แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

วันจันทร์  สัปดาห์ที่ 2  เทศกาลมหาพรต

พระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญลูกา (ลก 6:36-38)                                               

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “จงเป็นผู้เมตตากรุณาดังที่พระบิดาของท่านทรงพระเมตตากรุณาเถิด อย่าตัดสินเขา แล้วพระเจ้าจะไม่ทรงตัดสินท่าน อย่ากล่าวโทษเขา แล้วพระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษท่าน จงให้อภัยเขา แล้วพระเจ้าจะทรงให้อภัยท่าน จงให้ แล้วพระเจ้าจะประทานแก่ท่าน ท่านจะได้รับเต็มสัดเต็มทะนานอัดแน่นจนล้น เพราะว่าท่านใช้ทะนานใดตวงให้เขา พระเจ้าก็จะทรงใช้ทะนานนั้นตวงตอบแทนให้ท่านด้วย” 


ลก 6:27-38 โดยทั่วไปเราเรียกศูนย์กลางของคำสอนเกี่ยวกับศาสนบริการของพระคริสตเจ้าว่า กฎปฏิบัติ และเป็นส่วนขยายของ Shema (เทียบ ฉธบ 6:4-9) พระเจ้าทรงเรียกเราสู่ความรักโดยไม่มีเงื่อนไขแม้กระทั่งต่อศัตรูและผู้ที่เบียดเบียนเรา และให้รู้จักเสียสละตนเองด้วยใจกว้างแก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ

การเลือกปฏิบัติตามมโนธรรม

CCC ข้อ 1789 ในทุกกรณีเหล่านี้จึงต้องใช้กฎบางประการ คือ

- ต้องไม่มีวันอนุญาตให้ทำชั่วเพื่อจะได้ผลดีจากการนั้น

- “กฎทางปฏิบัติ” ก็คือ “ท่านอยากให้เขาทำกับท่านอย่างไร ก็จงทำกับเขาอย่างนั้นเถิด” (มธ 7:12) 

- ความรักต้องคำนึงถึงเพื่อนพี่น้องและมโนธรรมของเขาเสมอ “ถ้าท่านทำบาปต่อพี่น้องและ ทำร้ายมโนธรรมที่อ่อนไหวของเขา ท่านก็ย่อมทำบาปต่อพระคริสตเจ้า” (1 คร 8:12) “เป็นการดีที่จะงด [...] [ทำ] ทุกสิ่งที่เป็นเหตุทำให้พี่น้องของท่านไม่สบายใจ” (รม 14:21)

ธรรมบัญญัติใหม่ หรือ กฎแห่งพระวรสาร

CCC ข้อ 1970 กฎแห่งพระวรสารเรียกร้องให้มีการเลือกระหว่าง “ทางสองแพร่ง” และให้นำพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปฏิบัติ ทั้งหมดนี้รวมกันเรียกว่า “กฎปฏิบัติ” (Golden Rule) ที่สรุปได้ดังนี้ “ท่านอยากให้เขาทำกับท่านอย่างไร ก็จงทำกับเขาอย่างนั้นเถิด นี่คือธรรมบัญญัติและบรรดา ประกาศก” (มธ 7:12) กฎแห่งพระวรสารทั้งหมดรวมอยู่ในบัญญัติใหม่ของพระเยซูเจ้าที่สั่งให้เรารักกันเหมือนกับที่พระองค์ทรงรักเรา

กฎปฏิบัติ

CCC ข้อ 2510 กฎปฏิบัติในกรณีเฉพาะช่วยให้เราตัดสินว่าควรจะเปิดเผยความจริงแก่ผู้ที่ขอให้ทำเช่นนั้นหรือไม่


ลก 6:36 อ้างอิงถึงพันธสัญญาเดิมเพื่อให้รู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า (เทียบ ลนต 19:2) พระคริสตเจ้าทรงกำหนดให้ความเมตตาเป็นเครื่องหมายสูงสุดของความศักดิ์สิทธิ์ และทรงสั่งให้ผู้ที่เชื่อในพระองค์ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเมตตาตามแบบอย่างของพระบิดา ผู้ทรงพระเมตตาประทานอภัยบาปแก่เรา

