แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม 2015
สัปดาห์ที่สี่ เทศกาลมหาพรต
ยน 4:43-54…
43หลังจากนั้นสองวัน พระเยซูเจ้าทรงออกเดินทางต่อไปยังแคว้นกาลิลี 44พระองค์เคยทรงประกาศไว้ว่า ประกาศกมักไม่ได้รับเกียรติในบ้านเมืองของตน 45แต่เมื่อพระองค์เสด็จมาถึงแคว้นกาลิลี ชาวกาลิลีต้อนรับพระองค์อย่างดี เพราะเห็นการกระทำต่าง ๆ ของพระองค์ที่กรุงเยรูซาเล็มในระหว่างวันฉลองที่เขาไปร่วมด้วย 46พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาที่หมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลีอีกครั้งหนึ่ง พระองค์เคยทรงเปลี่ยนน้ำเป็นเหล้าองุ่นที่นั่น ข้าราชการคนหนึ่งมีบุตรป่วยหนักอยู่ที่เมืองคาเปอรนาอุม

47เขาได้ยินว่าพระเยซูเจ้าเสด็จจากแคว้นยูเดียมายังแคว้นกาลิลีแล้ว จึงมาเฝ้าพระองค์และทูลขอให้เสด็จไปรักษาบุตรของเขา ซึ่งใกล้จะสิ้นชีวิต 48พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า “ถ้าท่านทั้งหลายไม่เห็นเครื่องหมายอัศจรรย์และปาฏิหาริย์แล้ว ท่านจะไม่เชื่อเลย” 49ข้าราชการผู้นั้นทูลว่า “พระเจ้าข้า โปรดเสด็จไปก่อนที่บุตรของข้าพเจ้าจะสิ้นใจเถิด” 50พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า “ไปเถิด บุตรของท่านพ้นอันตรายแล้ว” ชายผู้นั้นเชื่อพระวาจาที่พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขา จึงเดินทางจากไป 51ขณะที่เขากำลังเดินทางกลับ คนรับใช้ของเขาออกมาพบ บอกว่าบุตรของเขาพ้นอันตรายแล้ว 52เขาซักถามถึงเวลาที่บุตรของเขามีอาการดีขึ้น คนรับใช้ตอบว่า “เมื่อวานนี้เวลาบ่ายโมงอาการไข้ก็หาย” 53บิดาจึงรู้ว่า นั่นเป็นเวลาที่พระเยซูเจ้าตรัสว่า “บุตรของท่านพ้นอันตรายแล้ว” เขากับทุกคนในครอบครัวจึงมีความเชื่อ 54พระเยซูเจ้าทรงกระทำเครื่องหมายอัศจรรย์ครั้งที่สองนี้ หลังจากเสด็จกลับจากแคว้นยูเดียมายังแคว้นกาลิลี

อรรถาธิบายและไตร่ตรอง

• ประชาชนที่กาลิลีได้ตอนรับพระองค์อย่างดี เพราะ “ได้เห็น” การกระทำต่างๆของพระองค์ ที่เป็นการอัศจรรย์เมื่อพวกเขาได้ตามเสด็จพระองค์ไปที่เยรูซาเล็ม การเห็นทำให้พวกเขาได้เชื่อ และ “เห็นกับเชื่อต้องไปด้วยกันหรือ” ไม่จริงครับ “ถ้าเห็นแล้ว ไม่ต้องเชื่อ ถ้าเชื่อจริง ไมจำเป็นต้องเห็น”


• พระวรสารนักบุญยอห์นเน้นเป้าหมายสำคัญมากๆ คือ “การเชื่อในพระวาจาของพระเยซู” (to believe in Jesus’ Word or in Him since He is the Word of God) ความเชื่อ ไม่จำเป็นต้องเห็นครับ เพราะอันที่จริงถ้าเห็นแล้วก็ไม่ต้องเชื่อแล้วเพราะได้เห็น... และพระวรสารนักบุญยอห์นก็เน้นความเชื่อ ไม่ใช่การได้เห็น

