แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

วันพุธ สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลปัสกา

พระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญยอห์น (ยน 12:44-50)                                   

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสเสียงดังว่า “ผู้ที่เชื่อในเรา ไม่ได้เชื่อในเราเท่านั้น แต่ยังเชื่อในพระองค์ผู้ทรงส่งเรามาด้วย ผู้ที่เห็นเรา ก็เห็นพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา เราเข้ามาในโลกเป็นแสงสว่าง เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อในเราไม่อยู่ในความมืด ผู้ใดได้ยินวาจาของเรา แล้วไม่ปฏิบัติตาม เราไม่ตัดสินลงโทษเขา เพราะเราไม่ได้มาเพื่อตัดสินลงโทษโลก แต่มาเพื่อช่วยโลกให้รอดพ้น ผู้ที่ไม่ยอมรับเรา และไม่ยอมรับวาจาของเรา ก็มีผู้ตัดสินลงโทษเขาแล้ว วาจาที่เราได้กล่าวนั้น จะตัดสินลงโทษเขาในวันสุดท้าย เพราะเรามิได้พูดตามใจของเรา แต่พระบิดาผู้ทรงส่งเรามา ได้ทรงบัญชาว่าเราต้องพูดอะไร และพูดอย่างไร เรารู้ว่า พระบัญชาของพระองค์เป็นชีวิตนิรันดร ดังนั้น สิ่งที่เราพูด เราก็พูดดังที่พระบิดาตรัสกับเรา”


ยน 12:44-50 ข้อสรุปของคำสอนของพระคริสตเจ้านี้ยืนยันถึงความเป็นพระเจ้า อำนาจของพระองค์จากพระบิดาและบทบาทหน้าที่ของพระองค์ในประวัติศาสตร์แห่งความรอดพ้น พระบิดาทรงส่งพระองค์มาเพื่อพูดในพระนามของพระองค์และเป็นแสงสว่างของโลก ในท้ายที่สุด เรานำการพิพากษามาสู่ตัวเอง การกระทำของเราสามารถสะท้อนให้เห็นทั้งความรักต่อพระเจ้า หรือการปฏิเสธคำเชิญของพระองค์สู่ความรอดพ้นและชีวิตนิรันดร์

“เพื่อพิพากษาผู้เป็นและผู้ตาย”

  CCC ข้อ 679 พระคริสตเจ้าทรงเป็นเจ้านายของชีวิตนิรันดร ในฐานะพระผู้กอบกู้โลก พระองค์ทรงมีสิทธิเต็มที่ที่จะพิพากษาการกระทำและความคิดในใจของมนุษย์อย่างเด็ดขาด พระองค์ “ทรงได้สิทธิ” นี้มาโดยไม้กางเขนของพระองค์ พระบิดายัง “ทรงมอบการพิพากษาทั้งหมดให้พระบุตร” ด้วย (ยน 5:22) พระบุตรเสด็จมามิใช่เพื่อตัดสินลงโทษ แต่เพื่อโลกจะได้รับความรอดพ้น และเพื่อประทานชีวิตที่ทรงมีให้ (แก่โลก) ผู้ที่ไม่ยอมรับพระหรรษทานในชีวิตนี้ก็พิพากษาตัดสินตนเองแล้ว เขาจะรับผลตามงานที่เขาทำ และถ้าเขาปฏิเสธไม่ยอมรับพระจิตเจ้าแห่งความรักเขาก็ยังจะตัดสินลงโทษตนเองตลอดนิรันดรด้วย

การพิพากษาครั้งสุดท้าย

  CCC ข้อ 1039 พระคริสตเจ้าผู้ทรงเป็นความจริงจะทรงทราบแจ้งชัดถึงความจริงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของมนุษย์แต่ละคนกับพระเจ้า การพิพากษาครั้งสุดท้ายจะเปิดเผยกิจการที่แต่ละคนได้ทำหรือละเว้นไม่ได้ทำตลอดช่วงเวลาของชีวิตในโลกนี้ รวมถึงผลสุดท้ายที่ตามมาด้วย

  “ทุกสิ่งที่คนชั่วทำและไม่รู้ถูกบันทึกไว้ เมื่อพระเจ้าของเราจะเสด็จมา พระองค์จะไม่ทรงนิ่งเงียบ (สดด 50:3) […] แล้วพระองค์จะทรงหันไปยังผู้ที่อยู่เบื้องซ้าย ตรัสว่า ‘เราได้จัดผู้ต่ำต้อยที่สุดของเราไว้ให้ท่านในโลก เราเป็นศีรษะ เรานั่งอยู่เบื้องขวาพระบิดาในสวรรค์ แต่ร่างกายส่วนต่างๆ ของเรายังลำบากอยู่ในโลกนี้ เขามีความขัดสนในโลก สิ่งใดที่ท่านให้แก่ร่างกายส่วนต่างๆ ของเราคงมาถึงศีรษะด้วย ถ้าท่านรู้ว่าเมื่อเราได้จัดให้ผู้ต่ำต้อยที่สุดของเรามีความขัดสน เราได้แต่งตั้งเขาให้เป็นผู้นำกิจการของท่านมาเก็บไว้ในขุมทรัพย์ของเรา แต่ท่านไม่ได้วางสิ่งใดไว้ในมือของเขาเลย เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่ได้พบอะไรต่อหน้าเรา’”

ดำเนินชีวิตในความจริง

  CCC ข้อ 2466 ความจริงของพระเจ้าปรากฏชัดเจนอย่างสมบูรณ์ในพระเยซูคริสตเจ้า พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยพระหรรษทานและความจริงทรงเป็น “แสงสว่างส่องโลก” (ยน 8:12) พระองค์ทรงเป็นความจริง ทุกคนที่เชื่อในพระองค์ไม่อยู่ในความมืด ศิษย์ของพระเยซูเจ้ายึดมั่นในพระวาจาของพระองค์เพื่อจะรู้ความจริงซึ่งจะช่วยให้เป็นอิสระและบันดาลให้ศักดิ์สิทธิ์ การติดตามพระเยซูเจ้าเป็นการดำเนินชีวิตเดชะพระจิตเจ้าแห่งความจริงที่พระบิดาทรงส่งมาในพระนามของพระองค์ผู้ทรงนำเราไปสู่ความจริงทั้งมวล” (ยน 16:13) พระเยซูเจ้าทรงสอนบรรดาศิษย์ให้รักความจริงโดยไม่มีเงื่อนไข “ท่านจงกล่าวเพียงว่า ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่ใช่’” (มธ 5:37)

(จากหนังสือ THE DIDACHE BIBLE with commentaries based on the Catechism of the Catholic Church, Ignatius Bible Edition)