แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

DSCN0771

พระเจ้าสูงสุด
     มนุษย์เราอยู่ในโลกและรู้จักสิ่งต่างๆ ของโลกได้ จากความรู้สึกต่างๆ โดยอาศัยประสาททั้งห้าและเรารู้จักสิ่งต่างๆ ได้ โดยเฉพาะในสิ่งที่เป็นสสารวัตถุ มนุษย์ยังเรียนรู้ถึงกฎเกณฑ์ต่างๆ ของธรรมชาติ แต่การที่เรียนรู้กฎธรรมชาติอย่างถูกต้องนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งเป็นเหตุให้นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันต้องเปลี่ยนความคิดในเรื่องที่เกี่ยวกับปรากฏการณ์และสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในจักรวาลพิภพ พวกเขาจะทำการทดลองต่างๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ในเฉพาะสิ่งที่เป็นสสารวัตถุเท่านั้น เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มนุษย์สามารถพิสูจน์หรือมองเห็นได้

    แต่สติปัญญาของมนุษย์เราสามารถรู้ได้ว่านอกเหนือไปจากจักรวาลแห่งสสารวัตถุนั้น มีสิ่งที่อยู่สูงกว่า อยู่เหนือกว่า ซึ่งหากเราจะกล่าวถึงผู้ที่เกินหรืออยู่สูงเหนือกว่าจักรวาลนั้นควรจะยากกว่า เพราะเราไม่อาจมองเห็นหรือพิสูจน์โดยอาศัยประสาททั้งห้าได้ เราต้องอาศัยความคิดและสติปัญญาเท่านั้น จึงเป็นเหตุให้บรรดานักปราชญ์แม้จะเป็นผู้ที่มีความเฉลียวฉลาดที่สุดในโลกก็อาจจะเกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย เมื่อให้มาอธิบายถึง “ผู้ที่อยู่เหนือจักรวาล” พระเยซูเจ้าทรงกล่าวไว้ว่า “ไม่มีใครในโลกที่จะรู้จักและพูดถึงพระเจ้าสูงสุดเหนือจักรวาลได้ นอกจากผู้มาจากพระเจ้าเอง” อย่างไรก็ตาม มนุษย์เราสามารถเข้าใจได้ว่า โลกที่เราอยู่นี้มีปรากฏการณ์ต่างๆ มีกฎธรรมชาติ มีฤดูกาล มีสสารที่จะสลายเสียไป และในที่สุด ก็จะสูญหายไปหมด แรกเริ่มเดิมที โลกปราศจากสิ่งมีชีวิต แต่ต่อมาสิ่งมีชีวิตต่างๆ จึงค่อยอุบัติขึ้น ชีวิตเหล่านี้จะเกิดขึ้นเองไม่ได้ สิ่งต่างๆ เหล่านี้มีผู้ทรงปัญญา มีฤทธานุภาพที่จะจัดโลกจักรวาลให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่เป็นระเบียบ เป็นผู้ที่จะบันดาลให้สิ่งต่างๆ ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตอุบัติขึ้น นอกจากนี้เรายังสามารถเข้าใจได้ว่า มนุษย์ไม่อาจประสบกับความอิ่มใจที่บริบูรณ์จากสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีอยู่ในโลกนี้ แต่ต้องแสวงหาความสุขแท้จากสิ่งที่อยู่เหนือและสูงไปกว่าจักรวาลแห่งสสารวัตถุ

