แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

chaiya1

อาทิตย์ที่ 11 เทศกาลธรรมดา


ข่าวดี    มก 4:26-34
26เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนว่า “พระอาณาจักรของพระเจ้ายังเปรียบเสมือนคนที่นำเมล็ดพืชไปหว่านในดิน  27เขาจะหลับหรือตื่น กลางคืนหรือกลางวัน เมล็ดนั้นก็งอกขึ้นและเติบโต เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรเขาไม่รู้  28ดินนั้นมีพลังให้เกิดผลในตนเอง ครั้งแรกก็เป็นลำต้น แล้วก็ออกรวง ต่อมาก็มีเมล็ดเต็มรวง  29เมื่อข้าวสุก เกิดผลแล้ว เขาก็ใช้คนไปเก็บเกี่ยวทันที เพราะถึงฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว”   30พระองค์ตรัสอีกว่า “เราจะเปรียบพระอาณาจักรของพระเจ้าอย่างไร หรือจะใช้อุปมาอะไรอธิบายเรื่องนี้  31พระอาณาจักรเปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ดซึ่งเมื่อหว่านในดิน ก็เป็นเมล็ดเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวงทั่วแผ่นดิน  32แต่ครั้นได้หว่านแล้วก็งอกขึ้นและกลายเป็นต้นไม้ใหญ่กว่าพืชผักทุกชนิด มีกิ่งก้านใหญ่โตจนบรรดานกในอากาศมาพักอาศัยร่มเงาได้”  33พระองค์ตรัสเป็นอุปมาเช่นนี้อีกมากตามที่เขาเหล่านั้นฟังเข้าใจได้  34พระองค์มิได้ตรัสกับเขาโดยไม่ใช้อุปมา แต่เมื่อทรงอยู่เฉพาะกับบรรดาศิษย์ก็ทรงอธิบายทุกเรื่องให้กับเขาเหล่านั้น

*******************************************

1. เมล็ดพืชที่งอกงามขึ้นเอง
    คำอุปมาซึ่งเปรียบพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นเสมือนเมล็ดพืชที่ถูกหว่านลงในดินและงอกงามขึ้นเองนั้น มีปรากฏเฉพาะในพระวรสารของมาระโก และถึงแม้จะสั้นแต่ก็แฝงไว้ด้วยความจริงหลายประการด้วยกัน กล่าวคือ
    1.    มนุษย์ช่วยเหลือตนเองไม่ได้  มนุษย์ไม่ได้เป็นผู้ทำให้เมล็ดพืชงอกงาม เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันงอกและเติบโตได้อย่างไร ดูเหมือนมันจะมีความลับแห่งชีวิตและการเจริญงอกงามอยู่ภายในตัวของมันเอง
        เช่นเดียวกัน มนุษย์ก็ไม่รู้ว่าพระอาณาจักรของพระเจ้าเติบโตได้อย่างไร มนุษย์อาจมีส่วนสร้างสถานการณ์ทำให้พระอาณาจักรเติบโตเร็วขึ้นหรือช้าลงได้ แต่เบื้องหลังของทุกสิ่งก็คือพระเจ้า พร้อมกับพระฤทธานุภาพ และพระประสงค์ของพระองค์

