แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

อาทิตย์ที่ 17 เทศกาลธรรมดา

ข่าวดี    ยอห์น 6:1-15
พระเยซูเจ้าทรงทำอัศจรรย์ทวีขนมปัง
(1)หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จข้ามทะเลสาบกาลิลี หรือทีเบเรียส  (2)ประชาชนจำนวนมากตามพระองค์ไป เพราะเห็นเครื่องหมายอัศจรรย์ที่ทรงกระทำแก่ผู้เจ็บป่วย  (3)พระองค์เสด็จขึ้นไปบนภูเขา ประทับที่นั่นพร้อมกับบรรดาศิษย์  (4)ขณะนั้นใกล้จะถึงวันฉลองปัสกาของชาวยิว  (5)พระเยซูเจ้าทรงเงยพระพักตร์ ทอดพระเนตรเห็นประชาชนจำนวนมากที่มาเฝ้า จึงตรัสแก่ฟิลิปว่า “พวกเราจะซื้อขนมปังที่ไหนให้คนเหล่านี้กิน”  (6)พระองค์ตรัสดังนี้เพื่อทดลองใจเขา แต่พระองค์ทรงทราบแล้วว่าจะทรงทำประการใด  (7)ฟิลิปทูลตอบว่า “ขนมปังสองร้อยเหรียญแจกให้คนละนิดก็ไม่พอ”  (8)ศิษย์อีกคนหนึ่งคือ อันดรูว์ น้องของซีโมน เปโตร ทูลว่า  (9)”เด็กคนหนึ่งที่นี่มีขนมปังบาร์เลย์ห้าก้อนกับปลาสองตัว ขนมปังและปลาเพียงเท่านี้จะพออะไรสำหรับคนจำนวนมากเช่นนี้”  (10)พระเยซูเจ้าตรัสว่า “จงบอกประชาชนให้นั่งลงเถิด” ที่นั่น มีหญ้าขึ้นอยู่ทั่วไป เขาจึงนั่งลง นับจำนวนผู้ชายได้ถึงห้าพันคน  (11)พระเยซูเจ้าทรงหยิบขนมปังขึ้น ทรงขอบพระคุณพระเจ้า แล้วทรงแจกจ่ายให้แก่ผู้ที่นั่งอยู่ตามที่เขาต้องการ  พระองค์ทรงกระทำเช่นเดียวกันกับปลา  (12)เมื่อคนทั้งหลายอิ่มแล้ว พระองค์ตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “จงเก็บเศษขนมปังที่เหลือ อย่าให้สิ่งใดสูญไปเปล่า ๆ”  (13)บรรดาศิษย์จึงเก็บเศษขนมปังบาร์เลย์ห้าก้อนที่เหลือนั้น ได้สิบสองกระบุง  (14)เมื่อคนทั้งหลายเห็นเครื่องหมายอัศจรรย์ที่ทรงทำ ก็พูดว่า “ท่านผู้นี้เป็นประกาศกแท้ ซึ่งจะต้องมาในโลก” (15)พระเยซูเจ้าทรงทราบว่าคนเหล่านั้นจะใช้กำลังบังคับพระองค์ให้เป็นกษัตริย์ จึงเสด็จไปบนภูเขาตามลำพังอีกครั้งหนึ่ง


    เหนือจุดที่แม่น้ำจอร์แดนไหลลงทะเลสาบกาลิลีขึ้นไปราว 3 กิโลเมตรเศษ มีที่ตื้นเขินแห่งหนึ่งใช้เป็นที่ข้ามฟากแม่น้ำ  และใกล้กับจุดข้ามฟากนี้เองเป็นที่ตั้งของเมืองเบธไซดา (ลก 9:10)
    ที่เมืองเบธไซดา มีทุ่งราบเต็มไปด้วยหญ้าเขียวขจีอยู่เกือบติดกับทะเลสาบ  และบนเนินเขาบริเวณทุ่งหญ้าแห่งนี้เองที่พระเยซูเจ้าทรงเลือกเป็นสถานที่สำหรับปลีกตัวจากฝูงชนเพื่อพักผ่อน สวดภาวนา และอยู่ตามลำพังกับบรรดาศิษย์ จะได้สอนพวกเขาให้เข้าใจและรู้จักพระองค์ลึกซึ้งมากขึ้น
