แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

วันอาทิตย์มหาทรมาน
แห่ใบลาน

ข่าวดี    ลูกา 19:28-40 (บทอ่านก่อนแห่ใบลาน)
(28)เมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระเยซูเจ้าทรงพระดำเนินต่อไป เสด็จนำหน้าประชาชนขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม  (29)เมื่อเสด็จเข้าใกล้หมู่บ้านเบธฟายีและเบธานี ใกล้กับภูเขาที่เรียกกันว่าภูเขามะกอกเทศ พระองค์ทรงส่งศิษย์สองคนไป ทรงสั่งว่า  (30)‘จงเข้าไปในหมู่บ้านข้างหน้า เมื่อเข้าไปแล้ว ท่านจะพบลูกลาตัวหนึ่งผูกอยู่ ยังไม่มีใครเคยขี่ลาตัวนั้นเลย จงแก้เชือกและจูงมาให้เราเถิด  (31)ถ้าผู้ใดถามว่า ท่านแก้เชือกผูกลาทำไม จงตอบเขาว่า พระอาจารย์ต้องการใช้มัน”  (32)ศิษย์ที่พระองค์ทรงสั่ง ได้ไปและพบตามที่พระองค์ทรงบอกเขา  (33)ขณะที่เขากำลังแก้เชือกผูกลูกลาอยู่ เจ้าของลาถามว่า ‘ท่านแก้เชือกลูกลาทำไม’  (34)ศิษย์ทั้งสองคนก็ตอบว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงต้องการใช้มัน’  (35)ศิษย์ทั้งสองคนจูงลูกลามาถวายพระเยซูเจ้า ปูเสื้อคลุมของตนบนหลังลา  แล้วทูลเชิญพระเยซูเจ้าให้ทรงลาตัวนั้น  (36)ขณะที่พระองค์เสด็จไป ประชาชนปูเสื้อคลุมของตนบนทาง  (37)เมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้ทางลงจากภูเขามะกอกเทศแล้ว  บรรดาศิษย์ต่างมีความชื่นชมยินดี โห่ร้องสรรเสริญพระเจ้าเพราะการอัศจรรย์ทุกอย่างที่เขาเห็น  (38)ว่า
    ขอถวายพระพรแด่กษัตริย์ผู้เสด็จมา
    ในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า
    สันติจงมีในสวรรค์
    และพระสิริรุ่งโรจน์จงมีในที่สูงสุด
(39)ชาวฟาริสีบางคนในหมู่ประชาชนทูลพระองค์ว่า ‘พระอาจารย์ จงห้ามบรรดาศิษย์ของท่านเถิด’  (40)พระองค์ตรัสตอบว่า ‘เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าคนเหล่านี้นิ่งเงียบ ก้อนหินทั้งหลายจะส่งเสียงตะโกน’


