ยกตัวอย่างเช่น จากคำบอกเล่าของอาจารย์ผมท่านหนึ่งซึ่งเป็นพุทธมามะกะเกาหลี ได้เล่าให้ผมฟังว่าโบสถ์แห่งหนึ่งในเกาหลี มีผู้นำเป็นคนเกาหลีเหนือ แต่หลักคำสอนของเขา กลับโด่งดังและเป็นที่ยอมรับของคนกลุ่มหนึ่งในเกาหลีใต้  ทุกวันนี้เขามีลูกชายเป็นผู้นำในการประกาศลัทธิไปยังประเทศต่างๆทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศไทย
n08 ปัจจุบันเจ้าของลัทธินี้มีบ้านหลังใหญ่ที่อเมริกา และมีธุระกิจส่งออกโสมเกาหลีเป็นของตัวเองด้วย จึงทำให้เขา จัดอยู่ในอันดับมหาเศรษฐีชาวเกาหลี
ลัทธิของเขาสอนว่า มนุษย์เราทุกคนเท่าเทียบกันหมด ไม่ว่าจะรวยหรือจน จะเป็นคนชาติใด ต้องมีความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน เป็นเหมือนพี่น้องสายโลหิตเดียวกัน
และก็ยังมีข้อความเชื่อที่มาของลัทธิคือ เมื่อหลังจากพระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ร่างกายและวิญญาณของพระองค์ได้กลับคืนสู่สวรรค์ และเฝ้าดูโลกมนุษย์ด้วยความรัก จนเมื่อถึงเวลาหนึ่ง(ประมาณหกสิบปีก่อน) พระเจ้าทนไม่ไหวที่เห็นมนุษย์ทำสงครามกัน ไม่มีความรักต่อกันและกัน จึงส่งพระบุตรกลับลงมายังโลกอีกครั้ง ซึ่งก็คือตัวของเขาเอง...


n09 นั่นหมายความอยากเปิดเผยเลยว่า “เขากำลังบอกว่าตัวเองคือพระเยซูกลับชาติมาเกิดนั่นเอง”    ซึ่งทั้งคริสเตียนและคาทอลิกเกาหลี ลุกฮือขึ้นต่อต้านความคิดของเขา และบอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเป็นพระเยซูกลับชาติมาเกิด เพราะยังไงซักวันหนึ่งเขาก็ต้องตายเหมือนมนุษย์ทั่วไป
แต่เขาก็ปฏิเสธและตอบไปว่า แม้ว่าร่างกายเขาจะตาย แต่วิญญาณของเขาจะไม่มีวันตาย วิญญาณเขาจะถ่ายทอดเข้าสู่ร่างลูกชายของเขาต่อไปชั่วลูกสืบหลาน...
อีกเรื่องหนึ่งคือลัทธินี้ มีการจัดงานแต่งงานหมู่ซึ่งที่ไทยเองก็มีข่าวดังอยู่พักหนึ่ง และที่แปลกที่สุดสำหรับความคิดผมคือ มีการส่งสมาชิกในกลุ่มแต่งงานกับคนชาติอื่นซึ่งไม่เคยรู้จักกันมาก่อน และให้ฝ่ายหญิงไปอยู่กินที่ประเทศของฝ่ายชาย สิ่งที่จะตามมาหลังจากนั้นคงคิดว่าสองสามีภรรยาก็น่าจะช่วยกันเผยแผ่ลัทธิต่อไป