    “ขณะนั้นใกล้จะถึงวันฉลองปัสกาของชาวยิว” (ข้อ 4) จึงมีผู้จาริกแสวงบุญจำนวนมากจากกาลิลีเดินทางผ่านมาเพื่อข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปอีกฟากหนึ่ง แล้วเดินทางมุ่งหน้าสู่กรุงเยรูซาเล็มทางใต้โดยไม่ผ่านดินแดนของชาวสะมาเรีย
    ผู้จาริกแสวงบุญส่วนหนึ่งคงไปสมทบกับ “ประชาชนจำนวนมากที่ตามพระองค์ไป เพราะเห็นเครื่องหมายอัศจรรย์ที่ทรงกระทำแก่ผู้เจ็บป่วย” (ข้อ 2) และทำให้จำนวนประชาชนที่มาเฝ้าพระองค์เพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ
    เมื่อทอดพระเนตรเห็นคนจำนวนมาก พระเยซูเจ้าทรงสงสารพวกเขาที่หิวและเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง  พระองค์จึงหันไปถามฟิลิปซึ่งเป็นชาวเมืองเบธไซดา (ยน 1:44) ว่า “พวกเราจะซื้อขนมปังที่ไหนให้คนเหล่านี้กิน” (ข้อ 5)
    แต่คำตอบของฟิลิปช่างทำให้ผู้ถามรู้สึกท้อแท้สิ้นดี “ขนมปังสองร้อยเหรียญแจกให้คนละนิดก็ไม่พอ” (ข้อ 7)
    เป็นอันดรูว์ที่ค้นพบว่าเด็กคนหนึ่งมีขนมปังบาร์เลย์ห้าก้อนกับปลาสองตัว และด้วยความเคยชินที่ชอบพาคนมาหาพระเยซูเจ้า (ยน 1:42) เขาจึงพาเด็กคนนี้มาหาพระองค์ด้วย
    สิ่งที่เด็กนำติดตัวมามีจำนวนเพียงน้อยนิด  มิหนำซ้ำขนมปังที่ติดตัวมายังทำจากข้าวบาร์เลย์แทนที่จะเป็นข้าวสาลี
    ในหนังสือ Mishnah ซึ่งรวบรวมกฎหมายของชาวยิวไว้ทั้งหมด ได้อนุญาตให้หญิงมีชู้ใช้แป้งบาร์เลย์แทนแป้งสาลีถวายเป็นเครื่องบูชาชดเชยบาป ด้วยเหตุผลที่ว่าข้าวบาร์เลย์เป็นอาหารสำหรับสัตว์ และบาปของหญิงมีชู้เป็นบาปของสัตว์ !
    ขนมปังบาร์เลย์จึงถูกมองอย่างดูหมิ่นว่าเป็นอาหารของสัตว์และของคนจน เพราะมีราคาถูกที่สุดในบรรดาขนมปังทั้งหลาย
    ส่วนปลาอีกสองตัวก็มีขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าปลาซาร์ดีน  ชาวกาลิลีนิยมนำปลาที่จับได้จากทะเลสาบมาดองเค็มเพื่อให้เก็บได้นาน  ใช้กินเรียกน้ำย่อย  ในสมัยนั้นปลาดองเค็มจากกาลิลีมีชื่อเสียงไปทั่วอาณาจักรโรมัน
    เด็กนำปลาดองเค็มติดตัวมาด้วยก็เพื่อช่วยให้กระเดือกขนมปังบาร์เลย์ลงคอได้ง่ายขึ้นนั่นเอง !
