วันอังคาร สัปดาห์ที่ 17 เทศกาลธรรมดา  

พระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมัทธิว (มธ 13:36-43)                                         

เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงแยกจากประชาชนเข้าไปในบ้าน บรรดาศิษย์จึงเข้ามาทูลว่า “โปรดอธิบายอุปมาเรื่องข้าวละมานในนาเถิด” พระองค์ตรัสว่า “ผู้หว่านเมล็ดพันธุ์ดีคือบุตรแห่งมนุษย์ ทุ่งนาคือโลก เมล็ดพันธุ์ดีคือพลเมืองแห่งพระอาณาจักร ข้าวละมานคือพลเมืองของมารร้าย ศัตรูที่หว่านคือปีศาจ ฤดูเก็บเกี่ยวคือเวลาอวสานแห่งโลก ผู้เก็บเกี่ยวคือทูตสวรรค์”

“ข้าวละมานถูกมัดเผาไฟฉันใด เวลาอวสานแห่งโลกก็จะเป็นฉันนั้น บุตรแห่งมนุษย์จะใช้ทูตสวรรค์มารวบรวมทุกสิ่งที่ทำให้หลงผิดและทุกคนที่ประกอบการอธรรม ให้ออกจากพระอาณาจักร แล้วเอาไปทิ้งในกองไฟ ที่นั่น จะมีแต่การร่ำไห้คร่ำครวญ และขบฟันด้วยความขุ่นเคือง ส่วนผู้ชอบธรรมจะส่องแสงเหมือนดวงอาทิตย์ในพระอาณาจักรของพระบิดา ใครมีหูก็จงฟังเถิด”


มธ 13:24-43  ข้าวละมานในอุปมาเรื่องนี้ทำให้คิดถึงคนทำชั่วที่ไม่สำนึกผิด ที่ปฏิเสธการกลับใจและท้ายที่สุดก็ต้องถูกกำจัดออกไปและถูกตัดสินลงโทษ อย่างไรก็ตามข้าวละมานยังอาจเปรียบได้กับความไม่สมบูรณ์ของเราเองด้วย เนื่องจากพระศาสนจักรประกอบด้วยคนบาปมากมาย ที่ถูกเรียกให้ต่อสู้กับแนวโน้มของบาปเพื่อมุ่งสู่การดำเนินชีวิตแห่งคุณธรรม พวกเขาอยู่ในหนทางแห่งความรอดพ้นและความศักดิ์สิทธิ์ เพียงแต่ยังไม่บรรลุถึง นอกนั้นในอุปมานี้ ข้าวละมานแห่งความบาปและข้าวสาลีแห่งความศักดิ์สิทธิ์จะคละกันอยู่ในตัวเราแต่ละคนจนกระทั่งสิ้นพิภพ ความซื่อสัตย์ของเราในการรับฟังและเก็บรักษาพระวาจาของพระเจ้านั้นแสดงออกด้วยความปรารถนาและความกระตือรือร้นของเราในการสร้างมิตรภาพอันใกล้ชิดกับพระคริสตเจ้าและในการซื่อสัตย์ต่อคำสอนของพระองค์

CCC ข้อ 827 “พระคริสตเจ้า ‘ผู้ศักดิ์สิทธิ์ ไร้มลทิน ไม่เปื้อนหมอง’ ไม่ทรงรู้จักบาป แต่เสด็จมาเพื่อชดเชยความผิดของประชากร พระศาสนจักรซึ่งโอบอุ้มคนบาปไว้ในอ้อมอก ก็ศักดิ์สิทธิ์และต้องชำระตนให้บริสุทธิ์อยู่เสมอพร้อมกันไปด้วย จึงดำเนินในหนทางการกลับใจและปรับปรุงตนอยู่เสมอ” สมาชิกทุกคนของพระศาสนจักร รวมทั้งศาสนบริกรด้วย จึงต้องยอมรับว่าตนเป็นคนบาป ในทุกคนล้วนยังมีบาปซึ่งเป็น เสมือนข้าวละมานปะปนอยู่กับเมล็ดข้าวที่ดีคือพระวรสารตลอดไปจนสิ้นพิภพ พระศาสนจักรจึงรวมคนบาปที่ถูกความรอดพ้นของพระคริสตเจ้าจับตัวไว้แล้ว แต่ยังดำเนินอยู่ในหนทางไปสู่ความศักดิ์สิทธิ์    พระศาสนจักร “จึงศักดิ์สิทธิ์ แม้ยังโอบอุ้มคนบาปไว้ในอ้อมอกของตน เพราะพระศาสนจักรเองก็ยังไม่มีชีวิตอื่นนอกจากชีวิตของพระหรรษทาน ซึ่งถ้าสมาชิกของพระศาสนจักรรับการหล่อเลี้ยงจากพระหรรษทานนี้ก็มีความศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าปลีกตนออกไปจากพระหรรษทานนี้ เขาก็ตกในบาปและมีวิญญาณที่แปดเปื้อนซึ่งเป็นอุปสรรคขัดขวางไม่ให้ความศักดิ์สิทธิ์ฉายแสงสว่างของตนได้ ดังนั้นพระศาสนจักรจึงมีความทุกข์และชดเชยความผิดเหล่านี้ที่พระศาสนจักรมีอำนาจช่วยบุตรของตนให้พ้นจากบาปเหล่านี้อาศัยพระโลหิตของพระคริสตเจ้าและพระพรของพระจิตเจ้า”

