วันอังคาร สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลปัสกา

พระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญยอห์น (ยน 3:7-15)    

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับนิโคเดมัสว่า “อย่าประหลาดใจถ้าเราบอกท่านว่า ท่านทั้งหลายจำเป็นต้องเกิดใหม่จากเบื้องบน ลมย่อมพัดไปในที่ที่ลมต้องการ ท่านได้ยินเสียงลมพัดแต่ไม่รู้ว่า ลมพัดมาจากไหน และจะพัดไปไหน ทุกคนที่เกิดจากพระจิตเจ้าก็เป็นเช่นนี้” นิโคเดมัสทูลถามพระองค์ว่า “เหตุการณ์เช่นนี้จะเป็นไปได้อย่างไร” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านเป็นอาจารย์ของชาวอิสราเอล ท่านไม่รู้เรื่องเหล่านี้หรือ เราบอกความจริงแก่ท่านว่าเรากำลังพูดถึงเรื่องที่เรารู้ และเป็นพยานถึงเรื่องที่เราเห็น แต่ท่านทั้งหลายไม่ยอมรับคำยืนยันของเรา ถ้าท่านทั้งหลายไม่เชื่อเมื่อเราพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับโลกนี้ ท่านจะเชื่อได้อย่างไรเมื่อเราจะพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับสวรรค์ ไม่มีใครเคยขึ้นไปบนสวรรค์ นอกจากผู้ที่ลงมาจากสวรรค์คือบุตรแห่งมนุษย์เท่านั้น

โมเสสยกรูปงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะต้องถูกยกขึ้นฉันนั้น เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระองค์จะมีชีวิตนิรันดร”


ยน 3:8 จิต เป็นเหมือนลมที่เราสามารถสัมผัสถึงผลที่มีอยู่ได้ และสามารถทราบว่ามีอยู่จริงได้โดยไม่ต้องมองเห็น ในภาษาฮียรู คำว่า “Ruah” หมายถึง จิต และตามตัวอักษรยังหมายถึง “ลม” อีกด้วย

CCC ข้อ 728 พระเยซูเจ้ามิได้ทรงเปิดเผยเรื่องพระจิตเจ้าเต็มที่จนกระทั่งพระองค์ทรงได้รับพระสิริรุ่งโรจน์โดยการสิ้นพระชนม์และทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้วเท่านั้น ถึงกระนั้นพระองค์ก็ทรงกล่าวพาดพิงถึงพระจิตเจ้าบ้างแล้วเมื่อตรัสสอนประชาชน เมื่อทรงเปิดเผยว่าพระกายของพระองค์เป็นอาหารเพื่อชีวิตในอนาคตของโลก พระองค์ยังตรัสพาดพิงถึงพระจิตเจ้าด้วยกับนิโคเดมัส กับหญิงชาวสะมาเรีย และกับประชาชนที่มาร่วมฉลองเทศกาลอยู่เพิงพร้อมกับพระองค์ พระองค์ตรัสอย่างเปิดเผยแก่บรรดาศิษย์เมื่อตรัสเกี่ยวกับการอธิษฐานภาวนา และการเป็นพยานที่พวกเขาจะต้องแสดงถึงพระองค์

CCC ข้อ 1287 ความสมบูรณ์ของพระจิตเจ้าเช่นนี้ต้องไม่คงอยู่เพียงกับพระเมสสิยาห์เท่านั้น แต่ต้องแบ่งปันกับประชากรทั้งหมดของพระเมสสิยาห์ด้วย พระคริสตเจ้าทรงสัญญาถึงการหลั่งของพระจิตเจ้านี้หลายครั้ง และทรงทำให้พระสัญญานี้สำเร็จเป็นครั้งแรกในวันปัสกา หลังจากนั้นในวันเปนเตกอสเตด้วยวิธีการที่ยิ่งใหญ่มากขึ้น บรรดาอัครสาวกซึ่งได้รับพระจิตเจ้าอย่างเต็มเปี่ยมเริ่มประกาศ “กิจการยิ่งใหญ่ของพระเจ้า” (กจ 2:11) และเปโตรก็ประกาศว่าการหลั่งพระจิตเจ้าลงมานี้เป็นเครื่องหมายของเวลาของพระเมสสิยาห์ ผู้ที่ขณะนั้นมีความเชื่อต่อการประกาศเทศน์สอนของบรรดาอัครสาวกรับศีลล้างบาป ก็ได้รับพระพรของพระจิตเจ้าด้วยเช่นเดียวกัน

