมื่อชาวสะมาเรียมาเฝ้าพระองค์แล้ว ก็วอนขอให้ประทับอยู่กับเขา พระองค์ประทับอยู่ที่นั่นสองวัน คนที่มีความเชื่อเพราะพระวาจาของพระองค์มีจำนวนมากขึ้น เขากล่าวแก่หญิงผู้นั้นว่า “เรามีความเชื่อไม่ใช่เพราะคำพูดของท่านอีกแล้ว เราเองได้ยิน และรู้ว่าพระองค์เป็นพระผู้ไถ่ของโลกโดยแท้จริง”

    ยอห์นพาเราก้าวเดินทีละก้าวลงไปใน “บ่อน้ำ” ลึกนี้ คือ พระบุคคลอันเร้นลับของพระเยซูเจ้า เขาแสดงให้เราเห็นภาพของชายแปลกหน้าผู้ยากจน เหน็ดเหนื่อย และกระหายน้ำ ... ชาวยิวคนหนึ่ง “ผู้นมัสการพระเจ้าที่เขารู้จัก” แต่ยิ่งใหญ่กว่ายาโคบ บรรพบุรุษของชนชาติอิสราเอล ... ประกาศกคนหนึ่งผู้อ่านใจได้ และล่วงรู้ถึงความห่วงกังวลของเราที่ซ่อนอยู่ภายใน ... พระเมสสิยาห์ที่ประชาชนรอคอย ผู้ทรงทำให้น้ำที่ให้ชีวิตนิรันดรไหลออกมา ... และเป็นผู้ที่สอนมนุษย์ให้รู้ว่าสิ่งที่เขากระหายอย่างแท้จริง คือ การนมัสการพระบิดาเดชะพระจิตเจ้า และตามความจริง ... และสรุปได้ด้วยคำเดียวว่า ทรงเป็นพระผู้ไถ่ของโลก...

    ตราบใดที่โลกยังไม่ค้นพบ “น้ำพุ” นี้ ซึ่งหมายถึงพระเยซูเจ้า (ผู้ถือว่าอาหารของพระองค์คือการทำตามพระประสงค์ของพระบิดา) โลกก็กำลังจะตายเพราะความหิวและความกระหาย ... อาหารเดียวกัน และเครื่องดื่มเดียวกันนี้เป็นอาหารที่อยู่ใน “เมนู” อาหารในงานเลี้ยงของพระศาสนจักร...

    ปัสกาใกล้เข้ามาแล้ว ท่านจะยอมให้จิตของท่านอดตาย ทั้งที่อยู่ใกล้น้ำพุ และโต๊ะอาหารหรือ...

    แต่ท่านกำลังกระหายสิ่งใด...