อย่าลืมฉลองวันพระเจ้าเป็นวันศักดิ์สิทธิ์

    ในหนังสือปฐมกาล พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายในกำหนด 6 วาระ และระบุไว้ชัดเจนว่าในวาระที่ 7 พระองค์ทรงหยุดพักผ่อน กำหนดให้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์โดยสั่งว่า “เจ้าจงจำไว้ว่า จงทำวันของพระเจ้าให้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ วันนั้นเจ้าและคนในบ้านจะไม่ทำงานใดๆ” (ปฐก 2 : 2-3)
    ดังนั้นเอง ที่มาของวันพระเจ้าจึงถือกันว่าวันที่ 7 วันสุดท้ายของสัปดาห์เป็นวันที่จะต้องทำให้ศักดิ์สิทธิ์    ปัจจุบันเราถือว่าวันนั้น คือ วันอาทิตย์ โดยการถือว่าคำสั่งของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องปฏิบัติ
    เช่นเดียวกันในพระบัญญัติประการนี้ จึงเป็นการสั่งให้มนุษย์ทำการเฉลิมฉลองทำให้เป็นวันเวลาแห่งความศักดิ์สิทธิ์    ซึ่งจะทำอย่าไรบ้างนั้นจะได้กล่าวต่อไป... ส่วนพระบัญญัติประการนี้มีความหมายของการห้าม กล่าวคือ ห้ามทำการใดๆ ที่นอกเหนือจากการเฉลิมฉลองพระเจ้า...ที่ชัดเจนก็คือการห้ามทำงานและการกระทำสิ่งที่ไม่สมควรหรือสิ่งผิดต่างๆ
    การทำให้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์นั้น จึงกำหนดให้คริสตชนต้องเฉลิมฉลองความรักและพระเมตตาของพระเจ้าด้วยการไปร่วมกันถวายบูชามิสซาที่โบสถ์ จึงเป็นคำตอบว่า ทำไมชาวคริสต์จึงไปโบสถ์ในวันอาทิตย์    นอกจากการร่วมถวายบูชามิสซาแล้วยังมีความหมายถึงการภาวนาและกระทำกิจการดี เช่น เยี่ยมผู้ป่วย ช่วยคนยากจน ทำกิจการกุศลต่างๆ
    มีประเด็นปลีกย่อยเกี่ยวกับการไปโบสถ์ร่วมพิธีมิสซาในวันอาทิตย์ หลายคนสงสัยว่าการร่วมมิสซานั้นจำเป็นต้องไปที่โบสถ์หรือไม่? จะร่วมมิสซาที่อื่น เช่น ที่บ้านของตนเอง หรือ ที่ใดที่หนึ่งได้ไหม?...
    คำตอบ คือ เราต้องพิจารณาจุดประสงค์ของ การร่วมถวายบูชามิสซาประการแรก คือ จะต้องมารวมกันและร่วมกันประกอบพิธีมิสซา โดยมีพระสงห์เป็นผู้นำ เพราะการชุมนุมกันเป็นสิ่งสำคัญ พระเจ้าจะทรงสถิตอยู่ท่ามกลางการชุมนุมนั้น    ส่วนสถานที่นั้นถ้าไม่มีเหตุใดๆ เป็นพิเศษ ต้องกระทำในโบสถ์    แต่ถ้าหากมีกรณีพิเศษ เช่น การสัมมนา หรือ สถานที่ของโบสถ์คับแคบไป...ก็สามารถประกดอบพิธีนอกโบสถ์ได้หรือ มีการประกอบพิธีมิสซาในโอกาสต่างๆ ของกลุ่มต่างๆ มิใช่มิสซาส่วนรวมก็ย่อมกระทำได้ในที่ที่เหมาะสม
    นอกจากนั้นการไปร่วมชุมนุมกัน ยังเป็นการพบปะและมอบความสุขให้แก่กันและกัน    ทั้งยังเป็นโอกาสแห่งการกระทำกิจกรรมดีอื่นๆ อีกด้วย เช่น การศึกษาพระวาจาของพระเจ้า การประชุมปรึกษาหารือและสวดภาวนาของกลุ่มต่างๆ เช่น กลุ่มพลมารี สภาอภิบาล ฯลฯ
    การกระทำให้วันนี้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ยังหมายถึงการกระทำดีทุกรูปแบบ เช่น ให้เวลากับครอบครัว พาครอบครัวไปพักผ่อนหลังจากทำหน้าที่ด้วยการร่วมถวายบูชาแด่พระเจ้าและสวดภาวนาเรียบร้อยแล้ว แต่กิจกรรมต่างๆ ที่กระทำนั้น จะต้องเป็นกิจกรรมที่ถูกต้องไม่ผิดหรือเป็นบาป เช่น ถ้าใช้เวลาในวันอาทิตย์ไปกินเหล้าเมายา เล่นไพ่ เล่นการพนัน หรือ เที่ยวเตร่ในสถานที่อันไม่สมควร อย่างนี้ถือว่าผิดและเป็นบาป
