วันพฤหัสบดีที่ สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลปัสกา

พระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญยอห์น (ยน 3:31-36)   

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับนิโคเดมัสว่า “ผู้ที่มาจากเบื้องบนย่อมอยู่เหนือทุกคน ผู้ที่มาจากแผ่นดินนี้ ย่อมเป็นของแผ่นดินนี้ และพูดอย่างคนของแผ่นดินนี้ ผู้ที่มาจากสวรรค์ย่อมอยู่เหนือทุกคน เขาเป็นพยานถึงสิ่งที่ได้เห็นและได้ยิน แต่ไม่มีใครยอมรับคำยืนยันของเขา ผู้ที่รับคำพยานยืนยันของเขา ก็รับรองว่าพระเจ้าทรงสัตย์จริง ผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมานั้นย่อมกล่าวพระวาจาของพระเจ้า เพราะพระเจ้าประทานพระจิตเจ้าให้เขาอย่างไม่จำกัด พระบิดาทรงรักพระบุตร และทรงมอบทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระบุตร ผู้ใดมีความเชื่อในพระบุตรย่อมมีชีวิตนิรันดร ผู้ที่ไม่ยอมเชื่อฟังพระบุตร จะไม่พบชีวิตนั้น การลงโทษของพระเจ้ากำลังอยู่เหนือเขาแล้ว”


ยน 3:22-36 พระวรสารตอนนี้ตอกย้ำความจริงที่ว่า ยอห์นบัปติสต์ทำหน้าที่เป็นผู้เตรียมทางต้อนรับพระคริสตเจ้า ท่านชื่นชมยินดีที่มีผู้คนมากมายหลั่งไหลมาหาพระคริสตเจ้า เพราะนั่นคือความปรารถนาสูงสุดของท่าน ยอห์นเข้าใจว่าหน้าที่ของท่านในฐานะผู้นำหน้าที่ต่ำต้อยของพระเมสสิยาห์นั้น จำกัดขอบเขตอยู่ที่การจัดเตรียมสู่ขั้นตอนชีวิตสาธารณะของพระคริสตเจ้า ตอนนี้ที่พระคริสตเจ้าเสด็จมาแล้ว ท่านจึงต้องการลดบทบาทของตนลงด้วยความยินดี ทั้งนี้เพื่อให้พระคริสตเจ้าทรงมีบทบาทมากยิ่งขึ้น

  CCC ข้อ 523 พระเจ้าทรงส่งนักบุญยอห์นผู้ทำพิธีล้างเป็นผู้นำหน้าคนสุดท้ายขององค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อเตรียมทางให้พระองค์ท่าน ท่านยอห์นในฐานะ “ประกาศกของพระผู้สูงสุด” (ลก 1:76) ยิ่งใหญ่กว่าบรรดาประกาศกทั้งหลาย และเป็นประกาศกคนสุดท้าย เป็นผู้เริ่มประกาศข่าวดี (หรือพระวรสาร) ตั้งแต่จากครรภ์มารดาแล้วท่านต้อนรับการเสด็จมาของพระคริสตเจ้า และมีความยินดีที่ได้เป็นเสมือน “เพื่อนเจ้าบ่าว” (ยน 3:29) ซึ่งได้รับนามว่า “ลูกแกะของพระเจ้า ผู้ทรงลบล้างบาปของโลก” (ยน 1:29) ท่าน “มีจิตใจและพลังของประกาศกเอลียาห์” (ลก 1:17) นำหน้าพระเยซูเจ้า เป็นพยานยืนยันถึงพระองค์โดยการเทศน์สอน โดยประกอบพิธีล้างให้ประชาชนกลับใจ และในที่สุดโดยการเป็นมรณสักขีของท่านด้วย