 

(จากหนังสือ THE DIDACHE BIBLE with commentaries based on the Catechism of the Catholic Church, Ignatius Bible Edition)  

 

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คำอุปมาของพระเยซูเจ้านั้นยากที่จะเข้าใจได้ เราจึงจำเป็นต้องมีทัศนคติหรือความโน้มเอียงของจิตใจที่จะน้อมรับคำอุปมาเหล่านั้นทั้งด้วยสติปัญญาและหัวใจ อันเป็นความโน้มเอียงที่จะตอบรับในทันทีที่จะถอดรหัสของคำอุปมานั้นอย่างถูกต้อง มิฉะนั้นความเร่งรีบของเราอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดและถอนข้าวสาลีทิ้งแทนที่จะเป็นข้าวละมานก็ได้

เป็นที่ทราบกันว่าอุปมาเรื่องข้าวละมานนี้ เป็นหนึ่งในอุปมาที่พระเยซูทรงให้คำอธิบายไว้ เพื่อเราจะได้ไม่สงสัยในความหมายที่ซ่อนเร้นอยู่ สังคมการเกษตรในยุคของพระคริสตเจ้านั้น มีศัตรูมาหว่านวัชพืชให้ปะปนกับเมล็ดพันธุ์ดีของชาวนาเพื่อทำลายธุรกิจของเขา อาจเป็นไปได้ว่า วัชพืชในอุปมานี้จะเป็นต้นข้าวละมาน เพราะเมื่อมันแก่เต็มที่แล้วจะดูเหมือนข้าวสาลีมาก แต่หากไม่มียากำจัดวัชพืชที่ทันสมัยแล้ว ชาวสวนผู้ชาญฉลาดจะทำอย่างไรเมื่อต้องเผชิญกับภาวะวิกฤตเช่นนี้ แทนที่จะเสี่ยงด้วยการถอนวัชพืชออกซึ่งอาจจะมีข้าวสาลีติดมาด้วย แต่เจ้าของที่ดินในอุปมานี้มีความฉลาดพอที่จะรอจนถึงเวลาเก็บเกี่ยว หลังจากเก็บเกี่ยวแล้ว ข้าวละมานก็จะถูกแยกออกจากข้าวสาลีและถูกนำไฟเผาไฟเสีย ในขณะที่ข้าวสาลีจะถูกนำไปเก็บอย่างปลอดภัยในยุ้งฉาง

ในการอธิบายอุปมาเรื่องนี้ พระเยซูเจ้าทรงประกาศว่า พระองค์คือผู้หว่าน ทรงหว่านเมล็ดพันธุ์ ก็คือบรรดาผู้มีความเชื่อในทุ่งนาแห่งโลกนี้ โดยอาศัยพระหรรษทานของพระองค์ เราถูกเรียกให้บังเกิดผลของพระจิตเจ้า (กท 5:22-23) เมื่อเราดำรงอยู่ร่วมกันในชีวิตแห่งพระอาณาจักรสวรรค์ เราก็ได้เปิดเผยองค์พระผู้เป็นเจ้าต่อโลก เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสว่า “อาณาจักรสวรรค์อยู่ใกล้แล้ว” (มธ 4:17; มก 1:15) พระองค์ทรงกล่าวถึงพระอาณาจักรที่มีอยู่ควบคู่ไปกับอาณาจักรของปีศาจ (1ยน 5:19)  เมื่อถึงคราวที่พระอาณาจักรของพระเจ้าจะออกผลนั้น สวรรค์ก็จะกลายเป็นความจริง และจะไม่มีข้าวละมานปะปนในข้าวสาลีอีกต่อไป 

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันทั้งเมล็ดพันธุ์ดีและไม่ดีล้วนเติบโตไปด้วยกันบนโลก ซาตานคือศัตรูผู้เป็นปฏิปักษ์กับพระเยซูคริสตเจ้า ก็พยายามที่จะทำลายงานของพระองค์ด้วยหลากหลายวิธี รวมทั้งการสร้างศิษย์เท็จเทียมท่ามกลางศิษย์แท้ ในพระวรสารนักบุญมัทธิว บทที่ 7 ข้อ 22 พระเยซูเจ้าทรงเตือนหลายคนที่อ้างว่ามีความเชื่อ แต่จริงๆ แล้วเขาไม่รู้จักพระองค์ ดังนั้น เราจึงถูกเรียกให้พิจารณาถึงความสัมพันธ์ของเราเองกับพระคริสตเจ้า  (2คร 13:5)  

พระเจ้าข้า พระองค์ทรงปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งพระวาจาของพระองค์ลงในดินดีแห่งจิตใจของลูก โดยทางศีลล้างบาปเมล็ดพันธุ์แห่งพระวาจานี้ได้หยั่งรากลึกในตัวลูก โดยอาศัยพระหรรษทานของพระองค์ ขอโปรดให้ความเชื่อของลูกเจริญเติบโตขึ้น และบังเกิดผลเพื่อพระอาณาจักรของพระเจ้าด้วยเทอญ