แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

วันอาทิตย์ที่ 3 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า


ข่าวดี    มัทธิว 11:2-11

(2)ขณะที่ยอห์นถูกจองจำอยู่ในคุก เขาได้ยินข่าวกิจการของพระเยซูเจ้า จึงใช้ศิษย์ไปทูลถามพระองค์ว่า  (3)“ท่านคือผู้ที่จะมาหรือเราจะต้องรอคอยใครอีก”  (4)พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “จงไปบอกยอห์นถึงสิ่งที่ท่านได้ยินและได้เห็น  (5)คนตาบอดกลับแลเห็น คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายจากโรค คนหูหนวกได้ยิน คนตายกลับคืนชีพ  คนยากจนได้รับการประกาศข่าวดี (6)ผู้ที่ไม่แคลงใจในเราย่อมเป็นสุข”  (7)ขณะที่คนเหล่านั้นกำลังจะจากไป พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนเกี่ยวกับยอห์นว่า “ท่านทั้งหลายไปดูอะไรในถิ่นทุรกันดาร ไปดูต้นอ้อไหวไปมาตามสายลมหรือ  มิใช่เช่นนั้น  (8)แล้วท่านไปดูอะไรเล่า ดูคนสวมเสื้อผ้าสวยงามหรือ คนที่สวมเสื้อผ้าสวยงามอยู่ในพระราชวัง  (9)ถ้าเช่นนั้นท่านไปดูอะไร ไปดูประกาศกหรือ ถูกแล้ว เราบอกท่าน  (10)และเหนือกว่าประกาศกเสียอีก ผู้นี้เองที่พระคัมภีร์กล่าวถึงว่า
เราส่งทูตของเรานำหน้าท่าน
เพื่อเตรียมทางไว้สำหรับท่าน
(11)“เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในหมู่ผู้ที่เกิดจากหญิง ไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่ายอห์นผู้ทำพิธีล้าง ถึงกระนั้น ผู้ต่ำต้อยที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ ก็ยังยิ่งใหญ่กว่ายอห์น

