แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

ข้าพเจ้าเชื่อในพระเจ้า
    คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ “พระเจ้า” คือใคร?
    คำตอบที่พอจะอธิบายได้มีอยู่หลายประเด็นเหมือนกัน จึงขออธิบายเป็นประเด็นไป

    ประเด็นแรก    พระเป็นเจ้าทรงเป็น “จิต”    คำว่า “จิต” คือ เป็นอยู่ มีอยู่จริง แต่ไม่สามารถจะสัมผัสได้ด้วยประสาททั้ง 5 คือ มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ ไม่มีกลิ่น ไม่มีรสเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม อะไรทั้งสิ้น ไม่สามารพจะได้ยินด้วยหู
    เมื่อกล่าวถึง “จิต” เราถือว่า มีจิตอยู่ 3 ชนิด คือ
    1. จิตของพระเจ้า    ซึ่งถือว่ายิ่งใหญ่และสูงสุด เพราะพระองค์ดำรงอยู่นิรันดร กล่าวคือ ไม่มีเริ่มต้น (ไม่มีใครสร้างพระองค์) ไม่จบสิ้น (ทรงเป็นอยู่ด้วยพระองค์เอง)
    2. จิตเทวดา    เป็นจิตที่พระเจ้าทรงสร้างมา จึงมีเริ่มต้นและดำรงอยู่นิรันดรไม่จบสิ้น ซึ่งในจำนวนเทวดาที่พระเจ้าทรงสร้างมานี้ ก็มีจำนวนหนึ่งที่จองหองอยากเป็นใหญ่ เป็นกบฏ พระเจ้า จึงทรงลงโทษให้เป็น “ปีศาจ” หรือ “จิตชั่ว” ซึ่งต่อมาได้เป็นตัวการสำคัญในการล่อลวงมนุษย์ให้ทำบาป
    3. จิตมนุษย์    พระองค์ทรงสร้างจิตมนุษย์ขึ้นมา แตกต่างจากจิตเทวดา กล่าวคือ ทรงให้จิตของมนุษย์นั้นต้องอยู่รวมกับร่างกาย จะอยู่ลอยๆ ไม่ได้...ซึ่งเราเรียกอีกอย่างว่า “วิญญาณ”
    คำว่า “มนุษย์” มาจากคำว่า มน/มโน ซึ่งแปลว่า “ใจ” ดังนั้น มนุษย์จึงแปลว่า “ผู้มีจิตใจ” ...ถึงตรงนี้เราจึงเข้าใจได้ว่ามนุษย์ประกอบด้วย 2 ส่วนที่สำคัญ คือ กาย (วัตถุ) + วิญญาณ (จิต,ซึ่งไม่ใช่วัตถุ)    จะแยกจากกันไม่ได้...เมื่อเป็นเช่นนี้ ความตายในมิติของคริสตชน ก็คือ การที่วิญญาณแยกจากร่างกายอย่างเด็ดขาด เราจึงไม่เรียกร่างที่นอนอยู่ในโลงศพว่าคนหรือมนุษย์ แต่เราจะเรียกว่า ”ศพ”
    ประเด็นที่ 2     พระเป็นเจ้าทรงเป็นองค์ความดีบริบูรณ์อย่างไม่มีขอบเขต พูดง่ายๆ ก็คือ ในพระเจ้าไม่มีข้อบกพร่องหรือความผิดใดๆ ทั้งสิ้น พระองค์ทรงสมบูรณ์ในพระองค์เอง ด้วยพระองค์เองอย่างเต็มเปี่ยม    ซึ่งก็หมายถึงการที่พระองค์ทรงเป็นองค์แห่งความรักด้วยเช่นกัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทรงรักมนุษย์อย่างหาที่สุดมิได้
    ถ้าจะให้เปรียบเทียบในประเด็นนี้ ต้องบอกว่า พระองค์คือ ความดี ความสมบูรณ์ทั้งหลายทั้งสิ้นในโลกนี้ ในสวรรค์ และในทุกแห่งทั้งในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคต
