พระวาจามีลักษณะเป็นศีลศักดิ์สิทธิ์


56.    การพิจารณาเห็นว่าพระวาจาของพระเจ้าในพิธีศีลศักดิ์สิทธิ์มีลักษณะการแสดง และการเข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้นถึงความสัมพันธ์ของพระวาจากับพิธีบูชาขอบพระคุณ นำเราให้ตระหนักถึงความคิดหลักสำคัญอีกประการหนึ่งที่ปรากฏขึ้นในการประชุมสมัชชา นั่นคือความคิดว่าพระวาจาของพระเจ้ามีลักษณะเป็นศีลศักดิ์สิทธิ์  เพราะเหตุนี้จึงควรระลึกว่าสมเด็จพระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2 เคยตรัสไว้ว่า “การเปิดเผยความจริงมีลักษณะเป็นศีลศักดิ์สิทธิ์ และทรงกล่าวโดยเฉพาะถึงศีลมหาสนิท ซึ่งเป็นเครื่องหมายที่การรวมเป็นหนึ่งเดียวกันของสิ่งหนึ่งกับความหมายของสิ่งนั้นทำให้เราเข้าใจความลึกซึ้งของธรรมล้ำลึกได้”  เราจึงเข้าใจว่าพระธรรมล้ำลึกการรับสภาพมนุษย์อยู่ที่จุดเริ่มต้นของเอกลักษณ์ ที่พระวาจาของพระเจ้าเป็นศีลศักดิ์สิทธิ์โดยแท้จริง “พระวจนาตถ์ทรงรับธรรมชาติมนุษย์” (ยน 1:14) พระเจ้าทรงเปิดเผยความเป็นจริงของธรรมล้ำลึกนี้ให้เรารู้ใน “เนื้อหนังร่างกาย” ของพระบุตร เราจึงเข้าใจพระวาจาของพระเจ้าได้ด้วยความเชื่อ อาศัยคำพูดและการกระทำแบบมนุษย์ ซึ่งเป็น “เครื่องหมาย”. ความเชื่อทำให้เรารู้จักพระวาจา (หรือ “พระวจนาตถ์”) ของพระเจ้า ขณะที่พระวาจา (หรือ “พระวจนาตถ์”) นั้นรับเอาคำพูดและการกระทำเพื่อแสดงองค์ให้เรารู้จัก ลักษณะเป็นศีลศักดิ์สิทธิ์ของการเผยแสดงนี้ชี้ให้เราเห็นวิธีการที่ทรงช่วยมนุษยชาติให้รอดพ้นในประวัติศาสตร์ โดยที่พระวาจา (หรือ “พระวจนาตถ์”) ของพระเจ้าทรงเข้ามาในกาลเวลาและสถานที่เพื่อทรงสนทนากับมนุษย์ซึ่งได้รับเรียกให้มารับของประทานด้วยความเชื่อ
    ลักษณะเป็นศีลศักดิ์สิทธิ์ของพระวาจาจึงอาจเข้าใจได้ โดยอุปมาเปรียบเทียบกับการประทับอยู่จริงของพระคริสตเจ้าในรูปปรากฏของขนมปังและเหล้าองุ่นที่เสกแล้ว  เมื่อเข้ามายังพระแท่นบูชาและร่วมงานเลี้ยงพิธีขอบพระคุณ เราก็มีส่วนร่วมในพระกายและพระโลหิตของพระคริสตเจ้าอย่างแท้จริง การประกาศพระวาจาของพระเจ้าในการประกอบพิธีเรียกร้องให้เรารับรู้ว่าพระคริสตเจ้าเองประทับอยู่ที่นั่นและตรัสกับเรา  เพื่อให้เราฟังพระองค์ นักบุญเยโรมกล่าวถึงวิธีการปฏิบัติต่อศีลมหาสนิทและต่อพระวาจาไว้ดังนี้ “เราอ่านพระคัมภีร์ ข้าพเจ้าคิดว่าพระวรสารคือพระกายของพระคริสตเจ้า ข้าพเจ้าคิดว่าพระคัมภีร์คือคำสอนของพระองค์ เมื่อพระองค์ตรัสว่า ผู้ที่ไม่กินเนื้อของเราและไม่ดื่มโลหิตของเรา (ยน 6:53) แม้ถ้อยคำเหล่านี้อาจเข้าใจถึงพระธรรมล้ำลึก(เรื่องศีลมหาสนิท)ได้ด้วย ถึงกระนั้นโดยแท้จริงแล้วพระกายและพระโลหิตของพระองค์คือถ้อยคำของพระคัมภีร์ เป็นคำสอนของพระเจ้า ถ้าเมื่อเราเข้ามาหาพระธรรมล้ำลึก(เรื่องศีลมหาสนิท) แล้วเศษปังชิ้นหนึ่งตกลงมา เราย่อมรู้สึกไม่สบายใจ แล้วเมื่อเราฟังพระวาจาของพระเจ้า และพระวาจานั้น ซึ่งเป็นประหนึ่งพระกายและพระโลหิต เข้ามาในหูของเรา แต่เรากลับไปคิดถึงเรื่องอื่น เราน่าจะรู้สึกไม่สบายใจมากด้วยมิใช่หรือ”  พระคริสตเจ้าซึ่งประทับอยู่แท้จริงใต้รูปปรากฏของขนมปังและเหล้าองุ่น ประทับอยู่เช่นเดียวกันในพระวาจาที่ประกาศในพิธีกรรม การเข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้นถึงความหมายของลักษณะศีลศักดิ์สิทธิ์ของพระวาจาของพระเจ้าจึงอาจช่วยให้เรามีความเข้าใจเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น เข้าใจถึงธรรมล้ำลึกเรื่องการเปิดเผยว่า “กิจการและพระวาจามีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันอย่างลึกซึ้ง”  ความเข้าใจเช่นนี้ย่อมส่งเสริมชีวิตจิตและงานอภิบาลของพระศาสนจักรด้วย