หมายเหตุ “โลกซึ่งเป็นระเบียบเรียบร้อย” มิได้หมายความว่าสรรพสิ่งทุกอย่างในโลกนี้จะเป็นระเบียบเรียบร้อยโดยปราศจากข้อผิดพลาด แต่ความหมายที่แท้จริงนั้น หมายความว่า โลกมีกฎธรรมชาติที่น่าพิศวง อันย่อมหมายถึงว่า จะต้องมีผู้หนึ่งซึ่งทรงสติปัญญาสูงสุด เป็นผู้วางกฎเกณฑ์เหล่านี้ขึ้นมา ส่วนความยุ่งยากต่างๆ ที่อุบัติขึ้นมาในภายหลังนั้นเป็นผลสืบเนื่องมาจากความชั่วของมนุษย์และธรรมชาติของสสาร ที่จะต้องมีการผันแปรอยู่ตลอดเวลา ขอให้พิจารณาข้อความในพระวรสาร ซึ่งเขียนโดยท่านยอห์น บทที่ 1 ข้อ 1-18 ดังนี้
ยน. 1:1 เมื่อแรกเริ่มนั้น พระวจนาตถ์ทรงดำรงอยู่แล้ว พระวจนาตถ์ประทับอยู่กับพระเจ้าและพระวจนาตถ์เป็นพระเจ้า
ยน. 1:2 พระองค์ประทับอยู่กับพระเจ้าแล้วตั้งแต่แรกเริ่ม
ยน. 1:3 พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งอาศัยพระวจนาตถ์ ไม่มีสักสิ่งเดียวที่พระเจ้าไม่ทรงสร้าง โดยทางพระวจนาตถ์
ยน. 1:4 ชีวิตอยู่ในพระองค์และชีวิตเป็นแสงสว่างสำหรับมนุษย์
ยน. 1:5 แสงสว่างส่องในความมืดและความมืดกลืนแสงสว่างนั้นไม่ได้
ยน. 1:6 พระเจ้าทรงส่งชายผู้หนึ่งมาเขาชื่อ ยอห์น
ยน. 1:7 เขามาในฐานะพยานเพื่อเป็นพยานถึงแสงสว่าง
ยน. 1:8 เขาไม่ใช่แสงสว่าง แต่เป็นพยานถึงแสงสว่าง
ยน. 1:9 แสงสว่างแท้จริงซึ่งส่องสว่างแก่มนุษย์ทุกคนกำลังจะมาสู่โลก
ยน. 1:10 พระวจนาตถ์ประทับอยู่ในโลก และโลกถูกสร้างโดยอาศัยพระองค์ แต่โลกไม่รู้จักพระองค์
ยน. 1:11 พระองค์เสด็จมาสู่บ้านเมืองของพระองค์ แต่ประชากรของพระองค์ไม่ยอมรับพระองค์
ยน. 1:12 ผู้ใดที่ยอมรับพระองค์คือผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ประทานอำนาจให้ผู้นั้นกลายเป็นบุตรของพระเจ้า
ยน. 1:13 เขามิได้เกิดจากสายเลือด มิได้เกิดจากความปรารถนาตามธรรมชาติ มิได้เกิดจากความต้องการของมนุษย์แต่เกิดจากพระเจ้า
ยน. 1:14 พระวจนาตถ์ทรงรับธรรมชาติมนุษย์และเสด็จมาประทับอยู่ในหมู่เรา เราได้เห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ เป็นพระสิริรุ่งโรจน์ที่ทรงรับจากพระบิดา ในฐานะพระบุตรเพียงพระองค์เดียว เปี่ยมด้วยพระหรรษทานและความจริง
ยน. 1:15 ยอห์นเป็นพยานถึงพระองค์ และประกาศว่าผู้ที่มาภายหลังข้าพเจ้าได้นำหน้าข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า’
ยน. 1:16 จากความไพบูลย์ของพระองค์ เราทุกคนได้รับพระหรรษทานต่อเนื่องกัน
ยน. 1:17 เพราะพระเจ้าได้ประทานธรรมบัญญัติผ่านทางโมเสส แต่พระหรรษทานและความจริงมาทางพระเยซูคริสตเจ้า
ยน. 1:18 ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย พระบุตรเพียงพระองค์เดียวผู้สถิตอยู่ในพระอุระของพระบิดานั้นได้ทรงเปิดเผยให้เรารู้
