แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

  วันจันทร์สัปดาห์ที่ 24 (ปีคู่) (ฉลองเทิดทูนไม้กางเขน)

บทอ่านจากพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญยอห์น (ยน 3:13-17)

 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับนิโคเดมัสว่า “ไม่มีใครเคยขึ้นไปบนสวรรค์ นอกจากผู้ที่ลงมาจากสวรรค์ คือบุตรแห่งมนุษย์เท่านั้น โมเสสยกรูปงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะต้องถูกยกขึ้นฉันนั้น เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระองค์ จะมีชีวิตนิรันดร พระเจ้าทรงรักโลกอย่างมาก จึงประทานพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่พินาศ แต่จะมีชีวิตนิรันดร เพราะพระเจ้าทรงส่งพระบุตรมาในโลกนี้ มิใช่เพื่อตัดสินลงโทษโลก แต่เพื่อโลกจะได้รับความรอดพ้นเดชะพระบุตรนั้น


 ยน 3:13 พระคริสตเจ้าทรงกล่าวถึงพระองค์เองว่า ทรงเป็น “บุตรแห่งมนุษย์” ตามภาพลักษณ์ที่ประกาศกดาเนียลได้อธิบายไว้ว่า พระองค์ทรงได้รับมอบอำนาจปกครอง สิริรุ่งโรจน์และอาณาจักรนิรันดร (เทียบ ดนล 7:13-14) พระองค์ทรงยืนยันถึง พระธรรมชาติพระเจ้าของพระองค์โดยกล่าวว่าพระองค์เสด็จมาจากสวรรค์ 

 คำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก CCC ข้อ 423 เราเชื่อและประกาศว่าพระเยซูเจ้าจากเมืองนาซาเร็ธ ซึ่งทรงถือกำเนิดเป็นชาวยิวจากธิดาแห่งอิสราเอลที่เมืองเบธเลเฮม ในรัชสมัยของกษัตริย์เฮโรดมหาราชและพระจักรพรรดิซีซาร์ออกัสตัสที่ 1 มีอาชีพเป็นช่างไม้ ได้สิ้นพระชนม์โดยทรงถูกตรึงบนไม้กางเขนที่กรุงเยรูซาเล็ม ขณะที่ปอนติอัสปีลาตเป็นข้าหลวงปกครองในรัชสมัยพระจักรพรรดิที่เบริอัส ทรงเป็นพระบุตรนิรันดรของพระเจ้าผู้ทรงรับธรรมชาติมนุษย์ “พระองค์ทรงมาจากพระเจ้า” (ยน 13:3) “เสด็จลงมาจากสวรรค์” (ยน 3:13; 6:33) มารับสภาพมนุษย์ เพราะ “พระวจนาตถ์ทรงรับสภาพมนุษย์และเสด็จมาประทับอยู่ท่ามกลางเรา เราได้เห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ เป็นพระสิริรุ่งโรจน์ที่ทรงรับจากพระบิดาในฐานะพระบุตรเพียงพระองค์เดียว เปี่ยมด้วยพระหรรษทานและความจริง [...]และจากความไพบูลย์ของพระองค์ เราทุกคนได้รับพระหรรษทานต่อเนื่องกัน” (ยน 1:14,16)

 CCC  ข้อ 664 การประทับเบื้องขวาพระบิดาหมายถึงการเริ่มต้นของพระอาณาจักรของพระเมสสิยาห์ พระมหากษัตริย์ เป็นการทำให้คำประกาศพระวาจาของประกาศกดาเนียลเกี่ยวกับ “บุตรแห่งมนุษย์สำเร็จเป็นความจริง “เขาได้รับมอบอำนาจปกครอง สิริรุ่งโรจน์และอาณาจักร ประชาชนทุกชาติทุกภาษารับใช้เขา อำนาจปกครองของเขาเป็นอำนาจที่คงอยู่ตลอดไปไม่มีวันสิ้นสุด และอาณาจักรของเขาจะไม่มีวันถูกทำลายเลย" (ดนล 7:14) นับตั้งแต่เวลานี้ บรรดาอัครสาวกก็เป็นพยานยืนยันว่า “รัชสมัยของพระองค์จะไม่มีวันสิ้นสุด"