    ประเด็นที่ 3    พระเจ้าทรงเป็นหนึ่งเดียวประกอบด้วย 3 พระบุคคล ต่างกัน เท่าเสมอกัน หรือ ที่เรารู้จักกันดีในพระนาม “พระตรีเอกภาพ”    เกี่ยวกับคำอธิบายเรื่องพระตรีเอกภาพ พระเจ้าสามพระบุคคลเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นข้อความเชื่อที่เขามักจะอธิบายกันด้วยการยกตัวอย่างตามประสามนุษย์ว่า คล้ายๆ กับรูปสามเหลี่ยมด้านเท่ารูปหนึ่ง ที่เป็นรูปสามเหลี่ยมเพียงรูปเดียว แต่มี 3 ด้าน หรือ 3 มุม ที่เท่ากัน ไม่มีด้านใดหรือมุมใดใหญ่หรือเล็กกว่ากัน และจะต้องรวมอยู่ด้วยกันทั้ง 3 ด้าน จะแยกกันหรือขาดด้านใดด้านหนึ่งไม่ได้ เพราะถ้าขาดไปหรือไม่อยู่ด้วยกันก็จะไม่เป็นสามเหลี่ยมรูปดังกล่าว... แต่ก็ต้องระวังอย่าคิดว่าพระองค์คือรูปสามเหลี่ยม เพราะที่จริงแล้ว เป็นเพียงแค่การเปรียบเทียบประสามนุษย์เท่านั้น
    สำหรับพระนามที่เราถวายแด่พระบุคคลทั้ง 3 ว่า พระบิดา พระบุตร และพระจิต นั้น คิดว่าเป็นเรื่องที่เราถือเอาพระภารกิจที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ มาเป็นหลักในการถวายพระนามนั่นเอง กล่าวคือ
    พระบิดา    หมายถึง พระเจ้าผู้ทรงสร้าง ทรงให้กำเนิดมนุษย์มา จึงถือเป็นบทบาทของ “พ่อ” เราจึงถวายพระนามพระองค์ว่า “พระบิดา”
    พระบุตร    หมายถึง พระเจ้าที่ทรงลงมาบังเกิดในโลกนี้เพื่อกอบกู้มนุษย์ให้รอดพ้นจากบาป จากความตายฝ่ายวิญญาณ เราจึงถวายพระนามของพระองค์ ว่า “พระบุตร”
    พระจิต    หมายถึง พระเจ้าที่ทรงประทานพระพรช่วยเหลือมนุษย์ให้ดำเนินชีวิตในปัจจุบัน ด้วยการประทานพระพรพิเศษให้มนุษย์เข้มแข็งต่อสู้กับการประจญ ต่อความไม่ดีต่างๆ เราจึงถวายพระนามพระองค์ว่า “พระจิต”
    เคยมีหลายคนสงสัยว่า ถ้าเป็นเช่นนั้น เมื่อพระบิดาทรงสร้างโลกและสิ่งสารพัดนั้น พระบุตรและพระจิตสร้างด้วยหรือเปล่า หรือ เมื่อพระบุตรเสด็จลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ พระบิดาและพระจิตลงมาด้วยหรือเปล่า...คำตอบนี้ พี่น้องก็สามารถตอบได้แล้ว ว่า ทุกพระบุคคลทรงกระทำทุกอย่างด้วยกัน เพราะเป็นพระเจ้า พระองค์เดียวกัน
    นอกจากนี้ยังมีข้อสงสัยอีกว่า ใครเกิดก่อนเกิดหลังหรือใครใหญ่ใครเล็กกว่ากัน ถ้าคิดตามประสามนุษย์ พระบิดาน่าจะมาก่อนใหญ่ที่สุด พระบุตรน่าจะมาทีหลังและเล็กกว่า...พระจิตน่าจะเล็กที่สุด...แต่ถ้าพี่น้องคิดถึงสามเหลี่ยมด้านเท่า ก็จะพอเข้าใจว่า พระบุคคลทั้ง 3 ทรงเท่าเสมอกันจริงในฐานะ พระเจ้าองค์เดียว...
    ที่สำคัญพี่น้องต้องไม่ลืมว่า เรากำลังอยู่ในเรื่องของพระสัจธรรม ข้อความเชื่อ ซึ่งเราทราบแล้วว่า เราไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยสติปัญญา หรือ ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ใดๆ นะครับ...
    ประเด็นที่ 4    พระเจ้าทรงสถิตอยู่ทั่วไป ทรงทราบทุกสิ่งทุกอย่างทั้งที่เกิดในอดีต กำลังเกิด และจะเกิดในอนาคต เพราะพระองค์ไม่มีกาลเวลา ทรงเป็นนิรันดรภาพ    ดังนั้นจึงไม่มีความลับใดๆ สำหรับพระองค์ ไม่ว่าใครจะปิดบังซ่อนเร้นเรื่องใดสิ่งใด จนมิดชิดไม่มีใครในโลกนี้รู้เลย...แต่สำหรับพระเจ้า ใครๆ ก็ปิดบังพระองค์ไม่ได้
    เขาบอกกันว่า ถ้ามนุษย์เราคิดและรำพึงเรื่องนี้บ่อยๆ จะเกิดผลดีทำให้เขาไม่กล้ากระทำผิด กระทำบาป ซึ่งก็น่าจะเป็นเช่นนั้น