*****************************


คำถามของยอห์น
ลักษณะเด่นประการหนึ่งที่ทำให้ประชาชนเชื่อว่ายอห์นเป็นประกาศกคือความตรงไปตรงมาไม่ยอมอ่อนข้อให้คนผิด  ท่านทนเห็นคนผิดโดยไม่ติเตียนหรือว่ากล่าวไม่ได้
เฮโรด อันติพาส โอรสของกษัตริย์เฮโรดมหาราช เสด็จกรุงโรมเพื่อเยี่ยมน้องชายแล้วเกิดติดใจภรรยาของน้องชาย เมื่อเสด็จกลับแคว้นกาลิลีจึงหย่าภรรยาของตนแล้วแต่งงานใหม่กับน้องสะใภ้ของพระองค์เอง
ยอห์นตำหนิเฮโรดอย่างรุนแรงและเปิดเผย  ผลคือท่านถูกจับขังคุกใต้ดินในป้อมมาเครัสบนเทือกเขาใกล้ทะเลตาย
ปกติการติดคุกใต้ดินถือว่าเลวร้ายมากอยู่แล้ว แต่สำหรับยอห์นยิ่งเลวร้ายหนักเข้าไปอีก เพราะตั้งแต่เด็กท่านคุ้นเคยกับชีวิตในทะเลทรายที่มีลมบริสุทธิ์พัดผ่าน มีท้องฟ้ากว้างใหญ่เป็นหลังคา แล้วจู่ ๆ ต้องมาอยู่ในคุกใต้ดินที่สุดแสนจะอับและคับแคบ
เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้ หลากหลายคำถามจึงผุดขึ้นในความคิดของยอห์น หนึ่งในนั้นคือ “ท่านคือผู้ที่จะมาหรือเราจะต้องรอคอยใครอีก” ?! (มธ 11:3)
เบื้องหลังของคำถามอาจเป็นข้อหนึ่งข้อใดดังนี้
1.    บรรดาศิษย์ไปเยี่ยมยอห์นในคุกแล้วถามว่าพระเยซูเจ้าคือผู้ที่จะเสด็จมาจริงหรือ ? คำตอบของยอห์นคือ “ถ้าพวกเจ้าสงสัยก็ไปพบแล้วดูสิว่าพระองค์กำลังทำอะไร จะได้หายสงสัย”
หากสมมุติฐานนี้เป็นจริงต้องถือว่าคำตอบของยอห์นยอดเยี่ยมที่สุด  เพราะสำหรับผู้ที่สงสัยในตัวพระเยซูเจ้า คำตอบที่ดีที่สุดไม่ใช่ยกเหตุผลมาโต้เถียงหักล้างกัน แต่ควรพูดว่า “ลองมอบชีวิตของคุณให้พระองค์สิ แล้วดูซิว่าพระองค์จะทำอะไรได้บ้าง ?”
2.    ยอห์นอาจหมดความอดทนจริง ๆ  เพราะท่านเทศน์สอนอยู่เสมอว่า “บัดนี้ขวานกำลังจ่ออยู่ที่รากของต้นไม้แล้ว ต้นไม้ต้นใดที่ไม่เกิดผลดีจะถูกโค่นและโยนใส่ไฟ” (มธ 3:10) หรือ “เขากำลังถือพลั่วอยู่แล้ว จะชำระลานนวดข้าวให้สะอาด จะรวบรวมข้าวใส่ยุ้ง ส่วนฟางนั้นจะเผาทิ้งในไฟที่ไม่รู้ดับ” (มธ 3:12)
แต่พระเยซูเจ้ากลับทำตัวเป็น “ขิงแก่” ไม่ลงมือทำลายคนบาปให้สิ้นซากเสียที ยอห์นจึงเริ่มผิดหวังและหมดความอดทนจนต้องส่งศิษย์ไปถามพระองค์
ใช่ ยอห์นผิดหวังเพราะท่านหวังผิด !
ผู้ใดก็ตามที่คาดหวังความเกรี้ยวกราดรุนแรงจากพระเยซูเจ้า ย่อมต้องผิดหวังเสมอ   ส่วนผู้ที่แสวงหาความรักจากพระองค์จะไม่มีวันพบกับคำว่าผิดหวังเลย
3.    มีบางคนคิดว่าหลังถูกจองจำในคุก ยอห์นไตร่ตรองและเริ่มเชื่อว่าพระเยซูเจ้าคือพระเมสสิยาห์ ท่านส่งศิษย์ไปถามพระองค์เพียงเพื่อให้ความเชื่อลุกโชนขึ้นเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องของการหมดความอดทน
ไม่ว่าเบื้องหลังของคำถามจะเป็นเช่นใดก็ตาม  ความสำคัญนั้นอยู่ที่คำตอบของพระเยซูเจ้าซึ่งมีน้ำเสียงแห่ง “ความเชื่อมั่น” เต็มที่
“จงไปบอกยอห์นถึงสิ่งที่ท่านได้ยินและได้เห็น” (มธ 11:4)
พระองค์ทรงเชื่อมั่นว่าเป็นพระเมสสิยาห์ถึงกับกล้าท้าทายให้ดูที่ “ผลงาน” ของพระองค์  ผลงานอันเกิดจากการ “กระทำ” ไม่ใช่เป็นเพียง “ลมปาก”, “คำอวดอ้าง” หรือ “สัญญาลม ๆ แล้ง ๆ” แบบที่นักการเมืองส่วนใหญ่นิยมกัน
ทุกวันนี้ พระองค์ยังทรง “กระทำผลงาน” เดียวกันนั่นคือ
- ทรงทำให้คนตาบอด ที่มองไม่เห็นความจริงเกี่ยวกับตัวเอง เกี่ยวกับเพื่อนมนุษย์ และเกี่ยวกับพระเจ้า ได้มองเห็น
- ทรงทำให้ขาของคนง่อยแข็งแรง สามารถยืนหยัดอยู่ในหนทางที่ถูกต้องได้
- ทรงทำให้คนโรคเรื้อนที่ติดเชื้อจากบาป บริสุทธิ์ผุดผ่อง
- ทรงทำให้คนหูหนวกที่ไม่ได้ยินเสียงมโนธรรมและเสียงของพระเจ้า ได้ยิน
- ทรงทำให้คนตายหรือหมดเรี่ยวแรงเพราะบาป ได้ฟื้นคืนสู่ชีวิตใหม่
- ทรงทำให้คนยากจนกลายเป็นคนร่ำรวยความรักของพระเจ้า
พร้อมกันนั้น พระองค์ทรงฝากศิษย์ไปบอกยอห์นว่า “ผู้ที่ไม่แคลงใจในเราย่อมเป็นสุข” (มธ 11:6)
นี่เป็นดั่งคำเตือนเพราะยอห์นยึดมั่นความจริงเพียงครึ่งเดียว !
สำหรับยอห์น พระเจ้าคือผู้ศักดิ์สิทธิ์และผู้ทำลายล้าง  แต่พระเยซูเจ้าทรงประกาศข่าวดีว่าพระเจ้าคือ “ผู้ศักดิ์สิทธิ์และเปี่ยมด้วยความรัก”
จริงอยู่ พระองค์ไม่ได้กระทำตามที่ยอห์นคาดหวัง แต่พระองค์ทรงพิสูจน์ให้โลกเห็นแล้วว่า “ความรักแก้ปัญหาได้มากกว่าความรุนแรง”