    จากข้อความดังกล่าวจะเห็นได้ว่าเรื่องที่พูดถึงในพระวรสารนี้เป็นเรื่องของพระเจ้าสูงสุด แม้มนุษย์จะไม่สามารถเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้งบริบูรณ์แต่ก็พอจะเรียนรู้ได้บ้าง ตั้งแต่สมัยโบราณ บรรดานักปราชญ์ได้เคยพิจารณาถึงโลกเรานี้พร้อมทั้งจักรวาล และได้ค้นพบว่าสรรพสิ่งและสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ไม่มีอะไรถาวร ไม่มีอะไรที่มั่นคง ทั้งยังตั้งข้อสันนิษฐานอีกต่อไปว่า จะต้องมีอะไรที่ถาวรจำเป็น ต้องมีผู้เป็นเหตุให้สรรพสัตว์ทั้งหลายมีความเป็นอยู่ได้ เมื่อเห็นว่าสิ่งต่างๆ เป็นชีวิตที่ชั่วคราว ซึ่งมีการเกิดและการสลาย ฉะนั้นจึงยอมรับว่าจะต้องมีผู้หนึ่งซึ่งทรงชีวิตตลอดนิรันดร์ เป็นผู้ที่ไม่เกิดและไม่รู้จักตาย จะเป็นผู้ประทานชีวิตอื่นๆ ได้อุบัติขึ้นมา ดังนั้น ตามข้อความคิดของเหล่านักปราชญ์และจากการพิจารณาข้อความในหนังสือศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเราเรียกว่า “พระคัมภีร์” หรือ “ไบเบิ้ล” เราสามารถรู้ได้ว่าจะต้องมีพระเจ้าสูงสุด ซึ่งทรงมีลักษณะดังต่อไปนี้
1.    ทรงพระบรมเดชานุภาพสูงสุด
2.    ทรงมีชีวิตชั่วนิรันดร ไม่เกิดและไม่รู้จักตาย
3.    ทรงเป็นบ่อเกิดแห่งชีวิตทั้งปวง
4.    ทรงพระเมตตากรุณาธิคุณและความรักอันเหลือล้น
5.    ทรงคุณงามความดีบริบูรณ์และปราศจากมลทินใดๆ
6.    ทรงความยุติธรรม เพราะทรงพิพากษาโดยรอบรู้ในเหตุผลทั้งปวง
7.    ทรงเป็นอยู่โดยไม่ขึ้นกับธาตุและสิ่งทั้งปวงในจักรวาล คือมิได้ทรงเป็นสสารที่สูญสลายได้ แต่ทรงเป็น “จิตบริบูรณ์”

จิตนั้นคืออะไร
    เราเข้าใจคำว่า “จิต” คืออะไรนั้นได้ เพราะเราเองก็มีจิตอยู่ในร่างกาย จิตประกอบด้วยสติปัญญาและอำเภอใจ แต่จิตที่บริบูรณ์นั้นไม่จำเป็นต้องมีร่างกาย จึงไม่ต้องการที่อยู่และไม่ขึ้นกับกาลเวลา
    ในบทพระวรสารที่เราได้อ่านข้างต้น จะพบว่า พระวจนาตถ์นั้นมีอยู่แรกเริ่มเดิมที คือว่ามีอยู่เสมอและผู้ที่เป็นอยู่เสมอก็คือ พระเจ้าสูงสุดเท่านั้น เรายังค้นพบต่อไปอีกว่าอาศัยพระวจนาตถ์นี้เอง พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งและไม่มีสักสิ่งเดียวที่พระองค์ไม่ได้ใช้พระวจนาตถ์สร้างขึ้นมา ข้อนี้ทำให้รู้สึกพิศวงใจเพราะเห็นว่าพระเจ้านั้นคือ พระวจนาตถ์ ในเมื่อพระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่งโดยอาศัยพระวจนาตถ์ก็แสดงว่ามี 2 พระบุคคล ซึ่งพระเจ้าทรงให้มนุษย์รู้จักสิ่งที่เราเองไม่สามารถรู้จักได้ ในพระเจ้าสูงสุดนั้นมี 3 พระบุคคลซึ่งทั้ง 3 เป็นพระเจ้าเดียว ในพระวรสารตอนนี้ได้กล่าวถึงเพียง 2 พระบุคคล คือพระบิดาและพระบุตร เรามักเข้าใจกันว่า พระบุตรบังเกิดจากพระบิดาหรือพระบุตรมาหลังพระบิดา แต่การเข้าใจแบบนี้ไม่ถูกต้อง เพราะ 2 พระบุคคลนี้ทรงเท่าเทียมกันและทรงเป็นอยู่พร้อมกัน เราควรตรึกตรองและพิจารณาอย่างสุขุม พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่และสูงส่งกว่าที่มนุษย์จะสามารถเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง เราจะไม่สามารถเข้าใจถึงชีวิตของพระองค์ได้ว่าเป็นอย่างไร เพราะความคิดของเรามีขอบเขตจำกัดเพียงแค่จากสิ่งที่มองเห็นและสัมผัสได้ โดยอาศัยประสาททั้งห้าเท่านั้น ฉะนั้น เมื่อเราพูดถึงสิ่งที่เรามองไม่เห็นอันเป็นสิ่งที่ผิดกันกับสิ่งที่มีอยู่ในจักรวาล เราจึงไม่มีคำศัพท์ที่เหมาะสมหรือใช้ให้ถูกต้องได้ เป็นการยากที่จะเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ เพราะสติปัญญาของมนุษย์มีขอบเขตจำกัด ส่วนพระเจ้าไม่มีขอบเขต จึงเกินความสามารถมนุษย์ เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ต้องแปลกใจ เมื่อเราพูดถึงพระแล้วมักจะมีอะไรๆ หลายๆ อย่างที่เราไม่สามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ หากเราสามารถเข้าใจถึงพระเจ้าสูงสุดได้อย่างชัดเจน นั้นหมายความว่า เรามีความเท่าเทียมเสมอพระเจ้า หรือเราทำให้พระองค์ทรงลดตำแหน่งลงมาเท่ากับมนุษย์นั่นเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

ข้อพิสูจน์ว่ามีพระเจ้าสูงสุด
    การที่มีพระเจ้าสูงสุดนั้น เป็นความคิดที่มนุษย์ตั้งแต่สมัยโบราณสามารถรู้ได้ เมื่อมนุษย์เจริญก้าวหน้ามีความรู้มากขึ้น ซึ่งมีนักปราชญ์ที่พยายามคิดตามหลักเหตุผล ได้พยายามอธิบายวิธีที่จะทำให้เราสามารถพิสูจน์ได้ว่า “ต้องมีพระเจ้าสูงสุด” นักปราชญ์ชาวกรีกที่สำคัญๆ อาทิเช่น ท่านโซคราเตสและเปลโต ได้หาวิธีพิสูจน์ความเป็นอยู่ของพระเจ้า แต่นักปราชญ์ผู้ที่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน และสามารถพิสูจน์ได้โดยปราศจากข้อสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น คือนักปราชญ์อริสโตเติล ท่านโทมัส อไควนัส ซึ่งเป็นนักปราชญ์แห่งพระศาสนจักร มีชีวิตอยู่ในราว ค.ศ. 1225-1275 ได้รวบรวมข้อพิสูจน์ต่างๆ ของบรรดานักปราชญ์สมัยก่อน และสรุปได้ว่า เพื่อจะค้นหาความจริงถึงความเป็นอยู่ 5 วิธีด้วยกัน ซึ่งท่านเรียกว่า “หนทางไปสู่พระเจ้า 5 สาย”
เราสามารถพิสูจน์ได้ดังนี้คือ
1.    จากสิ่งต่างๆ ซึ่งมีความเป็นอยู่ชั่วคราว เราสามารถรู้ถึงผู้หนึ่งที่มีความเป็นอยู่อย่างถาวร หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ จากสิ่งที่เป็นอยู่หรือจะไม่เป็นอยู่ก็ได้ เราสามารถเรียนรู้ถึงผู้จำเป็นต้องเป็นอยู่ จากสิ่งต่างๆ ที่เรารู้และเห็นว่ามีความเป็นอยู่นั้นได้บังเกิดขึ้นในอดีตและจะต้องสูญหายไปในอนาคต ความเป็นอยู่ของสิ่งเหล่านี้ไม่เป็นสิ่งที่จำเป็น เมื่อเรารู้จักสิ่งเหล่านี้ดีและรู้ว่าเดิมนั้นมันไม่เป็นอยู่ ดังนั้น เพื่อจะบังเกิดและมีความเป็นอยู่ มันต้องยอมรับความเป็นอยู่จากผู้หนึ่งผู้ใดที่เป็นอยู่แล้ว