นี่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของโบสถ์คริสเตียนลัทธิประหลาดที่แอบแฝงอยู่ในบรรดาโบสถ์ต่างๆในเกาหลี ด้วยเหตุนี้เองเป็นเหตุผลที่ผมได้ใช้ขึ้นหัวข้อ เพราะเรื่องราวดังกล่าว ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของชาวเกาหลีในการนับถือคริสตศาสนา ทำให้ชาวเกาหลีหลายคนละทิ้งพระเจ้า และคิดว่าไม่จำเป็นที่จะต้องเชื่อก็ได้ เพราะดูเหมือนเป็นเรื่องไร้สาระ แม้ว่าบุคคลเหล่านั้นจะมีพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย แต่เดิมเชื่อในพระเจ้าก็ตามที
n010 แต่สำหรับคนที่อยากแสวงหาพระเจ้า ชาวเกาหลีเลือกที่จะเสี่ยงถูกหลอกน้อยที่สุด พวกเขาเลือกที่จะเป็นคาทอลิก เพราะไม่มีการเปิดโบสถ์เองได้นอกจากจะมีการอนุญาตอย่างเป็นทางการ และที่สำคัญโบสถ์คาทอลิกในเกาหลี หากเทียบกับโบสถ์คริสเตียนต้องขอบอกว่ามีน้อยกว่ามากๆ หลายเท่า แต่ทว่าโบสถ์เหล่านั้น ถูกสร้างมาตั้งแต่สมัยก่อน จึงทำให้ความน่าเชื่อถือค่อนข้างมีมาก
ทำให้ทุกๆวันอาทิตย์ทุกๆโบสถ์คาทอลิกแทบจะไม่มีที่นั่งรองรับสำหรับผู้ประสงค์อยากเข้าร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณ หรือแม้แต่กระทั้งที่ยืน และยังต้องจัดตารางมิสซาถี่ยิบ สำหรับผมแล้วในฐานะคนไทย มาจากประเทศไทยซึ่งก็ยังมีผู้คนที่เชื่อพระเจ้ายังไม่มากเท่าไร ก็ขอบอกว่าตกใจสุดๆกับสภาพที่เห็นตอนไปร่วมมิสซา ฝูงชนที่ต่อแถวยาวอยู่หน้าโบสถ์ต่อแถวรอคิวคอยเวลาเข้าร่วมมิสซารอบต่อไป ผมเองในฐานะที่เป็นผู้หนึ่งที่เชื่อในพระเจ้า เห็นคนอื่นๆเชื่อในพระเจ้าก็รู้สึกปลื้มใจ ไม่ว่าจะนิกายไหนก็ตาม
n011

และสำหรับชาวเกาหลีที่เชื่อในพระเจ้าด้วยใจที่เปี่ยมไปด้วยความรัก เขาคนนั่นก็ไม่แบ่งแยกเช่นกัน ขอแค่รู้ว่าคนๆนั้นเชื่อในพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นคริสเตียนหรือคาทอลิก เขาก็ปลื้มใจ
ในทางตรงกันข้าม ก็มีพวกที่ต้องการหาคนร่วมกลุ่มตัวเองเหมือนกัน ผมเคยเจอคนเกาหลีชวนให้เข้าศาสนา เป็นกลุ่มคนจากโบสถ์ๆหนึ่ง บุกเข้ามาถึงหอพักในมหาวิทยาลัย คอยดักนักศึกษาชาวต่างประเทศ และชวนเข้ากลุ่ม ผมก็บอกเขาไปตรงๆว่า “ผมเองก็เชื่อพระเจ้าเหมือนกัน ผมเป็นคาทอลิก”  หลักจากผมพูดจบ เค้าก็ตอบกลับผมด้วยคำพูดทีทำเอาผมตกใจไปเลย เธอคนนั้นบอกว่า “รู้อะไรไหม คนที่นับถือศาสนาคริสต์ คาทอลิกในเกาหลี พวกนั้นไม่ได้เชื่อพระเยซู” นั่นแหละครับ ส่อแววนิกายนอกรีดอย่างชัดเจน ทางเดียวที่ผมทำได้คือรีบๆหนีออกไปให้ห่าง...

มาถึงตรงนี้เรื่องราวเกี่ยวกับชาวเกาหลีที่พยายามเดินตามรอยเท้าพระเยซูเจ้า แต่กลับสับสนกับรอยเท้าคนอื่นที่มีนิ้วห้านิ้วและลักษณะเท้าที่เหมือนกันกับพระเยซูเจ้า ก็คงจบลงเพียงเท่านี้ หวังว่าประสบการณ์ที่ผมได้พบเจอและได้นำมาเขียนเป็นบทความสั้นๆให้อ่านกัน เป็นคล้ายๆความรู้รอบตัวเกี่ยวกับภัยของศาสนาที่บางที เราก็คาดไม่ถึง คงจะเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านอยู่บ้างนะครับ และสำหรับผู้อ่านคนไหนที่สนใจอยากรู้จักพระเยซูเจ้า ขอย้ำหนักๆนะครับว่า “ต้องศึกษาประวัติของพระองค์ให้ดีซะก่อน ต้องรู้ว่าพระองค์สอนอะไร” จากนั้นก็ค่อยๆไปร่วมกิจกรรมทางศาสนา หาเพื่อน หรือคนรู้จักไว้เป็นที่ปรึกษาก็น่าจะดีครับผม แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ลืมไม่ได้เลย นั่นก็คือการสวดภาวนา อธิฐานให้พระเจ้านำทางเรา ให้เดินหาทางของพระองค์จนเจอ ผมมั่นใจว่าหากคนที่แสวงหาพระเจ้าด้วยใจจริงแล้ว ไม่นานเกินรอหรอกครับ พระเจ้าจะจูงมือพาท่านไปยังเส้นทางของพระองค์เอง ^^Y

ขอบคุณครับ

พิราบเทา...