    หลังจากเสด็จไปบ้านของศักเคียสและได้เทศน์สอนชาวเมืองเยริโคแล้ว (ลก 19:1-10) พระเยซูเจ้าทรงพระดำเนินต่อไปยังกรุงเยรูซาเล็ม   
จากเมืองเยริโคถึงกรุงเยรูซาเล็มมีระยะทางเพียง 27 กิโลเมตร จึงเท่ากับว่าพระองค์กำลังเดินทางเข้าใกล้ “เป้าหมาย” เข้าไปทุกที
เป้าหมายที่ว่าคือการ “สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปของมนุษย์ทุกคน” !
    ในพระธรรมเก่า บรรดาประกาศกมีธรรมเนียมปฏิบัติอยู่อย่างหนึ่งคือ เมื่อเห็นว่าคำพูดของตนไม่บังเกิดผล ไม่ว่าจะเป็นเพราะประชาชนไม่สนใจฟัง หรือฟังแล้วแต่ไม่ปฏิบัติตาม  เมื่อนั้นพวกเขาจะแปลง “คำพูด” ให้เป็น “การกระทำ” เหมือน “แสดงละคร” ให้ทุกคนเห็น
ตัวอย่างเช่นในช่วงปลายรัชสมัยกษัตริย์ซาโลมอน  พระองค์ทรงมีมเหสีเป็นคนต่างชาติมากถึง 700 คน โดยที่ยังไม่รวมสนมต่างชาติ 300 คนอีกต่างหาก  ด้วยหญิงต่างชาติจำนวนมากมายเหล่านี้เอง จิตใจของพระองค์จึงโน้มเอียงและหันไปนับถือเทพเจ้าของพวกนางในที่สุด
    เพื่อเป็นการลงโทษซาโลมอน พระเจ้าทรงส่งประกาศกอาหิยาห์ชาวชิโลห์มาพบเยโรโบอัม  อาหิยาห์สวมเสื้อคลุมตัวใหม่ เขาถอดเสื้อคลุมตัวนั้นออกมาฉีกเป็นสิบสองชิ้น แล้วพูดกับเยโรโบอัมว่า “ท่านจงเอาไปสิบชิ้นเถิด เพราะพระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า ‘เราจะฉีกอาณาจักรไปจากมือของซาโลมอนแล้วมอบให้ท่านสิบเผ่า’” (1 พกษ 11:29-31)
    อีกตัวอย่างหนึ่งคือ ชาวอิสราเอลเป็นคนหัวแข็ง ดื้อดึง และไม่ยอมเชื่อฟังพระเจ้า  พระองค์จึงส่งประกาศกเอเสเคียลไปตักเตือนพวกเขาโดยตรัสสั่งว่า “เจ้าจงเอาก้อนอิฐมาวางไว้ข้างหน้าเจ้า และแกะรูปเมืองหนึ่งไว้บนนั้นคือนครเยรูซาเล็ม จงล้อมนครนั้นไว้...แล้วเจ้าจงกระชับการล้อมเข้าไป นี่เป็นหมายสำคัญสำหรับพงศ์พันธุ์อิสราเอล” (อสค 4:1-3)
    หมายสำคัญนี้ ใครเห็นก็เข้าใจได้ทันที !
    อีกครั้งหนึ่ง พระเจ้าทรงส่งประกาศกเยเรมีย์มาตักเตือนชาวอิสราเอลมิให้หยิ่งทะนง แต่ไร้ผล  เยเรมีย์จึงนำผ้าป่านสำหรับคาดเอวไปฝังดินไว้ข้างแม่น้ำยูเฟรติส เมื่อขุดเอาผ้าคาดเอวกลับมามันก็เปื่อยจนใช้การไม่ได้ (ยรม 13:1-11) ดังนี้เป็นต้น
    เช่นเดียวกัน เมื่อชาวอิสราเอลปฏิเสธไม่ยอมรับพระเยซูเจ้า พระองค์จึงตัดสินพระทัยกระทำแบบเดียวกับที่บรรดาประกาศกในพระธรรมเก่าเคยกระทำ นั่นคือ...
    ทรงประทับบนหลังลาเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างสง่าผ่าเผย !
    การเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มเยี่ยงนี้ หาได้เกิดจากอารมณ์ชั่ววูบ หรือเพราะเคร่งเครียดที่เล็งเห็นความตายรออยู่เบื้องหน้าแต่ประการใดไม่
ตรงกันข้าม พระองค์ทรงจัดเตรียมทุกสิ่งล่วงหน้าไว้อย่างดี  ทรงตกลงกับเจ้าของลาไว้แล้วว่าลูกลาต้องไม่เคยถูกใครขี่มาก่อน  และรหัสที่ใช้เวลาส่งคนไปรับลูกลาคือ “พระอาจารย์ต้องการใช้มัน”
พระองค์ไม่ได้ปล่อยให้ชีวิตต้องจนตรอก หรือรอจนนาทีสุดท้ายมาถึง !
อีกสิ่งหนึ่งที่ปรากฏชัดเจนคือ “ความกล้าหาญขั้นสุดยอด” ของพระองค์
    ก่อนหน้านี้ “บรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสีได้ออกคำสั่งว่า ถ้าใครรู้ว่าพระองค์อยู่ที่ไหน ก็ให้มารายงาน เพื่อจะได้จับกุมพระองค์” (ยน 11:57)
เรียกว่าพระองค์ถูกออกหมายจับ และถูกตั้งค่าหัวไว้แล้ว !!
    หากเป็นคนอื่น คงต้องแอบซ่อนเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างลับ ๆ  และเมื่อเข้ากรุงได้แล้ว คงต้องซ่อนตัวอยู่ในที่เร้นลับ
แต่พระองค์กลับเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างสง่าผ่าเผย ชนิดที่สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องมาที่พระองค์ ดุจดังนักแสดงเอกที่มีไฟสปอตไลท์ฉายส่องโดดเด่นอยู่กลางเวที
จึงไม่ใช่การยกยอปอปั้นจนเกินเลยไปหากจะกล่าวว่า “พระองค์ทรงกล้าหาญขั้นสุดยอด” !
คำถามคือ พระองค์ทรงมีวัตถุประสงค์อะไรในการแสดงความกล้าหาญขั้นสุดยอดอย่างนี้ ?
เพื่อจะตอบคำถาม เราต้องย้อนกลับไปดูคำทำนายของประกาศกเศคาริยาห์ที่ว่า “โอ บุตรีแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย จงโห่ร้อง  ดูเถิด กษัตริย์ของเธอเสด็จมาหาเธอ ทรงความยุติธรรมและความรอด พระองค์ทรงอ่อนสุภาพและทรงลา ทรงลูกลา” (ศคย 9:9)
แสดงว่าพระองค์ต้องการบอกให้ชาวยิวรับรู้ด้วยการทรงลาเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างสง่าว่า “พระองค์คือกษัตริย์”
    พร้อมกับทรงแสดงให้รับรู้ในเวลาเดียวกันด้วยว่า พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ประเภทใด ?
    ในปาเลสไตน์ ลาไม่ใช่สัตว์ที่ต่ำต้อยแต่เป็นสัตว์ที่ทรงเกียรติ เพราะในยามสันติและสงบสุข กษัตริย์จะประทับบนหลังลาเพื่อเสด็จเยี่ยมพสกนิกรของพระองค์
    ส่วน “ม้า” มีไว้ขี่ยามออกศึกสงครามเท่านั้น !
    เท่ากับว่า พระเยซูเจ้าไม่เพียงบอกว่าทรงเป็นกษัตริย์เท่านั้น แต่ยังบอกด้วยว่าทรงเป็นกษัตริย์แห่ง “ความรักและสันติสุข”
ไม่ใช่กษัตริย์ที่ตั้งหน้าตั้งตาทำศึกสงครามเพื่อพิชิตโลกด้วยกำลังทหาร ตามที่ชาวยิวจำนวนมากพากันคาดหวังและรอคอย

    ท่ามกลางชาวยิวที่จงเกลียดจงชังพระองค์  พระองค์ทรงเผชิญหน้าพร้อมกับหยิบยื่น “ความรักและสันติสุข” ให้แก่พวกเขา
อีกทั้งทรงเชื้อเชิญพวกเขาให้กลับมาหาพระองค์ผู้ทรงเป็นกษัตริย์ ซึ่งพระเจ้าทรงเจิมไว้ให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด…
นี่แหละพระเยซูเจ้า กษัตริย์ของเรา !!
    “ขอถวายพระพรแด่กษัตริย์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า” !!!