และมีความสามารถหรืออำนาจที่จะให้มันเป็นอยู่ได้ สิ่งที่เป็นอยู่ก็ได้รับความเป็นอยู่มาโดยลำพังแล้วไม่ได้ ผู้ไม่มีความเป็นอยู่ในตัวเองจะรับความเป็นอยู่ต่อๆ กันมาอย่างไม่มีการเริ่มต้นย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะคัดค้านกับหลักเหตุผลที่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีการเริ่มต้น จึงต้องมีผู้หนึ่งซึ่งไม่ได้รับความเป็นอยู่จากสิ่งอื่นใด แต่มีความเป็นอยู่ในตนเอง และมีอำนาจที่จะให้สิ่งอื่นๆ รับความเป็นอยู่ ผู้นั้นคือ “ผู้จำเป็นมีอยู่” เพราะหากปราศจากผู้จำเป็นมีอยู่นี้จะไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถมีความเป็นอยู่ ได้ยกตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ถ้มีคนหนึ่งคนใดอยู่ในโลกนี้ เราต้องแน่ใจว่าเขาต้องมีมารดา ซึ่งอาจจะยังเป็นอยู่หรือว่าตายไปแล้ว แต่ต้องมีแน่นอน โดยไม่ต้องสงสัย ผู้จำเป็นมีอยู่นี้ไม่มีจุดเริ่มต้น เพราะเป็น “ผู้มีความเป็นอยู่เสมอ” อยู่แล้วนั่นเอง เพราะหากจะต้องบังเกิดก็ไม่เป็นผู้ริเริ่มหรือเริ่มต้น ต้องหาผู้เริ่มต้นอีกต่อๆ ไป ซึ่งเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ ผู้จำเป็นมีอยู่นี้ ในพระศาสนจักรคาทอลิกเรียกว่า “พระเจ้าสูงสุด” ดังนั้น สสารและสิ่งมีชีวิตทั้งหลายรวมทั้งมนุษย์ซึ่งต่างมีความเป็นอยู่เพียงชั่วคราว จะต้องได้รับความเป็นอยู่นั้นจากผู้ที่เป็นอยู่ถาวรหรือผู้จำเป็นมีอยู่
2.    จากกฎธรรมชาติที่เป็นระเบียบเรียบร้อย เราสามารถรู้ได้ว่า มีผู้ทรงปัญญาจัดสิ่งต่างๆ ที่มีระเบียบเรียบร้อยเหล่านั้น วิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบันเจริญก้าวหน้ามาก ทำให้เราสามารถเรียนรู้และเข้าใจถึงความเป็นไปของสิ่งต่างๆ ในโลกว่าเป็นอย่างไรและมีเหตุผลอย่างไร แม้แต่ใบไม้เพียงใบเดียวก็เป็นสิ่งที่น่าพิศวง มันมีส่วนประกอบที่ทำงานพร้อมเพรียงกันโดยอาศัยพลังงานของแสงแดด ซึ่งแสดงว่าต้องมีผู้ทรงปัญญา เป็นผู้จัดให้มันสามารถทำงานอันสำคัญของมันได้ สิ่งเล็กที่สุด อะตอมเพียงอะตอมเดียวหรือเซลล์เดียว สามารถแสดงถึงกฎธรรมชาติที่เป็นระเบียบและน่าพิศวง จะเห็นได้ว่าสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้มีความเป็นอยู่ของมันเพื่อความดีของสิ่งทั้งปวงในโลก เช่นเดียวกันกับวิถีโคจรของดวงดาวต่างๆ ซึ่งแสดงให้เห็นชัดถึงความเป็นระเบียบของจักรวาล ท่านไอสไตน์เป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ เคยกล่าวว่า “ธรรมชาติเป็นอยู่ตามหลักเหตุผลและมีกฎเกณฑ์ที่เป็นระเบียบ คนที่มีสติปัญญา หากพยายามเรียนรู้จริงๆ แล้วจะต้องเข้าใจ เพราะสิ่งต่างๆ มิได้เกิดขึ้นอย่างไม่มีระเบียบแบบแผน แต่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดภายใต้กฎเกณฑ์ของจักรวาล โดยพระเจ้าสูงสุดเป็นผู้ที่ทรงกำหนดกฎเหล่านี้ขึ้นมา”