    2.    พระอาณาจักรของพระเจ้าดำเนินไปเหมือนการเติบโตของเมล็ดพืช นั่นคือ
        2.1    มองไม่เห็น  หากมองดูต้นไม้ทุกวัน เราจะไม่มีทางสังเกตเห็นความแตกต่างว่ามันกำลังเติบโตได้เลย จำเป็นต้องทิ้งช่วงระยะเวลาพอสมควรจึงจะมองเห็นความแตกต่างนั้นได้  ฉันใดก็ฉันนั้น หากเราเปรียบเทียบพระอาณาจักรของพระเจ้าวันนี้กับเมื่อวาน เราจะไม่มีทางสังเกตเห็นความเติบโตของมันได้เลยทั้ง ๆ ที่มันกำลังเติบโต
        2.2    มั่นคง  ไม่ว่าจะกลางคืนหรือกลางวัน ไม่ว่ามนุษย์จะหลับหรือตื่น พระอาณาจักรของพระเจ้าก็เจริญเติบโตอย่างมั่นคง  งานของพระเจ้านั้นดำเนินไปเงียบ ๆ อย่างไม่รู้จักหยุดหย่อน ผิดกับงานของเรามนุษย์ซึ่งมักจะดำเนินไปเป็นพัก ๆ หรือชั่วครั้งชั่วคราว
        2.3    ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้  การเจริญเติบโตของต้นพืชนั้นเปี่ยมไปด้วยพลัง แม้แต่พื้นคอนกรีตอันแข็งแกร่งก็ยังไม่วายถูกรากต้นไม้ชอนไชจนแตกทะลุขึ้นมาได้ หรือต้นหญ้าเล็ก ๆ ก็ยังสามารถชูใบเขียวเหนือผิวถนนลาดยางได้ ไม่มีอะไรจะหยุดยั้งการเจริญเติบโตของต้นพืชได้  พระอาณาจักรของพระเจ้าก็เป็นเช่นเดียวกัน มนุษย์อาจจะทรยศไม่เชื่อฟังพระองค์ แต่งานของพระองค์ก็ยังคงดำเนินต่อไป ไม่มีอะไรจะหยุดยั้งพระประสงค์ของพระองค์ได้
    3.    พระอาณาจักรของพระเจ้าจะบรรลุจุดหมายแห่งความบริบูรณ์ เหมือนเมล็ดพืชที่เมื่อเจริญงอกงามสมบูรณ์แล้วก็ถึงฤดูเก็บเกี่ยว และเมื่อฤดูเก็บเกี่ยวมาถึง พืชผลดีจะถูกเก็บรวบรวมเข้ายุ้งฉาง ส่วนวัชพืชจะถูกเผาทำลายไป  พระอาณาจักรของพระเจ้าก็เป็นเช่นเดียวกัน เมื่อวันนั้นมาถึง การพิพากษาจะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น เราจึงต้อง
        3.1    อดทน  มนุษย์เราอาศัยอยู่ในเวลาและขึ้นอยู่กับเวลาซึ่งมีทั้ง ก่อน หลัง เร็ว ช้า แต่สำหรับพระเจ้าพระองค์เป็นนิรันดร พระองค์ไม่ขึ้นกับเวลา “หนึ่งพันปีสำหรับพระองค์ ก็เหมือนวันวานที่เพิ่งผ่านไป เหมือนการตื่นอยู่ยามเดียวเวลากลางคืน” (สดด 90:4) เราจึงต้องเรียนรู้ที่จะอดทนกับโลกปัจจุบัน และรอคอยการพิพากษาของพระองค์
        3.2    มีความหวัง  มนุษย์ทุกวันนี้ตกอยู่ในบรรยากาศของความสิ้นหวัง  บางคนสิ้นหวังกับสังคม บางคนสิ้นหวังกับพระศาสนจักร บางคนอยากฆ่าตัวตาย แต่ถ้าเราเชื่อมั่นในพระเจ้าและพระองค์ทรงเป็นอย่างที่เราเชื่อ เราจะมองโลกในแง่ร้ายอย่างสิ้นหวังไม่ได้  เราอาจเป็นทุกข์ เสียใจ สำนึกผิด หรือกลับใจละทิ้งบาปได้ แต่เราจะสิ้นหวังไม่ได้ เพราะพระอาณาจักรของพระเจ้าจะต้องบรรลุจุดหมายปลายทางแห่งความครบครันสักวันหนึ่ง
        3.3    เตรียมพร้อม  คงจะเป็นการสายเกินไปหากเราจะเตรียมตัวเมื่อวันพิพากษามาถึง  เราจำเป็นต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้เพื่อจะได้พร้อมสำหรับวันนั้น
    หากเราดำเนินชีวิตด้วยความอดทน เปี่ยมด้วยความหวัง และเตรียมตัวอยู่เสมอ อาศัยพระหรรษทานของพระเจ้าช่วย เราจะ “พร้อม” เมื่อพระอาณาจักรของพระเจ้าบรรลุจุดหมายปลายทาง

