แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

chaiya1

วันอาทิตย์ที่ 20 เทศกาลธรรมดา


ข่าวดี      ยอห์น 6:51-58
(51)เราเป็นปังทรงชีวิต ที่ลงมาจากสวรรค์ ใครที่กินปังนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป และปังที่เราจะให้นี้ คือเนื้อของเราเพื่อให้โลกมีชีวิต” (52)ชาวยิวจึงเถียงกันว่า “คนนี้เอาเนื้อของตนให้เรากินได้อย่างไร”  (53)พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กินเนื้อของบุตรแห่งมนุษย์ และไม่ดื่มโลหิตของเขา ท่านจะไม่มีชีวิตในตนเอง (54)ผู้ที่กินเนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเรา ก็มีชีวิตนิรันดร เราจะทำให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย (55)เพราะเนื้อของเราเป็นอาหารแท้ และโลหิตของเราเป็นเครื่องดื่มแท้ (56)ผู้ที่กินเนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเรา ก็ดำรงอยู่ในเรา และเราก็ดำรงอยู่ในเขา (57)พระบิดาผู้ทรงชีวิตทรงส่งเรามา และเรามีชีวิตเพราะพระบิดาฉันใด ผู้ที่กินเนื้อของเราจะมีชีวิตเพราะเราฉันนั้น (58)นี่คือปังที่ลงมาจากสวรรค์ ไม่เหมือนปังที่บรรดาบรรพบุรุษได้กินแล้วยังตาย ผู้ที่กินปังนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป”

***********************

พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ผู้ที่กินเนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเรา ก็มีชีวิตนิรันดร”     (ข้อ 54)
สำหรับผู้ที่ฟังพระวาจานี้เป็นครั้งแรกอาจรู้สึกตกใจและเห็นเป็นเรื่องวิตถาร  แต่สำหรับผู้ฟังในสมัยของพระเยซูเจ้า พวกเขาล้วนเข้าใจความหมายสิ่งที่ทรงตรัสสอนเป็นอย่างดี
ตั้งแต่โบราณกาลมาแล้ว ผู้คนนิยมเผาสัตว์เป็นเครื่องบูชาถวายแด่พระเจ้าของตน  แต่ในทางปฏิบัติ พวกเขาเผาสัตว์เพียงบางส่วนพอเป็นพิธีเท่านั้น  เนื้อสัตว์ที่เหลือจากการเผาบูชา ส่วนหนึ่งมอบให้แก่พระสงฆ์เป็นค่าตอบแทน  ที่เหลือทั้งหมดผู้ถวายบูชาจะนำมาทำอาหารเลี้ยงกันกับญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงภายในพระวิหาร โดยมีพระเจ้าของพวกเขาเป็นแขกรับเชิญ

ตามความเชื่อของคนโบราณ เมื่อเผาสัตว์เป็นเครื่องถวายบูชาแล้ว ถือว่าพระเจ้าได้เสด็จมาประทับอยู่ในเนื้อสัตว์นั้นทั้งตัว นั่นคือทั้งส่วนที่เผาและไม่ได้เผา  ดังนั้นผู้ที่ร่วมกันกินเนื้อสัตว์ ก็คือร่วมกันกิน “พระเจ้า”
หลังกินเลี้ยง ชีวิตของพวกเขาจึงเต็มเปี่ยมไปด้วยพระเจ้า พวกเขากลายเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า และกลับออกไปจากพระวิหารพร้อมกับจิตใจและพลังของพระเจ้า
ชาวยิวที่ได้ฟังถ้อยคำของพระเยซูเจ้าในวันนั้น ต่างเข้าใจและไม่รู้สึกสะดุดใจเรื่องการกินเนื้อหรือดื่มโลหิตของพระเจ้าแต่ประการใด
แต่สิ่งที่พวกเขายอมรับไม่ได้และถกเถียงกันก็คือ “คนนี้จะเอาเนื้อของตนให้เรากินได้อย่างไร” (ข้อ 52)
เพราะ “คนนี้” ของพวกเขาเป็นเพียงลูกชายช่างไม้จน ๆ ที่ชื่อโยเซฟเท่านั้น  จะมาอวดอ้างตัวเองเป็น “พระเจ้า” ที่สามารถประทานเนื้อของตนให้พวกเขากินได้อย่างไรกัน ???
พูดง่าย ๆ คือ พวกเขาไม่ยอมรับพระองค์เป็นพระเจ้า !