3.    ใจมนุษย์ต้องการและแสวงหาพระ มนุษย์ทุกยุคทุกสมัยต่างมุ่งหาพระเสมอ เป็นการเรียกร้องฝ่ายจิตที่มนุษย์จำต้องแสวงหาผู้ที่สร้างตนขึ้นมา เมื่อมนุษย์คนหนึ่งคนใดไม่สามารถรู้จักพระอย่างแท้จริง เขาจะมีความกลัวและพยายามที่จะแสดงออก ด้วยการนมัสการอำนาจลึกลับที่ตนเองไม่เข้าใจจะเห็นได้ มีคนมากมายที่กลัวผี เชื่อถือโชคลางและไสยศาสตร์ ทั้งนี้เนื่องจากว่าตัวเขาไม่สามรถรู้จักพระเจ้าแท้จริง จึงรู้สึกกลัวอำนาจต่างๆ ที่อยู่ในโลกและไม่รู้จักวิธีบังคับอำนาจเหล่านั้น ใจมนุษย์จึงจำเป็นต้องการที่จะแสวงหาพระเจ้าเพื่อให้พระองค์เข้าครอบครองใจตน
4.    การอัศจรรย์ที่เราพิสูจน์ได้ตามประวัติศาสตร์ พระเจ้าทรงกระทำให้ธรรมชาติเป็นไปตามกฎระเบียบของมัน โดยที่มนุษย์ไม่ทันสังเกต เพราะดูเหมือนเป็นสิ่งธรรมดาทุกอย่างเป็นไปตามกฎเกณฑ์ แต่มนุษย์ตระหนักถึงความจริงที่ว่า ไม่มีใครในโลกจะทำลายกฎของธรรมชาติได้ มนุษย์สามารถทำอะไรได้เพราะอาศัยกฎธรรมชาตินั่นเอง แต่สำหรับพระเจ้าผู้ทรงตั้งกฎธรรมชาติ พระองค์จำต้องอยู่เหนือธรรมชาติ ฉะนั้น พระองค์สามารถเปลี่ยนแปลงกฎธรรมชาติได้ และหลายครั้งทีเดียวที่พระองค์ได้ทรงกระทำเช่นนี้ เรามีหลักฐานและพยานตามประวัติศาสตร์ที่ยืนยันว่า ในกฎธรรมชาตินั้นบางครั้งเปลี่ยนแปลงได้ด้วยผู้มีอำนาจสูงกว่า อัศจรรย์ต่างๆ ซึ่งบันทึกไว้ในพระคัมภีร์เป็นความจริงได้เกิดขึ้นจริงๆ อย่างที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ ผู้ที่ไม่เชื่อถึงเรื่องอัศจรรย์เหล่านี้อาจจะโต้แย้งว่าก่อนหน้านั้นมนุษย์ยังไม่เจริญ ไม่รู้จักอำนาจธรรมชาติ จึงถือว่าเป็นสิ่งแปลกประหลาดหรือสิ่งผิดปกติ ทั้งยังถือว่าเป็นสิ่งอัศจรรย์ ทั้งๆ ที่มันเป็นไปตามธรรมชาติ ผู้ที่พูดเช่นนี้ไม่สามารถอธิบายได้ว่า ในสมัยเรานี้ ซึ่งเป็นสมัยวิทยาศาสตร์ได้เจริญก้าวหน้าและเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป ได้มีนักวิทยาศาสตร์มากมายต่างมีเครื่องทดลองและพิสูจน์ถึงกฎธรรมชาติหลายต่อหลายอย่างและมีอัศจรรย์ขึ้น โดยที่นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ว่าถ้าเป็นไปตามหลักกฎธรรมชาติแล้วย่อมเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้น ถ้าอัศจรรย์ได้เกิดขึ้นจริงและทุกคนได้เห็นว่าเกิดขึ้นจริงๆ แสดงว่ามีผู้ทรงอำนาจที่ทรงอยู่เหนือกฎธรรมชาติเป็นผู้เปลี่ยนแปลงมัน ผู้นี้คือพระเจ้าสูงสุดนั่นเอง

อัศจรรย์นั้นคืออะไร