2. เมล็ดมัสตาร์ด
    ชาวยิวใช้เมล็ดมัสตาร์ดเป็นคำเปรียบเทียบเพื่อหมายถึงสิ่งที่ “เล็กมาก”  เราจึงได้ยินชาวยิวพูดว่า “หยดเลือดเล็กเท่าเมล็ดมัสตาร์ด”  หรือผู้ที่ละเมิดกฎเล็กๆ น้อยๆ จะ “มีมลทินเท่าเมล็ดมัสตาร์ด” เป็นต้น
    แต่ทั้ง ๆ ที่มีขนาดเล็กมาก เมื่อเติบโตมันจะกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ สูงถึงสามเมตรครึ่ง  เมล็ดสีดำเล็ก ๆ ของมันเป็นที่ชื่นชอบของนกมาก ฝูงนกน้อยใหญ่จึงพากันมาเกาะตามกิ่งก้านเพื่อจิกกิน
    เมื่อพูดถึงต้นไม้ใหญ่ พระธรรมเก่ามักนำไปเปรียบเทียบกับอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ โดยมีบรรดาเมืองขึ้นทั้งหลายเป็นเสมือนนกที่หลบเข้ามาอาศัยตามกิ่งก้านของมัน ดังที่พระยาห์เวห์ตรัสสั่งประกาศกเอเสเคียลให้ไปบอกพระเจ้าฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ว่า “ดูซิ ท่านเป็นเหมือนต้นสนสีดาร์ในเลบานอน มีกิ่งก้านงดงาม มีใบร่ม และลำต้นสูงมาก ... นกทั้งหลายในอากาศมาทำรังอยู่ในกิ่งก้าน สัตว์ป่าทั้งหลายตกลูกใต้แขนง ชนชาติใหญ่ทั้งหลายอาศัยอยู่ใต้ร่มของมัน” (อสค 31:3-6; 17:22...; ดนล 4:10. 21)
    เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสว่า “พระอาณาจักรเปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ด” (มก 4:31) จึงมีความหมายชัดเจนว่า พระอาณาจักรของพระเจ้าเริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ แต่จะเติบใหญ่จนทุกชาติเข้ามารวมกันในอาณาจักรแห่งนี้  เพราะฉะนั้น
    1.    เราต้องสำนึกอยู่เสมอว่าทุกสิ่งเริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ  จริงอยู่สิ่งที่เราเริ่มต้นทำครั้งแรกดูเหมือนจะบังเกิดผลเพียงเล็กน้อย จนบางคนรู้สึกว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะ “เริ่ม”  แต่เราต้องระลึกอยู่เสมอว่าทุกสิ่งจำเป็นต้องมีจุดเริ่มต้น ไม่มีต้นไม้ใดเกิดมาก็โตเต็มที่เลย  หากเราเริ่มต้นทำสักสิ่งหนึ่งวันนี้ แล้วพยายามทำต่อไปสุดความสามารถ ผลแห่งความเพียรพยายามที่ละเล็กที่ละน้อยจะสะสมจนกระทั่งกลายเป็นความสำเร็จอันน่าพิศวงในบั้นปลายได้
    2.    พระศาสนจักรคือต้นไม้ใหญ่  นกที่มาเกาะตามกิ่งก้านก็คือชนชาติต่าง ๆ ทั่วโลกซึ่งเข้ามาอาศัยอยู่ในพระศาสนจักร
        2.1    พระศาสนจักรจึงต้องเป็นที่รวมของความคิดเห็นและเทวศาสตร์ต่าง ๆ  เราจะด่วนตัดสินผู้ที่มีความคิดเห็นแตกต่างจากเราว่าผิดไม่ได้