o พี่น้องจำเรื่องนักบุญโทมัสในพระวรสารนักบุญยอห์นได้ไหม เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จกลับคืนชีพ ทรงเสด็จมาหาบรรดาศิษย์ แต่โทมัสไม่อยู่ เมื่อบรรดาศิษย์เล่าให้ฟังถึงพระองค์ โทมัสจอมหัวดื้อประกาศว่าอะไรจำได้ไหมครับ... เป็นคำประกาศที่คลาสสิกมาก คริสตชนทุกคนคุ้นเคยจริงๆ ท่านยืนยันว่า “ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ และไม่ได้เอานิ้วแยงเข้าไปที่รอยตะปู และไม่ได้เอามือคลำที่ด้านข้างพระวรกายของพระองค์ ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อเป็นอันขาด” (ยน 20:25) ยืนยันเสียงแข็งเลยครับ แต่ครั้งที่สองที่พระองค์ประจักษ์มาหาพวกเขาโทมัสอยู่ด้วย อะไรเกิดขึ้นครับ...
o พระเยซูเจ้าในครั้งนี้ตรัสกับโทมัสว่า “จงเอานิ้วมาที่นี่ และดูมือของเราเถิด จงเอามือมาที่นี่ คลำที่สีข้างของเรา อย่าสงสัยอีกต่อไป แต่จงเชื่อเถิด”

o พระองค์ไม่ใช่เพียงปรากฏมาให้เขาเห็นแต่ทรงเรียกให้มาสัมผัสพระองค์ เรียกว่า มาดูกันจะๆไปเลย จนโทมัสร้องประโยคที่คลาสสิกอีกประโยคว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า และพระเจ้าของข้าพเจ้า” เรียกว่า ร้องเสียงหลงเลยครับ ยอมจำนน เพราะได้เห็น และสารภาพประกาศว่าพระองค์เป็นพระเจ้า พระองค์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า (My Lord and my God) 

o แต่เราทราบดีว่า พระเยซูเจ้าทรงประกาศถ้อยคำที่คลาสสิกที่สุดที่หมายถึง “ความเชื่อแท้จริง” ความเชื่อแท้ไม่จำเป็นต้องเห็น พระองค์ตรัสกับโทมัสว่า “ท่านเชื่อเพราะได้เห็นเรา ผู้ที่เชื่อแม้ไม่ได้เห็นก็เป็นสุข”

• สรุปว่า ตลอดพระวรสารนักบุญยอห์น... “ความเชื่อในพระเยซูเจ้า เป็นบุญจริงๆ และความเชื่อนั้น แม้ไม่ได้เห็นแต่เชื่อ นั่นคือความเชื่อแท้จริง”


• แต่เราพบว่า ตลอดพระวรสารนักบุญยอห์น ถ้าเราออกสำรวจ และอ่านตั้งแต่ต้นจนจบ เราจะพบว่า “ชาวยิว และบรรดาฟาริสีธรรมาจารย์” พวกเขากลับไม่เคยยอมเชื่อในพระองค์เอาเสียเลย พระองค์เสด็จมาเพื่อพวกเขาเป็นพวกแรก แต่พวกเขากลับไม่เคยยอมรับพระองค์เสียเลย กลับสะดุดและปฏิเสธพระองค์ตลอดเวลา ผลตอบรับของพวกเขา “ไม่เคยยอมเชื่อในพระองค์” มีคนจำนวนมากเชื่อในพระองค์ครับ แต่ไม่ใช่ชาวยิวหรือพวกหัวหน้าของชาวยิวเลย...

o หญิงชาวสะมาเรียเชื่อในพระองค์ และชาวสะมาเรียทั้งเมืองที่ สิคาร์ (ยน 4) พวกเขาเชื่อในพระองค์ ทั้งๆที่พวกเขาเป็นชาวสะมาเรียซึ่งปกติไม่เป็นที่ยอมรับแก่กันสำหรับชาวยิว เลย แต่พวกเขาเชื่อ

o คนตาบอดแต่กำเนิด (ยน 9) เขาเชื่อในพระเยซูและยอมรับพระองค์ เมื่อเขาได้เห็นได้ด้วยตาที่เคยบอดแต่กำเนิดแท้ แต่ได้เห็นและได้เชื่อในพระองค์
• พี่น้องที่รัก... พระวาจาของพระเจ้าวันนี้ “ข้าราชการคนนั้น” เป็นตัวอย่างและเป็นต้นแบบของความเชื่อจริงๆครับ เราต้องหันกลับมามองดูความจริงแห่งความเชื่อครับ... ข้าราชการคนนี้เป็นชาวยิวหรือไม่เราไม่แน่ใจ แต่ข้าราชการนี้ต้นฉบับภาษาเป็นอย่างไร
o ภาษากรีกใช้คำว่า βασιλικὸς อ่านว่า “บาสิลิคอส” คำนี้เราพบอีกสองสามแห่งในพระคัมภีร์ เช่นในกิจการอัครสาวก กจ 12:20 และ ยก 2:8 สองแห่งนี้ใช้ในบริบทของเพื่อนบ้านที่เป็นคนต่างชาติ
o คำแปลที่ใช้ในพระวรสาร คือ ข้าราชการ ถ้าเป็นข้าราชการที่กาลิลี เขาน่าจะเป็นคนต่างชาติ ไม่ใช่ชาวยิว ดังนั้น เราพอจะพิสูจน์ได้ว่า ข้าราชการหรือที่คำแปลหลายสำนวนใช้คำว่า คนชั้นสูง... Noble man หรือ Royal official จึงน่าจะหมายถึงคนต่างชาติแน่นอนครับ