 CCC  ข้อ 440 พระเยซูเจ้าทรงรับการประกาศแสดงความเชื่อของเปโตรซึ่งยอมรับพระองค์เป็นพระเมสสิยาห์พร้อมกับทรงแจ้งถึงพระทรมานที่กำลังจะมาถึงของ “บุตรแห่งมนุษย์  พร้อมกันนั้นยังทรงเปิดเผยความหมายแท้จริงของการทรงเป็นกษัตริย์-พระเมสสิยาห์อีกด้วยว่าทรงเป็น “บุตรแห่งมนุษย์" โลกุตระผู้ซึ่ง “ลงมาจากสวรรค์” (ยน 3:13) " และในพันธกิจการกอบกู้ยังทรงเป็นผู้รับใช้ผู้รับทรมาน “บุตรแห่งมนุษย์มิได้มาเพื่อให้ผู้อื่นรับใช้ แต่มาเพื่อรับใช้ผู้อื่น และมอบชีวิตของตนเป็นสินไถ่เพื่อมนุษย์ทั้งหลาย” (มธ 20:28)  เพราะเหตุนี้ ความหมายแท้จริงของการเป็นกษัตริย์ของพระองค์จึงปรากฏชัดเจนเมื่อจะทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน หลังจากที่ทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้วเท่านั้นเปโตรจะประกาศให้ประชากรรู้ได้ว่าทรงเป็นกษัตริย์ “ขอให้เผ่าพันธุ์อิสราเอลทั้งมวลรู้แน่เถิดว่าพระเจ้าทรงแต่งตั้งพระเยซูผู้นี้ที่ท่านทั้งหลายนำไปตรึงบนไม้กางเขนให้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระคริสตเจ้า" (กจ 2:36)

 CCC  ข้อ 661 ก้าวสุดท้าย(ของพระคริสตเจ้า) นี้จึงสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับก้าวแรก คือการเสด็จลงมาจากสวรรค์ซึ่งสำเร็จเป็นจริงในการรับสภาพมนุษย์ ผู้ที่ “มาจากพระบิดา" เท่านั้น สามารถ “กลับไปเฝ้าพระบิดา" ได้อีก คือพระคริสตเจ้า  “ไม่มีใครเคยขึ้นไปบนสวรรค์ นอกจากผู้ที่ลงมาจากสวรรค์ คือบุตรแห่งมนุษย์เท่านั้น” (ยน 3.13) 596 ธรรมชาติมนุษย์ โดยพลังตามธรรมชาติของตนเอง ไม่อาจเข้าถึง “บ้านของพระบิดา"ไม่อาจเข้าถึงชีวิตและความสุขของพระเจ้าได้ พระคริสตเจ้าเท่านั้นอาจเปิดทางเข้านี้ให้แก่มนุษย์ได้ “เมื่อพระองค์ท่านผู้ทรงเป็นศีรษะและบุตรคนแรกเสด็จสู่สวรรค์ ข้าพเจ้าทั้งหลายผู้เป็นส่วนประกอบอื่นๆ แห่งพระวรกาย ก็จะติดตามไปรับความรุ่งเรืองที่นั้นดุจเดียวกัน”


 ยน 3:14 รูปงู : ในถิ่นทุรกันดาร ชาวอิสราแอลที่ถูกงูพิษกัดได้รอดพ้นจากความตายโดยการมองดูงูทองสัมฤทธิ์ที่โมเสสติดไว้ที่เสาและ “ชูขึ้น” (เทียบ กดว 21:4-9) เหตุการณ์นี้เป็นการบอกล่วงหน้าถึงการพลีบูชาของพระคริสตเจ้า ผู้ทรงถูก “ยกขึ้น” บนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปของมวลมนุษยชาติ

 CCC ข้อ 2130  ในพันธสัญญาเดิม พระเจ้าทรงบัญชาหรือทรงอนุญาตให้สร้างภาพซึ่งเป็นสัญลักษณ์ช่วยชี้นำไปสู่ความรอดพ้นเดชะพระวจนาตถ์ผู้ทรงรับพระธรรมชาติมนุษย์ เช่นงูทองสัมฤทธิ์หีบพระบัญญัติ และรูปบรรดาเครูบ