        2.2    พระศาสนจักรต้องเป็นที่รวมของชนทุกชาติ ไม่ใช่เฉพาะชาวตะวันตก หรือชนชาติใดชาติหนึ่ง
            วัดสร้างใหม่แห่งหนึ่งมุ่งหวังจะติดกระจกสีให้เป็นจุดเด่น  คณะกรรมการวัดจึงประชุมกันและตกลงเลือกแนวคิดสำหรับวาดรูปว่า “รอบๆ พระบัลลังก์ของพระเจ้าในสวรรค์ เด็กๆ นับพันยืนอยู่”  ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งได้รับการว่าจ้างให้วาดภาพตามแนวคิดนี้ เขารักงานชิ้นนี้และวาดจนเสร็จ  คืนหนึ่งขณะนอนหลับ เขาได้ยินเสียงในห้องวาดรูปจึงลุกขึ้นไปดู แล้วก็พบชายแปลกหน้าคนหนึ่งถือพู่กันและจานสีกำลังแต่งเติมรูปวาดของเขา
            “หยุดนะ” เขาร้อง “คุณกำลังทำลายรูปภาพของผม”
            “ฉันคิดว่า” ชายแปลกหน้าพูด “คุณได้ทำลายรูปภาพไปเรียบร้อยแล้ว คุณมีสีตั้งเยอะ แต่ใช้แค่สีเดียววาดใบหน้าของเด็กๆ  ใครบอกคุณล่ะว่าในสวรรค์มีแต่เด็กๆ หน้าสีขาว ?”
            “ไม่มีใครบอก” ศิลปินตอบ “แต่ผมก็เริ่มจะคิดแบบคุณเหมือนกัน”
            “คอยดูนะ” ชายแปลกหน้าพูดต่อ “ฉันจะวาดใบหน้าของพวกเขาเป็นสีเหลืองบ้าง น้ำตาลบ้าง ดำบ้าง แล้วก็แดงด้วย เพราะพวกเขาทั้งหมดต่างก็ตอบเสียงเรียกของฉัน”
            “ของคุณ ?” ศิลปินถาม “ท่านเป็นใครกัน ?”
            ชายแปลกหน้ายิ้ม “ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ฉันเคยพูดว่า ‘ปล่อยให้เด็กเล็กๆ มาหาเราเถิด อย่าห้ามเลย เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของคนที่เหมือนเด็กเหล่านี้’ (มธ 19:14) – และฉันก็ยังพูดเช่นนี้อยู่เสมอ”
            ศิลปินตระหนักทันทีว่าชายแปลกหน้าผู้นี้ก็คือพระเยซู พระอาจารย์เจ้านั่นเอง แต่พระองค์ได้อันตรธานไปจากสายตาเสียแล้ว
            รุ่งเช้า ศิลปินรีบเข้าไปในห้องวาดรูป เมื่อเห็นรูปภาพยังเหมือนเดิม เขารู้ทันทีว่าเป็นความฝัน  และทันที ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าวันนี้คณะกรรมการวัดจะมาดูรูปภาพ เขาหยิบพู่กันและจานสีขึ้นมา แล้ววาดใบหน้าของเด็กเป็นสีตามเชื้อชาติต่าง ๆ ทั่วโลก
            เมื่อคณะกรรมการมาถึง ทุกคนต่างชื่นชมภาพวาดว่าสวยงามมาก กรรมการท่านหนึ่งถึงกับรำพึงรำพันว่า “นี่เป็นครอบครัวของพระเจ้าจริง ๆ” !
    พระศาสนจักรเริ่มต้นที่ปาเลสไตน์และมีขนาดเล็กเท่าเมล็ดมัสตาร์ดก็จริง แต่ได้เติบใหญ่เรื่อยมาและมีที่เพียงพอสำหรับชนทุกชาติในโลก
    รวมถึง “เรา” ทุกคน ไม่ว่าผิวจะสีอะไร หรือจะพูดภาษาอะไรก็ตาม !