หญิงผู้เป็นสุข
ลูกา  1:39-45
maryandelizabeth2พระคัมภีร์ตอนนี้ไม่มีคำสอนของพระเยซูหรือการอัศจรรย์ใดๆ มีเพียงคำทักทายของหญิงสองคนที่แสดงให้เห็นว่าการพบปะกันครั้งนี้จะเป็นผลให้โลกเปลี่ยนไปจากเดิม ไม่ว่าพวกเขาจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม หลังจากการพบปะกันครั้งนั้นทั้งคู่ให้กำเนิดลูกชายทั้งๆที่แต่เดิมมาไม่มีวี่แววอะไร เพราะคนหนึ่งอายุมากเกินไป ส่วนคนหนึ่งก็ยังเป็นพรหมจารีอยู่

    การให้กำเนิดบุตรชายของทั้งสองทำให้เราเรียนรู้ว่าเมื่อพระเจ้าอวยพร มนุษย์ก็จะมีความอุดมสมบรูณ์ เอลีซาเบ็ธมีลูกชายคือยอห์น ผู้เตรียมหนทางให้พระเยซูผู้จะเสด็จมาภายหลัง พระนางมารีย์มีลูกชายคือ พระเยซู ผู้เสด็จมาเปลี่ยนแปลงโลก
    เอลีซาเบ็ธเคยเป็นหมัน ซึ่งเป็นสิ่งน่าอายในสมัยนั้น นางรอคอยลูก รอคอยที่จะพ้นความอับอาย แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้ ทำนองเดียวกับที่คนอิสราเอลรอคอยพระผู้ช่วย ชีวิตของพระนางมารีย์เอลีซาเบ็ธทำให้เราเห็นว่ามีเพียงพระพรของพระเจ้าเท่านั้นที่ทำให้ชีวิตสมบรูณ์ได้
    เอลีซาเบ็ธสรรเสริญพระนางมารีย์ว่า “ผู้เป็นสุข” เพราะพระศาสนจักรก็เรียกพระนางว่า “ผู้เป็นสุข” ทำไมหรือ คำตอบคือพระนางเชื่อฟังพระวาจาและการทรงนำของพระองค์ ทั้งที่ต้องเผชิญอันตราย ไม่ว่าจะเป็นการถูกฆ่า ถูกทำร้าย จนเมื่อพระเยซูอายุได้ 33 ปี ความทุกข์สาหัสที่สุดคือการเห็นบุตรสุดที่รักถูกทารุณและถูกตรึงกางเขนต่อหน้าต่อตา เรื่องนี้ญี่ปุ่นเองมีสุภาษิตว่า ลูกที่เสียชีวิตก่อนพ่อแม่นับเป็นลูกที่อกตัญญู สำหรับคนญี่ปุ่นบางคน พระเยซูจึงดูเหมือนว่าทรงเป็นลูกอกตัญญู ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม พระนางมารีย์ยังคงรักษาศรัทธาและความเชื่อมั่นของพระนางที่มีต่อพระเจ้าที่ว่าพระองค์ผู้เดียวเท่านั้นที่เปลี่ยนความเลวร้ายทุกข์ระทมให้กลายเป็นความยินดี
    เมื่อพระเยซูถูกตรึงกางเขน พระนางยังคงยึดมั่นคำพูดของทูตสวรรค์ที่ว่า “บุตรที่เกิดมาจะเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ และไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าทรงกระทำได้” เป็นหลักอยู่ในชีวิตเสมอมา ชีวิตเช่นนี้แหละเข้าใจได้ว่า ความเชื่อนั่นเองคือพระพร และความรอดพ้น เพราะทันที่ที่เราเชื่อมั่นในพระเจ้าในชีวิตนิรันดรของพระเยซู เราก็ได้รับความรอดพ้นในบัดดลนั้นเลย ไม่จำเป็นรอให้ตายไปก่อน พระวรสารยอห์น 6:47 บอกเราว่า ผู้ที่เชื่อในองค์พระเยซูเจ้าก็จะมีชีวิตนิรันดร