• สิ่งที่เราควรเรียนรู้ความเชื่อของเขาครับ... ต้องเรียนรู้จริง และเป็นเจตนาของยอห์น ชี้กระจ่างจริงว่า เขาเชื่อพระวาจาของพระเยซู เชื่อจริงๆ แม้ไม่ได้เห็นว่าพระวาจานั้นเป็นจริงไหม คนของเขาที่ป่วยนั้นหายแล้วจริงๆไหม เรามาดูพระวาจาวันนี้กันดีๆอีกที...
o “เขาได้ยินว่าพระเยซูเจ้าเสด็จจากแคว้นยูเดียมายังแคว้นกาลิลีแล้ว จึงมาเฝ้าพระองค์และทูลขอให้เสด็จไปรักษาบุตรของเขา ซึ่งใกล้จะสิ้นชีวิต” นี่เป็นเรื่องใหญ่มาก และพระคัมภีร์ทำให้เห็นแล้วว่า เขาเชื่อในพระองค์จริงๆ ไม่มีพ่อคนไหนไม่รักลูกของตน เขาเป็นคนชั้นสูงในสังคม แต่เขาได้ยินถึงพระองค์ เขาออกเดินทางไปหาพระองค์ ไปทูลขอพระองค์ไปรักษาลูกของเขาให้รอด ลูกของเขาซึ่งกำลังจะสิ้นชีวิต ในสถานการณ์เช่นนี้ การที่เขาได้ยินถึงพระองค์ เขาออกเดินทางมาหาพระองค์ แสดงให้เห็นว่า แม้เป็นคนชั้นสูง ข้าราชการ คนต่างชาติ แต่เขาเชื่อ เขาหวังในพระองค์จริงๆ “ความเชื่อในพระองค์” ทำให้เขา “ออกเดินทางไปสู่ความเชื่อและความหวังนั้น” 

o “พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า “ถ้าท่านทั้งหลายไม่เห็นเครื่องหมายอัศจรรย์และปาฏิหาริย์แล้ว ท่านจะไม่เชื่อเลย” พระเยซูเจ้าท้าทายความเชื่อของเขา เน้นว่า ความเชื่อของเขาคงจะต้อง “ได้เห็นอัศจรรย์และปาติหาริย์” ใช่ครับ คนเราเชื่อและอยากเห็นปาฏิหาริย์ทั้งนั้น เราขอพระเจ้า เราขอปาฏิหาริย์ เราออกเดินทางไปหาอัศจรรย์ ไปที่เขาว่าศักดิ์สิทธิ์ ที่ขลังๆ เราออกไป เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมหาสมุทรข้ามทวีป ไปยังที่ต่างๆที่เขาว่ามีอัศจรรย์... ข้าราชการคนนี้กำลังถูกท้าทายจากพระเยซูเจ้าจริงๆ ว่า ถ้าเขาได้เห็นอัศจรรย์เขาจะเชื่อ เหมือนคนอื่นๆที่เชื่อเพราะได้เห็น หรือเชื่อและก็พยายามออกหาเพื่อได้เห็น... พระองค์ตรัสเช่นนี้กับข้าราชาการคนนั้น แต่เขาก็ดูเหมือนจะเร่งขอให้พระองค์ไป... เพราะ เพราะว่า ลูกเขากำลังจะสิ้นใจ ขอพระองค์เสด็จไปก่อน ก่อนที่เขาจะตาย... (ตรงนี้ยิ่งทำให้พ่อเห็นว่า เขาเชื่อในตัวพระองค์จริงๆ เชื่อว่าถ้าพระองค์เสด็จไป ลูกของเขาจะรอดแน่นอน)
o “พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า “ไปเถิด บุตรของท่านพ้นอันตรายแล้ว” ชายผู้นั้นเชื่อพระวาจาที่พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขา จึงเดินทางจากไป ขณะที่เขากำลังเดินทางกลับ คนรับใช้ของเขาออกมาพบ บอกว่าบุตรของเขาพ้นอันตรายแล้ว” คำตอบแห่งความสุดยอดอยู่ที่นี่ครับ ความเชื่อ คือความเชื่อใน “พระวาจาของพระองค์” แม้ไม่ได้ตัวพระองค์เสด็จไป แต่พระองค์ตรัส... ให้เขากลับไป บุตรของเขาพ้นอันตราย... พระคัมภีร์บันทึกว่า “เขาเชื่อในพระวาจา....จึงเดินทางจากไป” นี่แหละครับ สุดยอดของคำสอนของพระวรสารวันนี้... “เชื่อในพระคำหรือพระวาจาของพระองค์” ที่คือสุดยอดของความเชื่อที่พระวรสารนำเสนอ... “พระองค์ตรัส” เชื่อได้เลย... เขาออกเดินทางกลับไปเลย

