แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

เรารักท่านทั้งหลายอย่างไร ท่านก็จงรักกันอย่างนั้นเถิด

ยน 13:33-35
     (33) ลูกทั้งหลายเอ๋ย เราจะอยู่กับท่านอีกไม่นาน ท่านจะแสวงหาเรา (34) เราให้บทบัญญัติใหม่แก่ท่านทั้งหลาย ให้ท่านรักกัน เรารักท่านทั้งหลายอย่างไร ท่านก็จงรักกันอย่างนั้นเถิด (35) ถ้าท่านมีความรักต่อกัน ทุกคนจะรู้ว่า ท่านเป็นศิษย์ของเรา”


 “เรารักท่านทั้งหลายอย่างไร ท่านก็จงรักกันอย่างนั้นเถิด”
    พระเยซูเจ้าทรงรักเราอย่างไร ?
    1.    อย่างไม่เห็นแก่ตัว
         ปกติความรักตามประสามนุษย์มักมี “ความเห็นแก่ตัว” เจือปนอยู่ด้วยเสมอ  เมื่อเรารักใครสักคนหนึ่ง ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม เรามักคิดถึงตัวเองเป็นลำดับแรก เช่น เขาจะให้ความสุขและความมั่นคงแก่เราได้หรือไม่  หากเขาปฏิเสธความรักของเรา เราจะอับอาย โดดเดี่ยว เจ็บปวด หรือทรมานมากน้อยเพียงใด ฯลฯ
        เรามักคิดถึงประโยชน์ที่เราจะได้จาก “ความรัก” จนอาจกล่าวได้ว่าเบื้องหลังของความรักก็คือ “ความสุข” ของตัวเรานั่นเอง
        แต่ความรักของพระเยซูเจ้าไม่มีความเห็นแก่ตัวเจือปนอยู่แม้แต่นิดเดียว  ไม่มีครั้งใดที่พระองค์ทรงคิดถึงตัวพระองค์เองเลย…
         ทุกสิ่งที่ทรงมี แม้กระทั่งชีวิตของพระองค์เอง พระองค์ทรงมอบแก่เราทั้งหมด !
    2.    อย่างเสียสละ
         หากเราคิดว่าความรักคือความสุข เราคิดผิด  เพราะที่ถูกคือ ความรักย่อมมีทั้งความสุขและความทุกข์คลุกเคล้ากันไป !
         มีแต่ “ความเสียสละ” เท่านั้นที่ช่วยคลุกเคล้าความทุกข์ให้เป็นความสุขได้ !
        สำหรับพระเยซูเจ้าแล้ว ความเสียสละของพระองค์ไร้ขีดจำกัด !
        หากความรักเรียกร้องให้พระองค์ “เสียสละ” แม้กระทั่งชีวิตของพระองค์เอง พระองค์ไม่ทรงลังเลพระทัยเลยที่จะมอบชีวิตนั้นเพื่อเรา !
เพราะความเสียสละอย่างไร้ขีดจำกัดนี้เอง พระองค์จึงได้รับการยกย่องสูงสุด
        เช่นเดียวกัน ความรักอย่างเสียสละที่พร้อมเผชิญหน้ากับปัญหาและความทุกข์ยากต่าง ๆ ไม่เว้นแม้แต่ความตายนี้เอง ที่สามารถนำความสุขและความมั่นคงแท้จริงมาสู่ชีวิตของเราได้
    3.    อย่างเข้าใจ
         เราเคยได้ยินคำพูดว่า “ความรักคือตาบอด” ซึ่งหมายความว่าเราต้องรู้จักหลับหูหลับตา “มองข้าม” ความบกพร่องหรือความอ่อนแอของคนรักบ้าง
        แต่นี่ไม่ใช่วิถีทางแบบพระเยซูเจ้า !
         ปกติ ผู้ที่รู้จักกันเพียงผิวเผิน จะพบเห็นเฉพาะส่วนที่ดีที่สุดของกันและกันเท่านั้น  แต่พระเยซูเจ้าทรงใช้ชีวิตร่วมหัวจมท้ายกับบรรดาศิษย์เป็นเวลานาน จนล่วงรู้ปัญหา ความอ่อนแอ และข้อบกพร่องต่าง ๆ ของศิษย์แต่ละคนเป็นอย่างดี
        กระนั้นก็ตาม พระองค์ยังทรงรักศิษย์ทุกคน ไม่ใช่เพราะทรง “มองข้าม”  แต่เพราะทรง “เข้าใจ” และ “ยอมรับ” ข้อบกพร่องของพวกเขาทุกคน
    พระองค์ทรงรักพวกเขาอย่างที่พวกเขาเป็น และทรงรักพวกเขาจนถึงที่สุดด้วย !
        การปิดหูปิดตาไม่ยอมรับความจริงว่าคนรักของเรามีข้อบกพร่อง  แล้วพยายามคิดสร้างภาพว่าเขาเป็นคนดีอย่างที่เราต้องการ  ผลที่จะตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้นคือความผิดหวังและความเจ็บปวดแสนสาหัสของตัวเรานั่นเอง
    4.    อย่างให้อภัย
         ในบรรดาศิษย์ของพระองค์ ไม่มีใครเลยที่เข้าใจพระองค์จริง ๆ  พวกเขาเรียนรู้ช้าและดื้อ
         ยามที่พระองค์ถูกจับกุมและต้องการพวกเขามากที่สุด  พวกเขากลับหลบหนีแล้วปล่อยให้พระองค์ตกอยู่ในกำมือของศัตรูตามลำพัง
         แม้แต่หัวหน้าของพวกเขาก็ปฏิเสธพระองค์ถึงสามครั้ง
         แต่พระองค์ไม่เคยถือโทษพวกเขา เพราะไม่มีความผิดใดที่พระองค์ “ให้อภัย” ไม่ได้ !!
        นี่คือความรักแบบพระเยซูเจ้า !
        ปกติ มนุษย์เรามีธรรมชาติที่สุดแสนโหดร้ายอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือเรามักแสดงอัธยาศัยไมตรีอันดีแก่ผู้ที่ไม่คุ้นเคย  ส่วนผู้ที่เราคุ้นเคยและรักมากที่สุด เรากลับทำร้ายพวกเขาไม่ว่าจะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม  เช่นเมื่อเหน็ดเหนื่อยหรือมีปัญหานอกบ้าน เรามักพูดกับคนอื่นว่า “ไม่เป็นไร”  แต่กับสมาชิกในครอบครัวที่เรารักมากที่สุด พวกเขากลับต้องรองรับอารมณ์ของเราไปเต็ม ๆ
         ความรักที่พร้อมให้อภัยแบบพระเยซูเจ้าจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน  หากเราไม่เรียนรู้ที่จะ“ให้อภัย” ซึ่งกันและกัน ความรักของเราก็มีแต่จะเหี่ยวแห้งเฉาตายไป
        ความรักที่ยืนนานต้องมีพื้นฐานอยู่บนการให้อภัยเสมอ เพราะความรักที่ไม่รู้จักให้อภัยมีแต่จะเหี่ยวแห้งเฉาตายไป !!!