แต่ประเด็นสำคัญสำหรับเราคือ พระเยซูเจ้าทรงหมายความว่าอะไรเมื่อทรงตรัสว่า “ผู้ที่กินเนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเรา จะได้รับชีวิตนิรันดร”
เราอาจอธิบายได้ดังนี้
คำอธิบายแรกเป็นความหมายของ “เนื้อ” และ “โลหิต” โดยทั่วไป  ไม่เกี่ยวข้องกับ “ศีลมหาสนิท”
“เนื้อ” ในที่นี้หมายถึง “ความเป็นมนุษย์ของพระเยซูเจ้า”  ดังที่ยอห์นกล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า “การดลใจใดที่ยอมรับว่า พระเยซูคริสตเจ้าเสด็จมารับธรรมชาติมนุษย์ ก็เป็นการดลใจที่มาจากพระเจ้า” (1 ยน 4:2) แต่การดลใจใดที่ไม่ยอมรับว่าพระองค์เป็นมนุษย์ก็เป็น “การดลใจของผู้เป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสตเจ้า” (1 ยน 4:3)
ยอห์นถึงกับย้ำนักย้ำหนาว่า พระองค์ทรงมีกระดูกและเนื้อหนังแบบเรามนุษย์ ซึ่งเท่ากับว่า พระองค์ได้รับเอาชีวิตแบบมนุษย์ทั้งครบไว้ในตัวของพระองค์เอง
หมายความว่า พระองค์ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ทุกอย่างที่มนุษย์อย่างเราต้องเผชิญ  พระองค์ต้องต่อสู้ฟันฝ่าปัญหาและอุปสรรค์ต่าง ๆ เหมือนอย่างเรา  รวมถึงต้องดิ้นรนเอาชนะการประจญล่อลวงต่าง ๆ นานาเช่นเดียวกันกับเราทุกประการ
เพราะฉะนั้น เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสว่า “ผู้ที่กินเนื้อของเราจะมีชีวิตเพราะเราฉันนั้น” (ข้อ 57) พระองค์ต้องการหมายความว่า “พวกท่านจงหล่อเลี้ยงความคิด จิตใจ และวิญญาณของท่านอาศัยความเป็นมนุษย์ของเรา  เมื่อใดก็ตามที่พวกท่านท้อแท้ สิ้นหวัง หมดกำลังใจ เข่าอ่อน หรือเบื่อหน่ายชีวิต  จงระลึกเสมอว่า “เรา” ได้รับชีวิตและการดิ้นรนทั้งหมดของพวกท่านไว้ในตัวเราแล้ว”
ด้วยการหล่อเลี้ยงความคิดและจิตใจของเราเช่นนี้เอง ชีวิตและร่างกายของเราจะสัมผัสกับพระเจ้าและถูกปกคลุมด้วยความรุ่งโรจน์ของพระองค์ !
เราจะได้รับพลัง ความสว่าง และการชำระล้าง อาศัย “เนื้อ” หรือ “ความเป็นมนุษย์” ของพระองค์....
“โลหิต” คือ “ชีวิต”  หากโลหิตไหลออกจากแผล ชีวิตก็พลอยไหลออกไปด้วย และเมื่อโลหิตหมด ชีวิตก็จบสิ้น
นอกจากนี้ ชาวยิวยังถือว่าโลหิต “เป็นของพระเจ้า”  พวกเขาจึงไม่กินเลือด (ฉธบ 15:23) หรือเนื้อที่ชุ่มเลือด (ปฐก 9:4)
เมื่อพระเยซูเจ้าทรงตรัสสั่งให้เราดื่มโลหิตของพระองค์ ความหมายคือเราต้อง “นำชีวิตของพระองค์มาเป็นแก่นชีวิตของเรา”
บางคนอาจสงสัยว่าจะทำได้อย่างไร ?
ขอยกตัวอย่างหนังสือพระราชนิพนธ์เรื่อง “พระมหาชนก”  ตราบใดที่หนังสือเล่มนี้ถูกปิดและวางไว้บนหิ้ง เราจะไม่มีวันล่วงรู้ถึงพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และจะไม่มีทางได้ลิ้มรสความไพเราะ หรือได้มีโอกาสขัดเกลาจิตใจด้วยคุณธรรมที่แฝงอยู่ในบทประพันธ์นี้เลย  เพราะสิ่งที่กล่าวมาล้วนอยู่ “ภายนอก” ตัวเรา
ต่อเมื่อเราหยิบหนังสือพระราชนิพนธ์เล่มนี้ขึ้นมาอ่าน  เมื่อนั้นแหละความตื่นเต้นประทับใจต่าง ๆ จะหลั่งไหลเข้ามาในหัวใจและความรู้สึกนึกคิดของเรา  บางข้อความอาจฝังแน่นอยู่ในความทรงจำของเรา และกลายเป็นส่วนหนึ่ง “ภายใน” ตัวเรา
เมื่อใดก็ตามที่เราต้องการ  เราสามารถนำความประทับใจเหล่านี้ที่อยู่ “ภายใน” ตัวเรา มาใช้หล่อเลี้ยงความคิด จิตใจ และวิญญาณของเราได้เสมอ
กับพระเยซูเจ้าก็เป็นเช่นเดียวกัน  ตราบใดที่เราเห็นพระองค์เป็นเพียง “ตัวละคร” คนหนึ่งในหนังสือพระคัมภีร์  ตราบนั้นพระองค์ยังอยู่ “ภายนอก” ตัวเรา ซึ่งจะมีประโยชน์อันใดเล่า
เมื่อพระองค์ตรัสว่า “ผู้ที่กินเนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเรา ก็ดำรงอยู่ในเรา และเราก็ดำรงอยู่ในเขา” (ข้อ 56) ความหมายย่อมชัดเจนว่าพระองค์ทรงปรารถนาให้เรา “นำพระองค์เข้ามาภายในตัวของเรา” เหมือนเราหยิบหนังสือพระราชนิพนธ์ “พระมหาชนก” ขึ้นมาอ่าน
เพื่อหล่อเลี้ยงความคิด จิตใจ และวิญญาณของเรา ทั้งนี้เพื่อเราจะมีชีวิตอย่างแท้จริง และตลอดไป !!