    สำหรับในเรื่องของการห้ามนั้น พระบัญญัติประการนี้ห้ามการทำงานและการกระทำที่ไม่สมควร ซึ่งหมายถึงการทำผิดต่างๆ นั่นเอง
    การห้ามทำงานในวันอาทิตย์ หมายถึง งานที่ต้องใช้แรงงาน รวมไปถึงงานประจำทุกชนิดด้วย ในความเข้าใจเกี่ยวกับการห้ามทำงานนี้จะต้องเข้าใจดีๆ ถึงจิตตารมณ์ที่แท้จริง นั่นคือ การห้ามนี้ด้วยจุดประสงค์ให้คริสตชนยกถวายวันเวลาแด่พระเจ้า พูดง่ายๆ ก็คือ รู้จักให้เวลากับพระเจ้าด้วย    ให้เห็นความสำคัญของการอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าและสวดภาวนา กราบนมัสการ โมทนาคุณและสรรเสริญพระองค์
    ความจริงแล้ว เราใช้เวลาเพียง 2-3 ชั่วโมงเพื่อพระองค์ใน 1 สัปดาห์ หรือ 168 ชั่วโมง (7*24 ) ซึ่งไม่เหลือบ่ากว่าแรงแน่ๆ...    ดังนั้น การทำงานในวันนั้นจึงน่าจะไม่เกิดขึ้น อย่างไรก็ดีมีกรณียกเว้นให้ทำงานบางอย่างได้เหมือนกัน เช่น การซักผ้า ทำความสะอาดบ้าน จัดบ้าน ปลูกต้นไม้ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว จึงไม่น่าจะเข้าข่ายงานที่ต้องห้าม    แต่ถ้าไปรับจ้างเขาทำเพื่อหารายได้อย่างนี้ก็จะเข้าข่างงานต้องห้ามได้เหมือนกัน
    อีกกรณีหนึ่ง คือ บางคนต้องอยู่เวร เข้าเวร เช่น นายแพทย์ พยาบาล ทหาร ตำรวจ... ถือว่าทำได้ แต่ต้องหาโอกาสชดเชยคือ ไปร่วมมิสซาในวันธรรมดา ก่อน หรือ หลังเข้าเวรก็ได้
    การกระทำความผิด ความไม่สมควร พึงละเว้นเด็ดขาด เช่น การเล่นการพนัน การดื่มเหล้าเมายาเกินขนาด การกระทำอันใดที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อผู้อื่น
    ในศาสนาต่างๆ เขาก็จะมีกำหนดวันพระเจ้ากันทุกศาสนา เช่น ศาสนาอิสลามเขาถือวันศุกร์ ศาสนายิวถือวันเสาร์เรียกว่าวันซาบัต (ซาบาโต) พวกเราชาวคริสต์เราถือวันอาทิตย์ ส่วนศาสนาพุทธก็ถือวันขึ้น-แรม 8 ค่ำและ 15 ค่ำเป็นวันพระ    และทุกศาสนาจะเน้นให้คนในศาสนาของตนปฏิบัติกิจศรัทธาต่อพระต่อศาสดา และให้กระทำกรรมดี (กุศลกรรม) เป็นพิเศษในวันพระ
    ทุกศาสนาสอนให้ศาสนิกชนของตนต้องไปรวมกันที่วัด ที่โบสถ์ ที่มัสยิด ซี่งยังคงเน้นว่าการมารวมกันเพื่อกระทำศาสนพิธีนั้นสำคัญ เพราะเป็นการพบปะกันและกันฉันท์พี่น้องอีกด้วย
    จึงเป็นหน้าที่ของทุกคน เป็นต้น พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย และผู้ปกครองที่จะต้องสอนลูกสอนหลาน และนำพวกเขาให้ไปวัดและต้องเป็นแบบย่างที่ดีแก่ลูกหลานของตนเอง    ต้องพยายามทำให้พวกเขารู้และเข้าใจถึงความสำคัญและความหมายของ “การฉลองวันพระเจ้าให้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์”    เพื่อพวกเขาจะได้ปฏิบัติศาสนกิจต่างๆ ด้วยความเชื่อความศรัทธาที่แท้จริง

ที่มา : หนังสือ หลักธรรมคำสอนคาทอลิก (คุณพ่อวุฒิเลิศ แห่ล้อม)