ยน 3:16-21  การส่งพระบุตรแต่เพียงพระองค์เดียวของพระเจ้า เพื่อไถ่บาปของเราและมอบชีวิตนิรันดรให้แก่เรา คือการกระทำยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งความรักของพระเจ้าต่อเรา ความจริงแล้ว พระเจ้าพระบิดาทรงมอบพระคริสตเจ้าผู้ทรงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ก็ เพื่อเปิดเผยความรักที่ยิ่งใหญ่มหาศาลของพระองค์แก่เรา ผู้ใดที่ปฏิเสธของประทานแห่งความรักของพระคริสตเจ้าและการไถ่กู้นี้ เขาก็ตัดตนเองออกจากชีวิตนิรันดร แต่ผู้ใดที่เลือกดำเนินชีวิตในแสงสว่างของพระคริสตเจ้าจะได้รับความสุขทั้งในชีวิตนี้และในชีวิตนิรันดรที่กำลังจะมาถึง 

CCC ข้อ 219 ความรักของพระเจ้าต่ออิสราเอลเปรียบได้กับความรักของบิดาต่อบุตรของตน” ความรักนี้ทรงพลังมากกว่าความรักของมารดาต่อบุตรของตน พระเจ้าทรงรักประชากรของพระองค์มากกว่าเจ้าบ่าวรักเจ้าสาวของตน ความรักนี้จะพิชิตกระทั่งความไม่ซื่อสัตย์ที่เลวร้ายที่สุดด้วยความรักนี้จะขยายไปจนถึงการให้ของประทานประเสริฐที่สุด “พระเจ้าทรงรักโลกอย่างมากจึงประทานพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์” (ยน 3:16)

CCC ข้อ 444 พระวรสารเล่าว่าในโอกาสสำคัญสองครั้ง คือเมื่อพระคริสตเจ้าทรงรับพิธีล้างและทรงแสดงพระองค์อย่างรุ่งโรจน์ พระบิดาทรงเปล่งพระสุรเสียงประกาศว่าพระคริสตเจ้าทรงเป็น“บุตรสุดที่รัก" ของพระองค์ พระเยซูเจ้ายังตรัสถึงพระองค์เองว่าทรงเป็น “พระบุตรเพียงพระองค์เดียว” ของพระเจ้า (ยน 3:16) และทรงใช้ตำแหน่งนี้ยืนยันว่าทรงดำรงอยู่ก่อนแล้วตั้งแต่นิรันดรทรงเรียกร้องให้ทุกคนมีความเชื่อ “ในพระนามของพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระเจ้า”(ยน 3:18) การประกาศความเชื่อของคริสตชนเช่นนี้ปรากฏแล้วเมื่อนายร้อยโรมันประกาศเฉพาะพระพักตร์พระเยซูเจ้าบนไม้กางเขนว่า “ชายคนนี้เป็นพระบุตรของพระเจ้าแน่ที่เดียว”(มก 15:39) ในพระธรรมล้ำลึกปัสกาเท่านั้น ผู้มีความเชื่อจึงอาจให้ความหมายของตำแหน่ง “พระบุตรของพระเจ้า” ได้อย่างสมบูรณ์

CCC ข้อ 454 พระนาม “พระบุตรของพระเจ้า” หมายถึงความสัมพันธ์เฉพาะตั้งแต่นิรันดรของพระเยซู คริสตเจ้ากับพระเจ้าพระบิดาของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระบิดาและพระองค์ก็ทรงเป็นพระเจ้าด้วย” ผู้ใดจะเป็นคริสตชนได้จำเป็นต้องเชื่อว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า

CCC ข้อ 458 พระวจนาตถ์ทรงรับสภาพมนุษย์ เพื่อเราจะได้รู้จักความรักของพระเจ้า “ความรักของพระเจ้าปรากฏให้เราเห็นดังนี้คือ พระเจ้าทรงส่งพระบุตรพระองค์เดียวมาในโลก เพื่อเราจะได้มีชีวิตโดยทางพระบุตรนั้น" (1 ยน 4:9) “พระเจ้าทรงรักโลกอย่างมาก จึงประทานพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่พินาศ แต่จะมีชีวิตนิรันดร” (ยน 3:16)

(จากหนังสือ THE DIDACHE BIBLE with commentaries based on the Catechism of the Catholic Church, Ignatius Bible Edition)