CCC ข้อ 1769 ในชีวิตคริสตชน พระจิตเจ้าทรงทำงานโดยทรงขับเคลื่อนบุคลิกของเขาทั้งหมด รวมทั้งความยากลำบาก ความกลัวและความโศกเศร้าของเขา เช่นเดียวกับที่เราเห็นเมื่อพระคริสตเจ้าทรงเป็นทุกข์โศกเศร้าในสวนเกทเสมนี ในพระคริสตเจ้า อารมณ์ความรู้สึกประสามนุษย์บรรลุความบริบูรณ์ได้ในความรักและความสุขของพระเจ้า


ยน 3:13 พระคริสตเจ้าทรงเรียกพระองค์เองว่า "บุตรแห่งมนุษย์" เป็นรูปแบบที่ประกาศกดาเนียลได้บรรยายไว้ว่าเป็นผู้ที่มีพระสิริรุ่งโรจน์และทรงปกครองเหนืออาณาจักรนิรันดร (เทียบ ดนล 7: 13-14) พระองค์ทรงยืนยันความเป็นพระเจ้าของพระองค์โดยระบุว่าพระองค์เสด็จมาจากสวรรค์

CCC ข้อ 423 เราเชื่อและประกาศว่าพระเยซูเจ้าจากเมืองนาซาเร็ธ ซึ่งทรงถือกำเนิดเป็นชาวยิวจากธิดาแห่งอิสราเอลที่เมืองเบธเลเฮม ในรัชสมัยของกษัตริย์เฮโรดมหาราชและพระจักรพรรดิซีซาร์ออกัสตัสที่ 1 มีอาชีพเป็นช่างไม้ ได้สิ้นพระชนม์โดยทรงถูกตรึงบนไม้กางเขนที่กรุงเยรูซาเล็ม ขณะที่ปอนติอัสปีลาตเป็นข้าหลวงปกครองในรัชสมัยพระจักรพรรดิทีเบริอัส ทรงเป็นพระบุตรนิรันดรของพระเจ้าผู้ทรงรับธรรมชาติมนุษย์ “พระองค์ทรงมาจากพระเจ้า” (ยน 13:3) “เสด็จลงมาจากสวรรค์” (ยน 3:13; 6:33) มารับสภาพมนุษย์ เพราะ “พระวจนาตถ์ทรงรับสภาพมนุษย์และเสด็จมาประทับอยู่ท่ามกลางเรา เราได้เห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ เป็นพระสิริรุ่งโรจน์ที่ทรงรับจากพระบิดาในฐานะพระบุตรเพียงพระองค์เดียว เปี่ยมด้วยพระหรรษทานและความจริง [.....] และจากความไพบูลย์ของพระองค์ เราทุกคนได้รับพระหรรษทานต่อเนื่องกัน” (ยน 1:14,16)

CCC ข้อ 664 การประทับเบื้องขวาพระบิดาหมายถึงการเริ่มต้นของพระอาณาจักรของพระเมสสิยาห์ พระมหากษัตริย์ เป็นการทำให้คำประกาศพระวาจาของประกาศกดาเนียลเกี่ยวกับ “บุตรแห่งมนุษย์” สำเร็จเป็นความจริง “เขาได้รับมอบอำนาจปกครอง สิริรุ่งโรจน์และอาณาจักร ประชาชนทุกชาติทุกภาษารับใช้เขา อำนาจปกครองของเขาเป็นอำนาจที่คงอยู่ตลอดไปไม่มีวันสิ้นสุด และอาณาจักรของเขาจะไม่มีวันถูกทำลายเลย” (ดนล 7:14) นับตั้งแต่เวลานี้ บรรดาอัครสาวกก็เป็นพยานยืนยันว่า “รัชสมัยของพระองค์จะไม่มีวันสิ้นสุด”