    อย่างไรก็ตาม พระเยซูเจ้าทรงหยิบขนมปังและปลาขึ้น ทรงขอบพระคุณพระเจ้า แล้วทรงแจกจ่ายให้แก่ผู้ที่นั่งอยู่ตามที่เขาต้องการ (ข้อ 11) จน “คนทั้งหลายอิ่ม” (ข้อ 12)
    เราอาจอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ 3 แนวทางด้วยกัน คือ
    1.    เป็นการทวีขนมปังและปลา  แนวทางนี้เป็นความเชื่อที่ง่าย แต่บางคนอาจรู้สึกยากที่จะอธิบายว่าทำไมพระองค์จึงทำในสิ่งที่เคยปฏิเสธเมื่อคราวถูกทดลองในถิ่นทุรกันดาร ให้เลือกแนวทางประชานิยมด้วยการเปลี่ยนก้อนหินให้เป็นขนมปัง แล้วแจกจ่ายประชาชนเพื่อจูงใจให้พวกเขาติดตามพระองค์ (มธ 4:3-4)
    2.    เป็นศีลศักดิ์สิทธิ์  เพราะพระวรสารทั้งบทที่เหลือล้วนเกี่ยวข้องกับอาหารค่ำครั้งสุดท้าย ดังที่พระองค์ทรงตรัสย้ำว่า “เราเป็นปังแห่งชีวิต” (ยน 6:48) “ปังที่เราจะให้นี้ คือเนื้อของเราเพื่อให้โลกมีชีวิต” (ยน 6:51) “เพราะเนื้อของเราเป็นอาหารแท้ และโลหิตของเราเป็นเครื่องดื่มแท้” (ยน 6:55)
        แนวทางนี้ถือว่าฝูงชนได้รับขนมปังหรือปลาเพียงชิ้นเล็ก ๆ เหมือนศีลมหาสนิท แต่เพราะความตื่นเต้นยินดีที่ได้อยู่เบื้องพระพักตร์ของพระองค์ผู้ทรงเป็นพระเจ้า  ขนมปังและปลาชิ้นเล็ก ๆ นี้จึงเปลี่ยนเป็นอาหารหล่อเลี้ยงจิตใจและวิญญาณของพวกเขา ดังที่เกิดขึ้นทุกวันนี้เมื่อเราร่วมพิธีบูชามิสซาและรับศีลมหาสนิท
3.    เป็นการแบ่งปัน  แนวทางนี้ถือว่าเป็นไปไม่ได้ที่ฝูงชนจะเดินทางโดยไม่มีอาหารติดตัวมาด้วย ยิ่งถ้าเป็นพวกจาริกแสวงบุญด้วยแล้วยิ่งจำเป็นต้องมีอาหารติดตัวมากพอสำหรับการเดินทางไปกลับกรุงเยรูซาเล็ม  ส่วนสาเหตุที่ทำให้พวกเขาหิวนั้นเป็นเพราะไม่มีผู้ใดยอมนำอาหารออกมากิน เกรงว่าจะต้องแบ่งปันให้ผู้อื่นจนอาจมีไม่พอสำหรับตัวเอง
    “ความเห็นแก่ตัว” ทำให้พวกเขาอยากเก็บอาหารทั้งหมดไว้กินคนเดียว !
    ต่อเมื่อพระเยซูเจ้าทรงนำสิ่งที่มีติดตัวออกมา ทรงขอบพระคุณพระเจ้า แล้วทรงแบ่งปันให้ผู้อื่นนั่นแหละ พวกเขาจึงเริ่มแบ่งปันกันบ้าง และกว่าจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาก็อิ่มหนำแถมยังมีเหลืออีกด้วย
    หากนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น อัศจรรย์ครั้งนี้ต้องนับว่ายิ่งใหญ่นัก เพราะนี่ไม่ใช่เพียงการทวีขนมปังและปลา แต่เป็นการเปลี่ยนมนุษย์ทั้งชายและหญิงที่ “เห็นแก่ตัว” ให้มีจิตใจที่เอื้ออาทรและแบ่งปันซึ่งกันและกัน
    พระองค์ทรงทำอัศจรรย์เปลี่ยน “ความเห็นแก่ตัว” ให้กลายเป็น “ความรัก” !

