แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

การกลับคืนชีพของร่างกายและชีวิตนิรันดร
    เรามีความเชื่อกันอย่างแน่นอนแล้วว่า มนุษย์ประกอบด้วยร่างกายและวิญญาณ    ความตายก็คือการแยกกันอย่างเด็ดขาดของร่างกายและวิญญาณ
    เราจะพบกับคำถามบ่อยๆ ว่า “ตายแล้ววิญญาณของเราไปอยู่ที่ไหน?” สำหรับร่างกายนั้นเราเข้าใจกันดี เพราะเห็นๆ กันอยู่คือนำไปฝังในสุสาน หรือ นำไปเผาตามประเพณี
    ในความเชื่อของเรา เชื่อว่าเมื่อเราตาย วิญญาณของเราจะได้รับการพิพากษาตัดสินจากพระเป็นเจ้าทันที ซึ่งเราเรียกว่า “พิพากษาทีละคน” เราจะถูกตัดสินตามผลกรรมหรือ กิจกรรมที่เรากระทำ จะได้รับคุณรับโทษตามความยุติธรรม
    วิญญาณของคนดีมีธรรม คือ ผู้ที่ปฏิบัติตนอย่างดีก็จะได้รับสวรรค์เป็นรางวัล กล่าวคือ จะได้ไปอยู่รวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเป็นเจ้าองค์แห่งความดีบริบูรณ์    จะมีแต่ความสุขเช่นเมื่อครั้งถูกสร้างขึ้นมาให้อยู่ใน “สวนสวรรค์” หรือ ที่เราเรียกกันทั่วไปว่า “ไปสวรรค์“
    ส่วนวิญญาณของคนบาป คนอธรรม หรือ คนชั่ว ก็จะต้องรับโทษ ต้องรับทุกข์ทรมานอยู่ร่วมกัน กล่าวคือ ถูกตัดขาดจากพระเป็นเจ้าตลอดไป เป็นสภาพของความทุกข์นิรันดร หรือ ที่เราเรียกว่า “นรก” นั่นเอง
    สำหรับวิญญาณของผู้ที่ยังไม่มีความดีครบสมบูรณ์ คือ มีความดียังไม่พอแก่การอยู่ร่วมกับพระเป็นเจ้า และในเวลาเดียวกัน ก็มิได้มีความเลวร้ายจนต้องรับโทษในความทุกข์นิรันดร    วิญญาณเหล่านี้จะมีสภาพของการทนทุกข์ทรมานชั่วคราว หมายถึง ต้องมีสภาพของการทนทนทุกข์ทรมานโดยมีความหวังว่า สักวันหนึ่งจะได้ไปรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า หรือ ที่เรารู้จักกันดีว่า “วิญญาณไฟชำระ”
    นอกจากนี้ เรายังมีความเชื่ออีกว่า เมื่อวันสิ้นพิภพหรือวันสิ้นโลกมาถึง มนุษย์ทุกคนจะกลับเป็นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เฉพาะพระพักตร์ของพระเยซูเจ้า ทุกสิ่งจะปรากฏแจ้ง จะไม่มีความลับใดๆ อีก    มนุษย์ทุกคนจะรับการพิพากษาพร้อมกัน หรือ เราเรียกว่า “พิพากษาประมวลพร้อม” จะถูกแยกออกเป็น 2 พวก ผู้ชอบธรรมจะได้รับรางวัล อยู่ร่วมกับพระเป็นเจ้าตลอดไปในสวรรค์ ส่วนผู้อธรรม (คนบาป) จะได้รับโทษนิรันดรอยู่กับปีศาจตลอดไปในนรก สภาพของไฟชำระจะหมดไป    และสภาพเช่นนี้เราเรียกว่า “ชีวิตนิรันดร” คือ ไม่จบสิ้น ซึ่งเป็นข้อความเชื่อของเรานั่นเอง
อย่างไรก็ดี ความเชื่อเรื่องการพิพากษาเรื่อง สวรรค์-นรก-ไฟชำระ หรือ ชีวิตหลังความตายนี้ พระศาสนจักรมิได้สอนให้เราต้องหวาดกลัว ขวัญหนีดีฝ่อหากแต่ต้องการให้เราทุกคนมองในมุมของพระเมตตาและความรักของพระผู้เป็นเจ้า ที่ทรงมีต่อมนุษย์ ต้องการให้เรามีกำลังใจในการดำเนินชีวิต เอาชนะความไม่ดีต่างๆ ในปัจจุบันด้วยความสำนึกในการตอบสนองน้ำพระทัยดี และความรักของพระองค์