CCC ข้อ 440 พระเยซูเจ้าทรงรับการประกาศแสดงความเชื่อของเปโตรซึ่งยอมรับพระองค์เป็นพระเมสสิยาห์ พร้อมกับทรงแจ้งถึงพระทรมานที่กำลังจะมาถึงของ “บุตรแห่งมนุษย์” พร้อมกันนั้นยังทรงเปิดเผยความหมายแท้จริงของการทรงเป็นกษัตริย์-พระเมสสิยาห์อีกด้วยว่าทรงเป็น “บุตรแห่งมนุษย์” โลกุตระผู้ซึ่ง “ลงมาจากสวรรค์” (ยน 3:13) และในพันธกิจการกอบกู้ยังทรงเป็นผู้รับใช้ผู้รับทรมาน “บุตรแห่งมนุษย์มิได้มาเพื่อให้ผู้อื่นรับใช้ แต่มาเพื่อรับใช้ผู้อื่น และมอบชีวิตของตนเป็นสินไถ่เพื่อมนุษย์ทั้งหลาย” (มธ 20:28) เพราะเหตุนี้ ความหมายแท้จริงของการเป็นกษัตริย์ของพระองค์จึงปรากฏชัดเจนเมื่อจะทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน หลังจากที่ทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้วเท่านั้นเปโตรจะประกาศให้ประชากรรู้ได้ว่าทรงเป็นกษัตริย์ “ขอให้เผ่าพันธุ์อิสราเอลทั้งมวลรู้แน่เถิดว่าพระเจ้าทรงแต่งตั้งพระเยซูผู้นี้ที่ท่านทั้งหลายนำไปตรึงบนไม้กางเขน ให้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระคริสตเจ้า”(กจ 2:36)

CCC ข้อ 661 ก้าวสุดท้าย(ของพระคริสตเจ้า)นี้จึงสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับก้าวแรก คือการเสด็จลงมาจากสวรรค์ซึ่งสำเร็จเป็นจริงในการรับสภาพมนุษย์ ผู้ที่ “มาจากพระบิดา” เท่านั้น สามารถ “กลับไปเฝ้าพระบิดา” ได้อีก คือพระคริสตเจ้า “ไม่มีใครเคยขึ้นไปบนสวรรค์ นอกจากผู้ที่ลงมาจากสวรรค์ คือบุตรแห่งมนุษย์เท่านั้น” (ยน 3:13) ธรรมชาติมนุษย์ โดยพลังตามธรรมชาติของตนเอง ไม่อาจเข้าถึง “บ้านของพระบิดา”ไม่อาจเข้าถึงชีวิตและความสุขของพระเจ้าได้ พระคริสตเจ้าเท่านั้นอาจเปิดทางเข้านี้ให้แก่มนุษย์ได้ “เมื่อพระองค์ท่านผู้ทรงเป็นศีรษะและบุตรคนแรกเสด็จสู่สวรรค์ ข้าพเจ้าทั้งหลายผู้เป็นส่วนประกอบอื่นๆ แห่งพระวรกาย ก็จะติดตามไปรับความรุ่งเรืองที่นั่นดุจเดียวกัน”


ยน 3:14 รูปงู : ในถิ่นทุรกันดาร ชาวอิสราแอลที่ถูกงูพิษกัดได้รอดพ้นจากความตายโดยการมองดูงูทองสัมฤทธิ์ที่โมเสสติดไว้ที่เสาและ “ชูขึ้น” (เทียบ กดว 21:4-9) เหตุการณ์นี้เป็นการบอกล่วงหน้าถึงการพลีบูชาของพระคริสตเจ้า ผู้ทรงถูก “ยกขึ้น” บนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปของมวลมนุษยชาติ

  CCC ข้อ 2130 ในพันธสัญญาเดิม พระเจ้าทรงบัญชาหรือทรงอนุญาตให้สร้างภาพซึ่งเป็นสัญลักษณ์ช่วยชี้นำไปสู่ความรอดพ้นเดชะพระวจนาตถ์ผู้ทรงรับพระธรรมชาติมนุษย์ เช่นงูทองสัมฤทธิ์หีบพระบัญญัติ และรูปบรรดาเครูบ

(จากหนังสือ THE DIDACHE BIBLE with commentaries based on the Catechism of the Catholic Church, Ignatius Bible Edition)