ไม่ว่าเราจะเข้าใจอัศจรรย์ครั้งนี้อย่างไรก็ตาม  สิ่งที่เราควรตระหนักอยู่เสมอคือหากปราศจากอันดรูว์และเด็ก อัศจรรย์ครั้งนี้คงไม่มีทางเกิดขึ้น
1.    อันดรูว์  เราจะเห็นว่าอันดรูว์ต่างจากฟิลิปโดยสิ้นเชิง  ฟิลิปคือคนประเภทที่ชอบพูดว่า “หมดหวัง ไม่มีทางทำได้”  ส่วนอันดรูว์คือคนประเภทที่พูดว่า “ผมจะลองดูว่าทำอะไรได้บ้าง ที่เหลือผมขอวางใจในพระเยซูเจ้า”
    อันดรูว์คือคนที่พาเด็กมาหาพระเยซูเจ้าและทำให้อัศจรรย์ครั้งนี้เป็นไปได้ !
    ไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อเรานำคนหนึ่งมาหาพระเยซูเจ้า  ถ้าพ่อแม่สอนลูกของตนให้รู้จัก รัก และดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของพระองค์ ใครจะรู้ว่าสักวันหนึ่งลูกของตนคนนี้จะกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพียงใดเพื่อพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์  หรือครูคำสอนที่พาเด็กคนหนึ่งมาสู่กระแสเรียกเป็นพระสงฆ์หรือนักบวช ใครจะรู้ว่าสักวันหนึ่งเด็กคนนี้จะทำสิ่งใดเพื่อพระคริสตเจ้าและพระศาสนจักรของพระองค์ได้บ้าง ?
         วันนั้น ขณะที่พาเด็กไปหาพระเยซูเจ้า อันดรูว์ไม่รู้เลยว่ากำลังทำอะไร แถมยังสงสัยด้วยซ้ำไปว่า “ขนมปังและปลาเพียงเท่านี้จะพออะไรสำหรับคนจำนวนมากเช่นนี้” (ข้อ 9) แต่ที่แน่นอนคือท่านได้จัดหาวัตถุดิบเพื่อการทำอัศจรรย์
         ถึงวันนี้ เราก็ยังไม่มีทางรู้เลยว่าเราได้เพิ่ม “ความเป็นไปได้” ที่พระเยซูเจ้าจะกระทำกิจการอันยิ่งใหญ่อีกมากน้อยเพียงใดเมื่อเรานำผู้หนึ่งผู้ใดมาหาพระองค์ !
    2.    เด็ก  สิ่งที่เขานำมามอบแด่พระเยซูเจ้ามิได้มีราคาค่างวดมากมายแต่ประการใด แต่พระองค์ทรงใช้ทุกสิ่งที่เขามอบถวายแด่พระองค์เพื่อทำอัศจรรย์
        หากเด็กคนนี้ปฏิเสธที่จะมอบขนมปังและปลาแก่พระองค์  เราคงต้องลดจำนวนอัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ลงไปอีกหนึ่งครั้ง
        จึงต้องย้ำว่า พระเยซูเจ้าต้องการสิ่งที่เรานำมามอบถวายแด่พระองค์จริง ๆ แม้จะน้อยนิดเพียงใดก็ตาม !
        ทุกวันนี้ โลกไม่ค่อยมีโอกาสเห็นอัศจรรย์และเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่บ่อยครั้งนัก นั่นเป็นเพราะเราไม่ยอมนำ “สิ่งที่เรามี” และ “สิ่งที่เราเป็น” มามอบถวายแด่พระองค์
        ไม่ต้องถามเลยว่าพระองค์สามารถทำสิ่งใดผ่านทาง “ตัวเรา” ได้บ้าง หากเราถวายตัวรับใช้พระองค์ด้วยการเป็นพระสงฆ์ นักบวช ครูคำสอน พลมารี อาสาสมัคร ฯลฯ
    อย่าอ้างเป็นอันขาดว่า “ผู้น้อยไร้ความสามารถ ผู้น้อยยากจน พระองค์ไปหาคนอื่นดีกว่า”
    เพราะสิ่งเล็กน้อยล้วนยิ่งใหญ่เสมอในพระหัตถ์ของพระเยซูคริสตเจ้า !!!