ที่เราเรียกว่าอัศจรรย์นั้นต้องเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน และไม่ใช่เห็นว่าเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดแล้วก็ถือว่าเป็นอัศจรรย์ อัศจรรย์จะต้องเป็นสิ่งที่ตามธรรมชาติแล้วจะเป็นไปไม่ได้ เพราะทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามกฎธรรมชาติจึงจะถือเป็นอัศจรรย์ได้ก็ต่อเมื่อผู้มีอำนาจเหนือกว่าธรรมชาติ ทำบางสิ่งบางอย่างให้ผิดกฎธรรมชาติหรือยกเว้นกฎธรรมชาตินั้น แม้นปัจจุบันนี้ ในพระศาสนจักรคาทอลิกได้มีอัศจรรย์ขึ้นบ่อยๆ การประกาศแต่งตั้งผู้หนึ่งผู้ใดที่สิ้นบุญไปแล้วว่าเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์หรือเป็น “นักบุญ” จะต้องมีอัศจรรย์เกิดขึ้นให้เห็นประจักษ์แจ้งอย่างน้อย 3 ครั้ง นอกจากนี้ เราจะเห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ที่น่าพิศวงได้ที่เมืองลูร์ด ฟาติมา ที่ซีราคิวส์ และที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ซึ่งมีอัศจรรย์เกิดขึ้นเนืองนิตย์ อันเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดเป็นผู้ควบคุมและกระทำอัศจรรย์นั้น กระทำสิ่งที่เหนือธรรมชาติ เหมือนดังสมัยก่อนๆ ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์
5.    มนุษย์ทุกสมัย ทุกชาติ ทุกภาษา ต่างมีความเชื่อในพระเจ้าสูงสุด ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งขึ้นมา คนที่ไม่เชื่อในข้อนี้มีส่วนน้อยและเมื่อไม่ยอมรับความจริงในข้อนี้ ตัวเองต้องต่อสู้กับความรู้สึกนึกคิดที่เที่ยงตรงในใจไม่ใช่น้อย ตั้งแต่สมัยโบราณ ในประวัติศาสตร์ของโลกจะเห็นว่าไม่มีชาติใดที่ปราศจากศาสนาและไม่มีพระเจ้า ฉะนั้นความคิดของมนุษย์จึงยอมรับรู้ว่าต้องมีพระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่ง ถึงจะมีข้อแตกต่างกันมากในการอธิบายหรือในการแสดงออกซึ่งเป็นการนมัสการ แต่ทุกคนก็ยอมรับว่ามีพระเจ้าสูงสุด
หากมนุษย์ไม่ยอมรับว่ามีพระเจ้าสูงสุด ผู้เป็นอยู่เองและทรงกระทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น มนุษย์ไม่มีวันที่จะอธิบายได้ว่าสสารต่างๆ มาจากไหน พลังงานเกิดขึ้นได้อย่างไร มีใครเป็นผู้จัดการให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย จิตมาจากไหน สติปัญญา เสรีภาพ ศีลธรรมจะมีความหมายอะไรและจะมีหลักอย่างไร ฉะนั้นสำหรับผู้ที่ไม่ยอมรู้จักพระเจ้าผู้สูงสุด จึงจำเป็นต้องไม่คิดถึงสิ่งเหล่านี้ เขาไม่มีหลักอะไรที่จะรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคม จะมีแต่ความเคียดแค้น เพราะเขาไม่มีหลักศีลธรรมและเขาไม่รู้จักพิพากษา เขาจะมุ่งแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวแต่ฝ่ายเดียว เพราะเขาไม่คิดและเชื่อว่ามีผู้ที่ล่วงรู้ถึงกิจการที่เขาได้กระทำทั้งหมด