  CCC ข้อ 524 พระศาสนจักรซึ่งเฉลิมฉลองพิธีกรรมเทศกาลเตรียมรับเสด็จทุกๆ ปีนั้น ทำให้การรอคอยพระเมสสิยาห์นี้เป็นปัจจุบัน เมื่อพระศาสนจักรแจ้งให้บรรดาผู้มีความเชื่อรู้ถึงการเตรียมอันยาวนานรอคอยการเสด็จมาครั้งแรกของพระผู้กอบกู้ ก็ปลุกจิตใจของทุกคนให้ปรารถนารอคอยให้พระองค์เสด็จมาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระศาสนจักรเฉลิมฉลองทั้งการบังเกิดและการเป็นมรณสักขีของท่านยอห์นผู้นำหน้าพระผู้ไถ่ พระศาสนจักรก็มีส่วนร่วมในความปรารถนาของท่านที่ว่า “พระองค์จะต้องทรงยิ่งใหญ่ขึ้น ส่วนข้าพเจ้าจะต้องด้อยลง” (ยน 3:30)


ยน 3:31-36 ข้อความนี้เน้นความเป็นพระเจ้าของพระคริสตเจ้า และความจำเป็นในการเชื่อพระวาจาของพระองค์เพื่อบรรลุความรอดพ้นและชีวิตนิรันดร์ อย่างไม่จำกัด : จากความคิดของพระองค์ พระคริสตเจ้าไม่ได้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของพระจิตเจ้า แต่เป็นความบริบูรณ์ของพระจิตเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงแจกจ่ายพระหรรษทานนี้ ทุกๆ การกระทำของพระคริสตเจ้า ล้วนเกิดจากพระจิตเจ้าที่อยู่ภายใน

CCC ข้อ 504 พระเยซูเจ้าทรงปฏิสนธิในพระครรภ์พระนางพรหมจารีมารีย์เดชะพระจิตเจ้าเพราะทรงเป็นอาดัมคนใหม่ ซึ่งทรงสถาปนาการเนรมิตสร้างใหม่ “มนุษย์คนแรกมาจากดิน เป็นมนุษย์ดิน มนุษย์คนที่สองมาจากสวรรค์” (1 คร 15:47) พระธรรมชาติมนุษย์ของพระคริสตเจ้านับตั้งแต่ทรงปฏิสนธิได้รับพระจิตเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม เพราะพระเจ้า “ประทานพระจิตเจ้าให้พระองค์อย่างไม่จำกัด” (ยน 3:34) “จากความไพบูลย์ของพระองค์” ความไพบูลย์ซึ่งเป็นของพระองค์โดยเฉพาะเพราะทรงเป็นประมุขของมนุษยชาติที่ได้รับการไถ่กู้แล้ว “เราทุกคนได้รับพระหรรษทานต่อเนื่องกัน” (ยน1:16)

CCC ข้อ 690 พระเยซูทรงเป็นพระคริสตเจ้า “พระผู้ทรงรับเจิม” เพราะพระจิตเจ้าทรงเจิมพระองค์ และไม่ว่าอะไรที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่ทรงรับสภาพมนุษย์ ก็ล้วนหลั่งไหลมาจากความบริบูรณ์นี้ ในที่สุด เมื่อพระคริสตเจ้าทรงได้รับพระสิริรุ่งโรจน์แล้ว พระองค์ก็จะประทับอยู่กับพระบิดาและสามารถส่งพระจิตเจ้ามายังผู้ที่เชื่อในพระองค์ได้ด้วย พระจิตเจ้าจะทรงแบ่งปันพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์แก่เขา ซึ่งหมายถึงพระจิตเจ้าผู้ประทานพระสิริรุ่งโรจน์แก่พระคริสตเจ้าตั้งแต่นี้ไป พันธกิจร่วมกัน(ของพระคริสตเจ้าและของพระจิตเจ้า)ก็จะครอบคลุมทุกคนที่พระบิดาทรงรับเป็นบุตรบุญธรรมร่วมอยู่ในพระกาย(ทิพย์)ของพระบุตร การส่งพระจิตการรับเป็นบุตรบุญธรรมจะเป็นการรวมมนุษย์กับพระคริสตเจ้าและทำให้เขามีชีวิตในพระองค์ “การเจิมหมายความว่า....เราต้องคิดว่าไม่มีช่องว่างระหว่างพระบุตรกับพระจิตเจ้า เช่นเดียวกับไม่มีช่องว่างที่เรารู้สึกหรือคิดได้คั่นกลางอยู่ระหว่างผิวหนังกับน้ำมันที่เจิม ดังนั้นผู้ที่อยากจะสัมผัสกับพระคริสตเจ้าด้วยความเชื่อ จึงต้องเข้าไปสัมผัสกับน้ำมันที่เจิมเสียก่อน เพราะไม่มีส่วนใดของร่างกายที่ไม่สัมผัสกับพระจิตเจ้า ดังนั้น การจะประกาศว่าพระบุตรทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงเกิดขึ้นได้จากผู้ที่รับพระจิตเจ้า พระองค์เสด็จจากทุกทิศมายังทุกคนที่เข้ามาหาพระองค์”