คำชมเชยของพระเยซูเจ้า
น้อยคนนักจะได้รับคำชมเช่นเดียวกับยอห์น  พระองค์ทรงชมเชยท่านด้วยการถามนำว่า “ท่านทั้งหลายไปดูอะไรในถิ่นทุรกันดาร ?” (มธ 11:7)
1.    “ไปดูต้นอ้อไหวไปมาตามสายลมหรือ มิใช่เช่นนั้น” (มธ 11:7)
ต้นอ้อพบได้ดาษดื่นสองฟากฝั่งแม่น้ำจอร์แดนจนคำ “ต้นอ้อไหว” กลายเป็นสำนวนหมายถึง “สิ่งธรรมดา”
อีกความหมายหนึ่งได้มาจากความสามารถในการลู่ลมของมัน ต้นอ้อจึงหมายถึงคนโลเล เอาแน่เอานอนไม่ได้ เหมือนคนไม่มีกระดูกสันหลัง
เท่ากับพระเยซูเจ้าทรงชมเชยยอห์นว่า “หนักแน่น” และ “ไม่ธรรมดา”
2.    “ดูคนสวมเสื้อผ้าสวยงามหรือ คนที่สวมเสื้อผ้าสวยงามอยู่ในพระราชวัง” (มธ 11:8)
คนสวมเสื้อผ้าสวยงามคือบรรดาข้าราชสำนักซึ่งเชี่ยวชาญในการพูดป้อยอให้กษัตริย์พอพระทัย  แต่ยอห์นมีภารกิจเสี่ยงตายในการบอกความจริงแก่กษัตริย์เฮโรด
พระองค์ทรงยกย่องท่านเป็น “ทูตของพระเจ้า” ไม่ใช่ข้าราชสำนักของเฮโรด
3.    “ไปดูประกาศกหรือ ถูกแล้ว” (มธ 11:9) พระองค์ทรงยกย่องยอห์นเป็นประกาศก
ประกาศกคือผู้ที่พระเจ้าทรงวางพระทัยเปิดเผยความลับดังคำของประกาศกอาโมสที่ว่า “แท้จริงพระเจ้ามิได้ทรงกระทำอะไรเลยโดยมิได้เปิดเผยความลี้ลับให้แก่ผู้รับใช้ของพระองค์ คือประกาศก” (อมส 3:7)
พระองค์ทรงชื่นชมยอห์นว่าเป็นประกาศกผู้มีปรีชาญาณของพระเจ้าอยู่ในสติปัญญา มีความจริงของพระองค์อยู่ที่ริมฝีปาก และมีความกล้าหาญของพระองค์อยู่ในหัวใจ
4.    “และเหนือกว่าประกาศกเสียอีก” (มธ 11:10) พระองค์ทรงยืนยันว่ายอห์นคือผู้เตรียมทางให้แก่พระเมสสิยาห์ ดังที่ประกาศกมาลาคีได้ทำนายไว้ว่า “ดูเถิด เราจะส่งเอลียาห์ผู้เผยพระวจนะมายังเจ้าก่อนวันแห่งพระเจ้า” (มลค 4:5)
ไม่มีมนุษย์คนไหนได้รับหน้าที่อันยิ่งใหญ่เทียบเท่ายอห์นอีกแล้ว !
แม้จะทรงชื่นชมยอห์นมากเพียงใด พระองค์ยังลงท้ายว่า “ถึงกระนั้น ผู้ต่ำต้อยที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ ก็ยังยิ่งใหญ่กว่ายอห์น” (มธ 11:11)
ยอห์นยังขาดอะไรอีกหรือ ?
อะไรคือสิ่งที่คริสตชนมีเหนือยอห์น ?
คำตอบง่าย ๆ และเป็นพื้นฐานของศาสนาคริสต์คือ ยอห์นไม่เคยเห็นกางเขน !!
ยอห์นอาจรู้ซึ้งถึงความศักดิ์สิทธิ์และยุติธรรมของพระเจ้า แต่ท่านไม่รู้จักความรักของพระเจ้าว่ามากมายและยิ่งใหญ่เพียงใด
“กางเขน” ทำให้เราคริสตชน “เข้าใจถึงความกว้าง ความยาว ความสูง ความลึก อีกทั้งหยั่งรู้ซึ้งถึงความรักซึ่งเกินกว่าจะหยั่งรู้ได้ของพระคริสตเจ้า” (อฟ 3:18-19)
ใครเห็น “กางเขน” ก็เห็น “หัวใจ” ของพระเจ้า !!
จึงไม่ต้องแปลกใจหากคริสตชนที่ต่ำต้อยที่สุด ยังรู้จักความรักของพระเจ้ามากกว่าผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในพระธรรมเก่ารวมถึงยอห์นด้วย
ในเมื่อรู้จักความยิ่งใหญ่แห่งความรักของพระเจ้าแล้ว เราไม่คิดจะ “รัก” และ “ต้อนรับ” พระองค์เข้ามาในจิตใจของเราดอกหรือ ?!?
อย่าปล่อยให้พระองค์นอนในถ้ำอีกเลย !!!