มีนักปราชญ์บางท่านกล่าวว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีพระเจ้าสูงสุด เพราะถ้าเราคิดพิจารณาอย่างถี่ถ้วนว่าพระเจ้าคือใคร เราสามารถเข้าใจได้ว่าพระเจ้าสูงสุดนั้น ทรงเป็นต้นเหตุของสรรพสิ่งทั้งหลาย เพราะพระองค์มีอยู่เสมอ ไม่มีใครสร้างพระองค์มา ดังนั้น หากปราศจากพระเจ้า จะไม่มีอะไรที่เป็นอยู่ได้ เมื่อเรามีความคิดถึงพระเจ้าสูงสุด ย่อมหมายความว่า เป็นผู้ที่เป็นอยู่และจำเป็นต้องมีอยู่ เพราะเราเป็นอยู่ได้เนื่องจากได้รับความเป็นอยู่นั้นจากพระองค์แต่ผู้เดียว

ใครสร้างพระเจ้า
    มีหลายๆ คนที่ถามอยู่เสมอๆ เป็นคำถามเดีวกันเมื่อพูดถึงพระผู้สร้างโลก พระเจ้าผู้สูงสุดว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งมา ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีผู้สร้างมาและชีวิตบังเกิดเองไม่ได้ ชีวิตต้องมาจากชีวิต สิ่งที่มีชีวิตจึงต้องสืบทอดจากสิ่งหนึ่งที่มีชีวิต ดังนั้น มีปัญหาว่าใครเป็นผู้สร้างพระเจ้า พระเจ้ารับชีวิตมาจากไหน บางคนคิดว่าตอบถามนี้ยากนัก คนที่ถามคิดว่าไม่มีใครสามารถตอบได้ ความจริงตอบได้ง่ายมาก จนกระทั่งคนที่ตอบกลัวว่าเมื่อตอบแล้ว คนที่รับคำตอบนั้นจะเห็นว่าคำถามของเขาไม่มีความหมาย จะรู้สึกน้อยจึงไม่กล้าตอบ
    หากมีคนหนึ่งบอกว่าของที่มีรสเค็มรับรสเค็มจากเกลือ แล้วเกลือรับรสเค็มมาจากไหน ตอบได้ไหม ของหวานรับรสหวานจากน้ำตาล แล้วน้ำตาลรับรสหวานมาจากไหน คิดว่าใครๆ ก็ตอบได้แล้ว คือเกลือมีรสเค็มในตัวของมันเอง ไม่ต้องรับมาจากไหน เพราะธรรมชาติของเกลือมีรสเค็มอยู่แล้ว น้ำตาลก็มีรสหวานในตัวของมันเอง เพราะธรรมชาติของน้ำตาลมีรสหวานอยู่แล้ว ของที่ไม่มีรสหวาน ไม่มีรสเค็ม ต้องรับจากที่อื่น แต่หากว่าธรรมชาติของอีกสิ่งหนึ่งมีความเป็นอยู่ที่มีรสเค็ม รสหวานในตัวเองแล้ว ไม่จำเป็นต้องรับรสเค็ม รสหวานมาจากไหนอีก หากว่าเราต้องการอะไรซึ่งให้รสเค็มแก่เกลือแสดงว่านั้นไม่ใช่เกลือ หรืออะไรซึ่งให้รสหวานแก่น้ำตาล แสดงว่านั่นไม่ใช่น้ำตาล เช่นเดียวกัน เมื่อเราพูดถึงพระเจ้า พระเจ้าเป็นบ่อเกิดแห่งชีวิต ต้องมีชีวิตในพระองค์เอง ธรรมชาติของพระองค์ต้องมีชีวิต หากมีคำถามว่าพระเจ้าเกิดจากไหนหรือรับชีวิตจากไหน แสดงว่าเราพูดถึงอีกอย่างหนึ่งซึ่งไม่ใช่พระเจ้า เพราะถ้าเป็นพระเจ้าแล้วก็ต้องมีชีวิต ถ้าถามว่าใครสร้างพระเจ้า เช่นเดียวกันเป็นการถามถึงอีกอย่างหนึ่งซึ่งไม่ใช่พระเจ้าเช่นกัน เพราะถ้าเป็นพระเจ้าต้องมีความเป็นอยู่ในพระองค์เอง มิฉะนั้นไม่ใช่พระเจ้า
    ในเมื่อถามว่าพระเจ้าเกิดจากไหน หรือใครสร้างพระเจ้า เท่ากับถามว่าเกลือรับรสเค็มมาจากไหน น้ำตาลรับรสหวานมาจากไหนนั่นเอง

ที่มา: หนังสือความสว่างที่แท้จริง เล่ม 1 โดย เอฟ. ศักดิ์