แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

ฉลองพระเยซูเจ้าทรงรับพิธีล้าง


ข่าวดี  มัทธิว 3:13-17

(13)เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาจากแคว้นกาลิลีถึงแม่น้ำจอร์แดน เพื่อรับพิธีล้างจากยอห์น (14)ยอห์นพยายามชักชวนพระองค์ให้เปลี่ยนพระทัย เขากล่าวว่า “ข้าพเจ้าควรจะรับพิธีล้างจากท่าน แต่ท่านกลับมาพบข้าพเจ้า” (15)พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เวลานี้ ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ก่อน เพราะเราควรจะทำทุกอย่างตามพระประสงค์ของพระเจ้า” ยอห์นจึงยอมทำตาม (16)เมื่อพระเยซูเจ้าทรงรับพิธีล้างแล้ว เสด็จขึ้นจากน้ำ ทันใดนั้นท้องฟ้าเปิดออก พระองค์ทอดพระเนตรเห็นพระจิตของพระเจ้าเสด็จลงมา เหนือพระองค์ดุจนกพิราบ (17)และมีเสียงจากสวรรค์กล่าวว่า “ผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเรา เป็นที่โปรดปรานของเรา”

*******************************


พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงแม่น้ำจอร์แดนเพื่อรับพิธีล้างจากยอห์น  แต่ยอห์นพยายามชักชวนพระองค์ให้เปลี่ยนพระทัยกล่าวว่า “ข้าพเจ้าควรจะรับพิธีล้างจากท่าน แต่ท่านกลับมาพบข้าพเจ้า” (มธ 3:13-14)
นั่นเป็นเพราะยอห์นตระหนักดีว่า เป็นท่านเองที่ต้องการสิ่งที่มีเพียงพระเยซูเจ้าพระองค์เดียวสามารถประทานให้ได้ ไม่ใช่ให้พระองค์เสด็จมารับพิธีล้างจากท่าน
ยอห์นทำพิธีล้างควบคู่ไปกับการเรียกร้องประชาชนให้สำนึกผิด กลับใจ และรับการอภัยจากพระเจ้า ท่านเทศน์สอนว่า “จงกลับใจเถิด อาณาจักรสวรรค์อยู่ใกล้แล้ว” (มธ 3:2)
แต่พระเยซูเจ้าไม่ทรงมีบาป พระองค์จึงไม่จำเป็นต้องกลับใจหรือรับพิธีล้างจากยอห์น  ถ้าเช่นนั้น พระองค์เสด็จมารับพิธีล้างทำไม ?!
มีผู้ให้เหตุผลไว้ตั้งแต่เริ่มแรกพระศาสนจักรว่า เป็นเพราะพระองค์ทนพระมารดาและญาติพี่น้องรบเร้าไม่ได้ ดังปรากฏใน “พระวรสารโดยชาวฮีบรู” ซึ่งเป็นหนังสืออธิกธรรม (Apocrypha) เล่มหนึ่งว่า
“ดูเถิด มารดาและญาติพี่น้องขององค์พระผู้เป็นเจ้าทูลพระองค์ว่า ‘ยอห์นทำพิธีล้างเพื่อยกบาป ให้เราไปรับพิธีล้างจากท่านกันเถิด’  แต่พระองค์ตรัสว่า ‘ข้าพเจ้าทำบาปประการใดหรือจึงต้องไปรับพิธีล้างจากยอห์น เว้นแต่ว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าพูดอยู่นี้เป็นความโง่เขลา’”
แต่พระองค์เสด็จมารับพิธีล้างจากยอห์นเพราะทนรบเร้าไม่ได้จริง ๆ  หรือว่าพระองค์ทรงมีเหตุผลอื่น ?!
อย่าลืมว่า ตลอด 30 ปีที่ทรงทำงานเป็นช่างไม้หารายได้เลี้ยงดูพระมารดาและญาติพี่น้องที่เมืองนาซาเร็ธ  พระองค์ทรงทราบดีว่าโลกกำลังรอคอยพระองค์ และจิตสำนึกถึงภารกิจที่รอพระองค์อยู่เบื้องหน้านับวันมีแต่จะเพิ่มพูนขึ้น  อย่างไรก็ตามสิ่งเดียวที่ทำให้พระองค์จำต้อง “รอคอย” ด้วยใจจดจ่อก็คือ “เวลา”  ด้วยทรงตระหนักดีว่าความสำเร็จหรือล้มเหลวของภารกิจอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ย่อมต้องขึ้นอยู่กับจังหวะเวลาเป็นสำคัญ !
เมื่อยอห์นปรากฏตัวเทศน์สอนและทำพิธีล้างที่แม่น้ำจอร์แดน พระองค์ทรงมั่นพระทัยทันทีว่า “เวลา” เริ่มต้นภารกิจมาถึงแล้ว !
เหตุผลของพระองค์คือ ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนาน ชาวยิวถือว่าตนเป็นประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและเป็นลูกหลานของอับราฮัม ซึ่งทำให้มีส่วนในมรดกแห่งความรอดแน่นอนอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องรับ “พิธีล้าง” ซึ่งมีไว้สำหรับคนต่างศาสนาที่แปดเปื้อนด้วยมลทินบาปและต้องการหันมานับถือศาสนายิวเท่านั้น
นี่เป็นครั้งแรกที่ชนชาติยิวสำนึกตนว่าเป็นคนบาป และต้องการพระเจ้า !
ผู้คนจำนวนมากฟังยอห์นและรับพิธีล้างจากท่าน (มธ 3:5-6) เป็นความเคลื่อนไหวแห่งการสำนึกผิดและแสวงหาพระเจ้าอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
สำหรับพระเยซูเจ้า นี่คือเครื่องหมายชัดเจนจากพระเจ้าว่า “เวลาสำหรับภารกิจอันยิ่งใหญ่มาถึงแล้ว”
พระองค์จึงเสด็จมารับพิธีล้างจากยอห์น เพื่อร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับประชากรในการแสวงหาพระเจ้าและมุ่งหน้าไปสู่พระองค์ !!