การสารภาพบาป

CCC ข้อ 1457 ตามกฎข้อบังคับของพระศาสนจักร “ผู้มีความเชื่อทุกคน หลังจากถึงอายุรู้ความแล้ว จำเป็นต้องสารภาพบาปหนักอย่างซื่อสัตย์อย่างน้อยปีละครั้ง” ผู้ที่สำนึกว่าตนได้ทำบาปหนัก ต้องไม่ไปรับศีลมหาสนิท ก่อนจะได้รับการอภัยบาปในศีลศักดิ์สิทธิ์ แม้เขาจะรู้สึกเป็นทุกข์ถึงบาปอย่างมากก็ตาม นอกจากจะมีเหตุผลสำคัญต้องรับศีลมหาสนิทและยังไม่อาจไปรับศีลอภัยบาปได้ บรรดาเด็กๆ ต้องไปรับศีลอภัยบาปก่อนจะรับศีลมหาสนิทครั้งแรก

CCC ข้อ 1458 แม้ว่าการสารภาพความผิดที่ทำทุกๆ วัน (บาปเบา) จะไม่จำเป็นนัก พระศาสนจักรก็ยังสนับสนุนอย่างจริงจังให้ปฏิบัติด้วย อันที่จริง การสารภาพบาปเบาของเราเป็นประจำย่อมช่วยเราให้จัดรูปแบบมโนธรรมของเรา เพื่อต่อสู้กับแนวโน้มทางชั่วของเรา เพื่อเปิดโอกาสให้พระคริสตเจ้าทรงบำบัดรักษาเรา ให้เราก้าวหน้าในชีวิตจิต เมื่อเรารับพระกรุณาเป็นของประทานจากพระบิดาผ่านทางศีลนี้บ่อยๆ เราก็ยิ่งรับการผลักดันให้มีความเมตตากรุณาเหมือนพระองค์มากขึ้น

“เหมือนข้าพเจ้าให้อภัยแก่ผู้อื่น”

CCC ข้อ 2842 คำว่า “เหมือน” นี้ไม่ได้มีเพียงครั้งเดียวในคำสอนของพระเยซูเจ้า “ฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีอย่างสมบูรณ์ เหมือนกับที่พระบิดาเจ้าสวรรค์ของท่านทรงความดีอย่างสมบูรณ์เถิด” (มธ 5:48) “(ท่าน) จงเป็นผู้เมตตากรุณาดังที่พระบิดาของท่านทรงพระเมตตากรุณาเถิด” (ลก 6:36) “เราให้บทบัญญัติใหม่แก่ท่านทั้งหลาย ให้ท่านรักกัน เรารักท่านทั้งหลายอย่างไรท่านก็จงรักกันอย่างนั้นเถิด” (ยน 13:34) การปฏิบัติตามพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นเพียงการปฏิบัติตามพระแบบฉบับของพระเจ้าเพียงภายนอก แต่นี่เป็นเรื่องการมีส่วนความศักดิ์สิทธิ์ ความเมตตากรุณา และความรักของพระเจ้าอย่างมีชีวิตชีวา “จากส่วนลึกของจิตใจ” มีเพียงพระจิตเจ้า “ที่เราดำเนินชีวิต” (กท 5:25) ตามพระองค์เท่านั้น อาจทำให้ความรู้สึกนึกคิด “ของเรา” เป็นเหมือนกันกับความรู้สึกนึกคิดที่อยู่ในพระคริสต์เยซู เมื่อนั้นแหละ การให้อภัยหนึ่งเดียวกันจึงเป็นไปได้ เมื่อเรา “ให้อภัยกันดังที่พระเจ้าทรงให้อภัยท่านในองค์พระคริสตเจ้า” (อฟ 4:32)

(จากหนังสือ THE DIDACHE BIBLE with commentaries based on the Catechism of the Catholic Church, Ignatius Bible Edition)