o ขณะเขาเดินกลับไป... เชื่อในพระวาจาและกลับไป ไม่ได้ดึงพระองค์ไป เพียงตรัสกับเขา เขาเชื่อ... ยังไม่ถึงบ้าน คนใช้มาบอกว่าบุตรของเขารอดชีวิต พันอันตราย... พระวรสารเล่าว่า เขาซักถามเวลา... และเวลาที่ไข้ทุเราคือเวลาบ่ายโมง... ณ เวลานั้น คือเวลาที่พระเยซูเจ้าตรัส (พระวาจา) “บุตรของท่านพ้นอันตรายแล้ว” เขาทุกคนในครอบครัวจึงมีความเชื่อในพระองค์

• พี่น้องที่รักครับ...พระวาจาขอพระจ้าวันนี้ ดูเผินเหมือนกับไม่มีอะไร เป็นเรื่องเล่าอีกเรื่องหนึ่ง แต่ แต่ แต่ พระวาจาวันนี้ เผยถึง สุดยอดของความเชื่อที่เราต้องไตร่ตรองและเชื่อครับ... ข้าราชการคนนี้เป็นตัวอย่างที่ยอห์นเสนอให้เราได้พิจารณาความเชื่อที่แท้ จริงๆ คือ เชื่อในพระวาจาของพระองค์...

• พ่อสรุปละครับ
o พี่น้องครับ เราชื่อกันทุกคน เราเป็นคริสตชนมีความเชื่อครับ.. แต่เราเชื่อในพระวาจาของพระองค์ไหมครับ... หลายคนคงบอกว่าเชื่อ

o คำถามต่อไปคือ เราอ่านพระคัมภีร์ไหม เราไตร่ตรองพระวาจาบ้างไหม พระวาจาของพระเจ้าจะทำให้เราเชื่อในพระองค์ครับ เชื่อพ่อเถอะ บางคนเป็นคริสตชนทั้งชีวิต บอกว่าเชื่อ แต่ไม่เคยอ่านพระคัมภีร์ ฟังเทศน์ก็หลับหรือคนเทศน์ทำให้หลับก็ไม่ทราบ พ่อที่เทศน์เองก็เชื่อในสิ่งที่เทศน์ รักจริงๆ เชื่อเด็ดขาดในพระวาจาไหม ถ้าไม่ ก็จะพากันหลับ พากันเบื่อไปหมด หรืออาจต้องไปหาโวหารหรือเรื่องเยอะแยะมาเทศน์ แต่ไม่ใช่พระคัมภีร์ ไม่ใช่พระวาจา แล้วเราจะเชื่อได้อย่างไร...
o บางคนเชื่อ ศรัทธา และวิ่งหาอัศจรรย์การประจักษ์มากมาย... ไม่เชื่อหรือครับ เชื่อในพระวาจาและอัศจรรย์จะเกิดขึ้นเสมอ บางทีวิ่งหาอัศจรรย์มากมายของขลังเต็มบ้าน แต่ไม่เคยอ่านพระคัมภีร์เลย.. เสียดายนะครับ

o พี่น้องครับ.. เรามาฟื้นฟูชีวิตคริสตชนกันครับ... เชื่อในพระวาจา อ่านพระวาจา และดำเนินชีวิตตามพระวาจาของพระเจ้าเสมอนะครับ.... ขอพระเจ้าอวยพรให้เราเชื่อในพระวาจาของพระองค์นะครับ...