คำอธิบายที่สองเกี่ยวข้องกับ “ศีลมหาสนิท”
การกินเนื้อและดื่มโลหิตของพระเยซูเจ้า คือการเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์โดยผ่านทางศีลมหาสนิท ซึ่งเราต่างทราบกันดีอยู่แล้ว
เพียงแต่มีข้อสังเกตสำคัญอยู่ประการหนึ่งคือ  ยอห์นไม่ได้เขียนเรื่องการกินเนื้อและดื่มโลหิตของพระเยซูเจ้าต่อจากการเลี้ยงอาหารค่ำครั้งสุดท้ายซึ่งเป็นโอกาสที่พระองค์ทรงตั้งศีลมหาสนิท  แต่ท่านกลับเขียนเรื่องนี้ต่อจากการทำอัศจรรย์ทวีขนมปังและปลาเลี้ยงประชาชนห้าพันคนที่เมืองเบธไซดา ริมทะเลสาบกาลิลี
แสดงว่ายอห์นไม่ต้องการ “จำกัด” การประทับอยู่ของพระเยซูเจ้า และการเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ไว้ที่ศีลมหาสนิท ซึ่งอยู่ภายในวัด และภายในตู้ศีลเท่านั้น
แต่ท่านต้องการ “ขยาย” การประทับอยู่ และการเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ไปสู่ทุกแห่ง ทุกเวลา และทุกสถานการณ์  ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ที่โรงเรียน ที่ทำงาน หรือที่อื่นใด แม้แต่บนทุ่งหญ้าริมทะเลสาบกาลิลีที่พระองค์ทรงใช้ทวีขนมปังก็ตาม
ยอห์นไม่ได้ทำให้ศีลมหาสนิทด้อยค่าลง แต่ท่านกำลังขยายความหมายและผลของศีลมหาสนิทให้กว้างขวางมากขึ้น
เพื่อโลกทั้งใบจะได้เต็มไปด้วยพระคริสตเจ้า !

เพราะพระเยซูเจ้าทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา และเป็นผู้ที่พระบิดาทรงใช้มา การเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูเจ้าจึงเป็นหลักประกันสำหรับชีวิตนิรันดรของเรา
“ผู้ที่กินเนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเรา จะได้รับชีวิตนิรันดร” (ยน 6:54)