CCC ข้อ 1286 ในพันธสัญญาเดิม บรรดาประกาศกประกาศว่าทุกคนรอคอยให้พระจิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จลงมาประทับเหนือพระเมสสิยาห์ เพื่อประกอบพระพันธกิจในการนำความรอดพ้นของพระองค์ การเสด็จลงมาของพระจิตเจ้าเหนือพระเยซูเจ้าเมื่อทรงรับพิธีล้างจากท่านยอห์นเป็นเครื่องหมายแสดงว่าพระองค์ (พระเยซูเจ้า) คือผู้ที่จะต้องเสด็จมา พระองค์เป็นพระเมสสิยาห์ เป็นพระบุตรของพระเจ้า พระเยซูเจ้าทรงปฏิสนธิเดชะพระจิตเจ้า พระชนมชีพและพระพันธกิจทั้งหมดของพระองค์ดำเนินไปในความสัมพันธ์ร่วมกับพระจิตเจ้าที่พระบิดา “ประทานให้อย่างไม่จำกัด” (ยน 3:34)

CCC ข้อ 2767 ตั้งแต่แรกเริ่มมาแล้ว พระศาสนจักรได้รับของประทานนี้ที่แยกจากกันไม่ได้ คือพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้าและของพระจิตเจ้าผู้ประทานชีวิตแก่พระวาจาเหล่านี้ในใจของบรรดาผู้มีความเชื่อ และได้นำพระวาจานี้เข้ามาในชีวิต กลุ่มคริสตชนในสมัยแรกสวดบทข้าแต่พระบิดา “วันละสามครั้ง” แทน “คำอวยพรสิบแปดประการ” ที่ความศรัทธาของชาวยิวปฏิบัติกันอยู่


ยน 3:36 เพื่อจะได้รับความรอดพ้น เราต้องเชื่อในพระคริสตเจ้าและในพระบิดาของพระองค์ ความเชื่อเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับความรอดพ้น

CCC ข้อ 161 ความเชื่อในพระเยซูคริสตเจ้าและในพระองค์ผู้ทรงส่งพระองค์ท่านมาเพื่อช่วยเราให้รอดพ้น เป็นสิ่งที่จำเป็นที่เราต้องมีเพื่อรับความรอดพ้นนี้ “เพราะ ‘ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าไม่ได้เลย’ (ฮบ 11:6) ดังนั้น จึงไม่มีผู้ใดจะเข้ามามีส่วนร่วมกับบรรดาบุตรของพระองค์ได้โดยไม่ได้รับความชอบธรรม และไม่มีผู้ใดนอกจาก ‘ผู้ที่ยืนหยัดจนถึงวาระสุดท้าย’ (มธ 10:22; 24:13) ที่จะได้รับชีวิตนิรันดร”

(จากหนังสือ THE DIDACHE BIBLE with commentaries based on the Catechism of the Catholic Church, Ignatius Bible Edition)