แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

chaiya1

สมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์


ข่าวดี    มก 16:15-20
15พระองค์ตรัสกับเขาว่า  “ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวดีให้มนุษย์ทั้งปวง  16ผู้ที่เชื่อและรับศีลล้างบาปก็จะรอดพ้น ผู้ที่ไม่เชื่อจะถูกตัดสินลงโทษ  17ผู้ที่เชื่อจะทำอัศจรรย์เหล่านี้ได้  คือจะขับไล่ปีศาจในนามของเรา จะพูดภาษาใหม่ ๆ ได้  18จะจับงูได้ และถ้าดื่มยาพิษก็จะไม่ได้รับอันตราย เขาจะปกมือเหนือคนเจ็บ คนเจ็บเหล่านั้นก็จะหายจากโรคภัย”   19เมื่อพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้แล้ว พระเจ้าทรงรับพระองค์ขึ้นสู่สวรรค์ ให้ประทับ ณ เบื้องขวา  20บรรดาศิษย์ก็แยกย้ายกันออกไปเทศนาสั่งสอนทั่วทุกแห่งหน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำงานร่วมกับเขา และทรงรับรองคำสั่งสอนโดยอัศจรรย์ที่ติดตามมา


ผู้เชี่ยวชาญพระคัมภีร์ถือว่าพระวรสารของมาระโกจบลงที่ข้อ 8 ของบทที่ 16 นี้  เพราะว่าตั้งแต่ข้อ 9 จนถึงข้อ 20 มีสำนวนการเขียนที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างชัดเจน อีกทั้งในบรรดาสำเนาที่คัดลอกด้วยมือ (Manuscripts) ที่เชื่อถือได้ก็ไม่ปรากฏข้อความตอนนี้
เชื่อกันว่ามาระโกเสียชีวิตก่อนจะเขียนตอนจบของพระวรสาร หรือไม่ก็เขียนตอนจบแล้วแต่ได้สูญหายไป จึงมีผู้อื่นเขียนบทสรุปเหตุการณ์ตอนจบขึ้นมาใหม่ โดยเริ่มตั้งแต่พระเยซูเจ้าเสด็จกลับคืนพระชนมชีพจนถึงเหตุการณ์เสด็จขึ้นสวรรค์ ซึ่งเราร่วมใจกันสมโภชในวันนี้

แม้พระองค์จะเสด็จสู่สวรรค์แล้ว แต่ภารกิจในการประกาศข่าวดีและรักษาคนเจ็บป่วยซึ่งทรงกระทำเมื่อสองพันปีก่อนในดินแดนของชาวยิว ยังคงได้รับการสืบสานต่อมาจวบจนถึงทุกวันนี้ และยังจะดำเนินต่อไปพร้อมกับแผ่ขยายไปสู่ชนทุกชาติจนสุดปลายพิภพอีกด้วย
พระองค์ทำเช่นนี้ได้ก็โดยอาศัย “พระศาสนจักร” !
ก่อนจะเสด็จสู่สวรรค์เพื่อประทับ ณ เบื้องขวาของพระบิดา พระองค์จึงทรงมอบหมายภารกิจพร้อมกับคำมั่นสัญญาไว้แก่พระศาสนจักรดังนี้
1.    พระศาสนจักรมีหน้าที่ประกาศข่าวดี  พระศาสนจักรซึ่งได้แก่คริสตชนทุกคน มีหน้าที่ประกาศข่าวดีเกี่ยวกับพระเยซูเจ้าให้แก่ผู้ที่ยังไม่เคยได้ยินเรื่องดี ๆ เช่นนี้มาก่อน
และวิธีประกาศข่าวดีที่ได้ผลที่สุดก็คือ การดำเนินชีวิตคริสตชนอย่างบังเกิดผลจนแลเห็นได้ เพื่อว่าผู้ที่มองเห็นผลดีของการเป็นคริสตชนจะปรารถนาเป็นคริสตชนเช่นเดียวกับเรา
2.    พระศาสนจักรมีหน้าที่รักษาโรค  ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เราเห็นพระเยซูเจ้าทรงห่วงใยและรักษาทั้งร่างกายและจิตใจของมนุษย์
หน้าที่ของพระศาสนจักรจึงไม่จำกัดอยู่เพียงการเยียวยารักษาวิญญาณของมนุษย์เท่านั้น แต่ต้องเยียวยารักษาสุขภาพกายและความเป็นอยู่ของมนุษย์ให้สมศักดิ์ศรีด้วย
3.    พระศาสนจักรมีฤทธิ์อำนาจ  เราไม่จำเป็นต้องเข้าใจตามตัวอักษรว่าพระเยซูเจ้าทรงประทานอำนาจให้พระศาสนจักรและคริสตชนสามารถจับงูร้ายหรือดื่มยาพิษได้โดยไม่เป็นอันตราย
พระองค์เพียงต้องการสื่อความหมายว่าฤทธิ์อำนาจที่ทรงประทานแก่พระศาสนจักรและคริสตชนนั้นมากเกินพอที่จะต่อสู้และขับไล่ปีศาจ และเกินพอที่จะควบคุมและจัดการกับทุก ๆ สถานการณ์ในชีวิตชนิดที่ผู้ไม่มีความเชื่อไม่มีทางทำได้ !
4.    พระศาสนจักรมีพระองค์อยู่เคียงข้าง  พระองค์ไม่ได้ทอดทิ้งพระศาสนจักรไว้ตามลำพัง แต่พระองค์ยังคงทำงานร่วมกับพระศาสนจักร ในพระศาสนจักร และโดยผ่านทางพระศาสนจักร (เทียบ มก 16:20)
องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจยังคงประทับอยู่กับเราเสมอ !

มาระโกจบพระวรสารของท่านด้วย “ข่าวดี” เกี่ยวกับพระเยซูเจ้าผู้เสด็จสู่สวรรค์ว่า “คริสตชนทุกวันนี้ยังคงดำเนินชีวิตด้วยพลังอำนาจและอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของพระองค์ผู้ทรงถูกตรึงตายบนไม้กางเขนและทรงกลับเป็นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง .....”
“พระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่พระเจ้าในสวรรค์สูงสุด  และบนแผ่นดิน สันติจงมีแก่มนุษย์ที่พระองค์โปรดปราน” (ลก 2:14)