แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

พระคริสตเจ้าประทับอยู่ตลอดเวลาในชีวิตของพระศาสนจักร


51.    เราจะเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพระคริสตเจ้า พระวจนาตถ์ของพระบิดา กับพระศาสนจักรว่าเป็นเพียงเหตุการณ์ในอดีตไม่ได้ แต่เป็นเรื่องความสัมพันธ์ชีวิตที่ผู้มีความเชื่อแต่ละคนได้รับเรียกให้เข้ามามีความสัมพันธ์ด้วยเป็นการส่วนตัว เรากำลังพูดถึงการประทับอยู่ของพระวจนาตถ์ของพระเจ้าในหมู่พวกเรา “ดูซิ เราอยู่กับท่านทุกวันตลอดไปตราบจนสิ้นพิภพ” (มธ 28:20) ดังที่สมเด็จพระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2 เคยตรัสไว้ว่า “ความสำคัญของพระคริสตเจ้าสำหรับทุกสมัยปรากฏให้เห็นในพระกายของพระองค์ คือในพระศาสนจักร เพราะเหตุนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงสัญญาแก่บรรดาศิษย์จะประทานพระจิตเจ้า ซึ่งจะ ‘ทรงให้เขาระลึกถึง’ และจะทรงสอนเขาให้เข้าใจกฎบัญญัติของพระองค์ (เทียบ ยน 14:26) และจะทรงเป็นบ่อเกิดถาวรของชีวิตใหม่ในโลก (เทียบ ยน 3:5-8; รม 8:1-13)”  ธรรมนูญ Dei Verbum กล่าวถึงธรรมล้ำลึกประการนี้โดยใช้การสนทนาของสามีภรรยาเป็นอุปมา “พระเจ้าผู้ตรัสในกาลก่อน ยังไม่ทรงเลิกสนทนากับเจ้าสาวของพระบุตรสุดที่รักของพระองค์ต่อไป และพระจิตเจ้าซึ่งโปรดให้เสียงทรงชีวิตแห่งพระวรสารดังก้องในพระศาสนจักรและดังก้องไปทั่วโลก ทรงชักนำผู้มีความเชื่อให้รู้ความจริงทั้งปวงอาศัยพระศาสนจักร และทรงทำให้พระวาจาของพระคริสตเจ้าพำนักอยู่ในตัวเขาอย่างอุดม (เทียบ คส 3:16)”
    เจ้าสาวของพระคริสตเจ้า (= พระศาสนจักร) ซึ่งเป็นครูสอนศิลปการฟัง ทุกวันนี้ก็ยังกล่าวซ้ำอย่างมั่นใจว่า “โปรดตรัสเถิด พระเจ้าข้า พระศาสนจักรของพระองค์กำลังฟังอยู่”  เพราะฉะนั้นธรรมนูญ Dei Verbum จึงจงใจเริ่มต้นด้วยวลีว่า “สภาสังคายนาสากลฟังพระวาจาของพระเจ้าด้วยความศรัทธา และประกาศด้วยความมั่นใจ...”  ที่ตรงนี้เราพบคำนิยามชีวิตของพระศาสนจักร “ถ้อยคำที่สภาสังคายนากล่าวถึงลักษณะของพระศาสนจักรว่าเป็นชุมชนที่ฟังและประกาศพระวาจาของพระเจ้า พระศาสนจักรไม่มีชีวิตจากตนเอง แต่มีชีวิตจากพระวรสารและรู้จักแนวทางเดินของตนครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่ตลอดเวลาจากพระวรสาร นี่คือคำแนะนำที่คริสตชนแต่ละคนต้องรับและนำมาใช้กับตน มีแต่ผู้ที่ดื่มด่ำฟังพระวาจาแล้วเท่านั้นที่จะเป็นผู้ประกาศพระวาจานั้นได้”  ทุกวันนี้ ที่นี่และในขณะนี้ พระเยซูเจ้ายังตรัสกับเราแต่ละคนในพระวาจาที่ได้รับการประกาศและรับฟัง รวมทั้งในศีลศักดิ์สิทธิ์ด้วยว่า “เราเป็นของท่าน เรามอบตัวเราแก่ท่าน” เพื่อมนุษย์จะรับและตอบได้เช่นเดียวกันว่า “ข้าพเจ้าเป็นของพระองค์”  ดังนั้นพระศาสนจักรจึงปรากฏเป็นบริบทที่เราจะมีประสบการณ์ ซึ่งอารัมภบทของพระวรสารนักบุญยอห์นกล่าวไว้ได้ว่า “ผู้ใดที่ยอมรับพระองค์ พระองค์ประทานอำนาจให้ผู้นั้นกลายเป็นบุตรของพระเจ้า” (ยน 1:12)