ทันทีที่พระเยซูเจ้ารับพิธีล้างและเสด็จขึ้นจากน้ำ ท้องฟ้าเปิดออก พระจิตของพระเจ้าเสด็จลงมาเหนือพระองค์ดุจนกพิราบ และมีเสียงจากสวรรค์กล่าวว่า “ผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเรา เป็นที่โปรดปรานของเรา” (มธ 3:16-17)
เสียงจากสวรรค์นี้ไม่เพียงยืนยันว่าพระองค์ทรงตัดสินพระทัยถูกต้องแล้วที่จะเริ่มภารกิจ  แต่ยังบ่งบอกถึงหนทางชีวิตในอนาคตอันใกล้ของพระองค์อีกด้วย
เสียงท่อนแรกคือ “ผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเรา” มาจากเพลงสดุดีบทที่ 2 ซึ่งกล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะประกาศพระราชกฤษฎีกาของพระยาห์เวห์   พระองค์ตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า ‘ท่านเป็นบุตรของเรา วันนี้เราให้กำเนิดท่านแล้ว’” (สดด 2:7)
ชาวยิวรู้ดีว่าเพลงสดุดีบทนี้กล่าวถึงพระเมสสิยาห์ กษัตริย์ผู้ทรงอำนาจของพระเจ้าที่จะเสด็จมา
ความหมายของข้อนี้คือ พระเจ้าทรงเจิมตั้งกษัตริย์ผู้เป็นพระเมสสิยาห์ เพื่อประกาศพระราชกฤษฎีกาของพระองค์ และพระเมสสิยาห์ผู้นี้คือพระบุตรของพระเจ้า
เท่ากับเสียงจากสวรรค์ต้องการยืนยันว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็น “กษัตริย์” ทรงเป็น “พระเมสสิยาห์” และทรงเป็น “พระบุตรของพระเจ้า”
เสียงอีกท่อนหนึ่งคือ “เป็นที่โปรดปรานของเรา” มาจากคำทำนายของประกาศกอิสยาห์ที่ว่า “นี่คือผู้รับใช้ของเราซึ่งเราเชิดชู  ผู้ที่เราเลือกสรรไว้ซึ่งเราปีติยินดี” (อสย 42:1)
ผู้รับใช้ที่พระเจ้าทรงปีติยินดีคือ “ผู้รับใช้ผู้ทนทุกข์” (Suffering Servant) ซึ่งอิสยาห์อธิบายว่า “เขาถูกมนุษย์ดูหมิ่นและทอดทิ้ง....เขารับความอ่อนแอทั้งหลายของเรา และแบกรับความทุกข์โศกของเราไป.....เขาถูกกดขี่ข่มเหงและทนทุกข์ทรมาน แต่ก็ไม่เคยปริปากเลย เขาถูกนำตัวไปเหมือนลูกแกะที่ถูกนำไปฆ่า...ชีวิตของเขาเป็นเครื่องบูชาลบความผิด...เขาแบกรับบาปของคนเป็นอันมาก... (อสย 53)
แสดงว่านับจากวินาทีแรกที่พระเยซูเจ้าทรงเริ่มภารกิจ พระองค์ทอดพระเนตรเห็นความทุกข์ทรมานบนไม้กางเขนรออยู่เบื้องหน้าแล้ว

เมื่อพระเยซูเจ้ารับพิธีล้างจากยอห์นซึ่งเราร่วมใจกันสมโภชในวันนี้ พระองค์ทรงรับการยืนยันจากพระเจ้าว่าเวลาเริ่มต้นภารกิจมาถึงแล้ว และพระองค์คือผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งให้เป็นกษัตริย์และพระเมสสิยาห์
เพียงแต่ว่าบัลลังก์ของพระองค์คือ “ไม้กางเขน” และพระองค์ทรงพิชิตชัยชนะ ไม่ใช่ด้วยอาวุธ แต่ด้วย “ความรัก” !!
สำหรับพระเยซูเจ้า วันสมโภชนี้บ่งบอกว่า “เวลา” แห่งภารกิจของพระองค์มาถึงแล้ว
สำหรับเรา วันสมโภชนี้คือเครื่องเตือนใจว่า ถึง “เวลา” หรือยังที่เราจะสำนึกผิดและกลับมาหาพระองค์ !?!