    คำถามคือ เชื่อหมายความว่าอย่างไร เชื่อคือว่าพระเจ้าทรงรักเราและทรงให้อภัยบาปเรา พระองค์ไม่ปรารถนาจะลงโทษเราเลย ทั้งที่เราเป็นคนบาป ทำบาปผิดต่อพระองค์ ไม่น่าได้รับการอภัยแต่พระเจ้าทรงอภัยทำไมหรือ อย่าลืมว่าพระเจ้าตรัสว่า พระองค์ไม่ปรารถนาให้ใครพินาศเลย ดูตัวอย่างได้จากโจรที่กลับใจในลูกา 23:40-43 ในวาระสุดท้ายของชีวิตที่จมอยู่กับความบาปมาตลอด พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “วันนี้เจ้าจะอยู่กับเราในเมืองบรมสุขเกษม” ที่วาติกันผู้ที่เป็นนักบุญจะต้องได้รับการประกาศแต่งตั้งโดยพระสันตะปาปา มีเพียงโจรในลูกาผู้นี้คนเดียวเป็นนักบุญโดยพระเยซู อะไรทำให้เขาได้อยู่เมืองบรมสุขเกษมและเป็นนักบุญ เพราะเขาช่วยคนยากจน สวดภาวนา ไม่ใช่ทั้งนั้น เหตุผลคือ เขามอบตนเองและแสดงความเชื่อในความรักของพระเยซูในวาระสุดท้ายของชีวิต แค่นี้เองที่ทำให้เขาได้เป็นนักบุญ พระศาสนจักรเรียกผู้กลับใจก่อนเสียชีวิตว่า ผู้ฉกชิงสวรรค์ ชีวิตของโจรร้ายผู้นี้สอนเราว่า ความเชื่อนั่นเองคือความรอดพ้น ถ้าอย่างนั้นเราทำบาปไปเรื่อยๆ แล้วค่อยกลับใจตอนใกล้ตายก็ได้อย่างนั้นหรือ ไม่ใช่ ยิ่งกลับใจช้าเราก็ยิ่งสูญเสียโอกาสของการกลับใจ
    เสียโอกาส ไม่ดีอย่างไร ช่วงที่ยังไม่กลับใจเป็นช่วงที่เรากำลังเดินจมลึกลงไปในบาป คล้ายกับว่าเรากำลังเดินลงไปในนรก โดยไม่รู้ตัว พระเจ้าเสด็จมาหาเรา ยื่นพระหัตถ์มาให้เราจับอยู่ตลอดเวลาทรงอยากอภัยให้เรา แต่เราไม่ยอมสนองตอบ เราควรปฎิเสธความรักของพระองค์ไปเรื่อยๆ รอจนใกล้ตายจึงกลับใจอย่างนั้นหรือ สวรรค์อยู่ใกล้แค่เอื้มเท่านั้น เราจะยอมเสียโอกาสอย่างนั้นหรือ คนที่ได้รับพระจิตเจ้าจะไม่คิดอย่างนั้นแต่จะรีบเดินทางไปกับพระองค์ด้วยความสุขใจ
    คนที่เปิดหน้าต่างภายในจิตใจ กระตือรือร้นที่จะได้รับพระพร เรื่องอื่นเราปฎิเสธได้แต่เรื่องนี้รอช้าไม่ได้เลย ในทำนองเดียวกัน ในเรื่องของการสวดภาวนา อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง รอไว้ก่อน อีกสักประเดี๋ยวก็ได้ ไม่ใช่อย่างนั้น เราต้องสวดภาวนาทันทีที่มีโอกาส ทันทีที่เราสวดภาวนา ที่ไหนก็ได้ เมื่อไรก็ได้ ให้การสวดภาวนาเป็นเหมือนลมหายใจ ให้การภาวนาอยู่ในชีวิต ไม่ต้องเรื่องมากกับคำสวดภาวนา เพียงแค่ใช้ประโยคสั้นๆ ง่ายๆ อย่างคนตาบอดที่เมืองเยริโคพูดว่า “ขอทรงเมตตาข้าพระองค์เถิด” ก็เพียงพอ เพราะพระเจ้าทรงล่วงรู้ทุกอย่างหมดแล้ว

ที่มา: หนังสือชีวิตนิรันดร