พระวาจาของพระเจ้าและศาสนบริกรที่ได้รับศีลบวช


78.    ก่อนอื่น ข้าพเจ้าใคร่จะพูดกับศาสนบริกรที่ได้รับศีลบวชของพระศาสนจักร เตือนให้คิดถึงคำแนะนำของสมัชชาที่ว่า “พระวาจาของพระเจ้าเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเตรียมจิตใจของผู้อภิบาลที่ดีซึ่งต้องเป็นผู้รับใช้พระวาจา”  บรรดาพระสังฆราช พระสงฆ์ และสังฆานุกรไม่อาจเข้าใจได้เลยว่า ตนจะดำเนินชีวิตตามกระแสเรียกและพันธกิจของตนได้โดยไม่ตั้งใจแน่วแน่และรื้อฟื้นความตั้งใจที่จะทำตนให้ศักดิ์สิทธิ์ เสาหลักประการหนึ่งของความศักดิ์สิทธิ์นี้คือการสัมผัสกับพระวาจาของพระเจ้า

79.    สำหรับผู้ที่ได้รับเรียกให้เป็นพระสังฆราช ซึ่งเป็นคนแรกที่ได้รับอำนาจให้เป็นผู้ประกาศพระวาจา ข้าพเจ้าใคร่จะย้ำข้อความที่สมเด็จพระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2 ตรัสไว้ในพระดำรัสเตือนหลังสมัชชา Pastores gregis เพื่อหล่อเลี้ยงและส่งเสริมชีวิตจิต พระสังฆราชต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษเสมอแก่การอ่านและรำพึงพระวาจาของพระเจ้า “พระสังฆราชแต่ละท่านจะต้องอุทิศตนและสำนึกว่าตนคือ ‘ผู้ถูกฝากฝังไว้กับพระเจ้าและกับพระวาจาแห่งพระหรรษทานของพระองค์ พระวาจานี้สร้างพระศาสนจักรและประทานมรดกให้ท่านรับร่วมกับบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายได้’ (กจ 20:32) ดังนั้นก่อนจะเป็นผู้ประกาศพระวาจา พระสังฆราชพร้อมกับพระสงฆ์และเหมือนกับผู้มีความเชื่อแต่ละคน และเหมือนกับพระศาสนจักรเอง จะต้องเป็นผู้ฟังพระวาจา เขาต้องพำนักอยู่ ‘ภายใน’ พระวาจา และยอมให้ตนได้รับการปกป้องและหล่อเลี้ยงจากพระวาจาประหนึ่งทารกในครรภ์มารดา”  ข้าพเจ้าแนะนำให้พระสังฆราชพี่น้องทุกคนของข้าพเจ้าให้อ่านพระคัมภีร์และเอาใจใส่ศึกษาพระคัมภีร์เป็นการส่วนตัวอยู่เสมอ ตามแบบฉบับของพระแม่มารีย์ พรหมจารีผู้ฟังพระวาจา และพระราชินีของบรรดาอัครสาวก 

80.    สำหรับบรรดาพระสงฆ์ ข้าพเจ้าก็ปรารถนาให้ตระหนักถึงพระดำรัสของสมเด็จพระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2 ที่ตรัสไว้ในพระดำรัสเตือนหลังสมัชชา Pastores dabo vobis ว่า “ก่อนอื่นหมด พระสงฆ์คือผู้รับใช้พระวาจา เพราะเขาได้รับแต่งตั้งและส่งไปประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักรแก่มวลมนุษย์ เชิญชวนแต่ละคนให้มาปฏิบัติตามความเชื่อ และนำผู้มีความเชื่อให้มีความรู้และความสัมพันธ์กับพระธรรมล้ำลึกของพระเจ้าลึกซึ้งยิ่งขึ้นทุกๆวัน พระธรรมล้ำลึกนี้ได้รับการเปิดเผยและสื่อในองค์พระคริสตเจ้าให้เรารู้” เพราะฉะนั้น พระสงฆ์เองจึงต้องพยายามให้มีความคุ้นเคยและความรู้พระวาจาของพระเจ้าให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นทุกวัน “ความรู้ด้านภาษาและหลักการอธิบายความหมายพระคัมภีร์เท่านั้น แม้จะเป็นสิ่งจำเป็น จึงไม่เพียงพอ เขาต้องเข้าหาพระวาจาของพระเจ้าด้วยจิตใจที่ว่านอนสอนง่ายและรู้จักภาวนา เพื่อพระวาจาจะได้ซึมซาบเข้าถึงความคิดและความรู้สึกของพระสงฆ์อย่างลึกซึ้งและทำให้เขามีมุมมองใหม่ ที่เป็น ‘ความคิดขององค์พระผู้เป็นเจ้า’ (1 คร 2:16)”  และดังนี้ พระวาจา พระประสงค์ และพระจริยวัตรของพระองค์ ยิ่งวันยิ่งจะต้องเป็นแสงสะท้อน เป็นการประกาศและเป็นพยานถึงข่าวดี “ถ้าพระสงฆ์เพียงแต่ ‘พำนักอยู่’ ในพระวาจาเท่านั้น เขาก็จะเป็นศิษย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างสมบูรณ์ แล้วเขาก็จะรู้จักแยกแยะความจริงและเป็นอิสระโดยแท้จริง” 
    กล่าวโดยสรุป กระแสเรียกเป็นพระสงฆ์เรียกร้องให้เขาเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ “โดยอาศัยความจริง” พระเยซูเจ้าเองได้ตรัสอย่างชัดเจนถึงความจำเป็นประการนี้สำหรับบรรดาศิษย์ “โปรดบันดาลให้เขาศักดิ์สิทธิ์โดยอาศัยความจริง พระวาจาของพระองค์คือความจริง พระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามาในโลกฉันใด ข้าพเจ้าก็ส่งเขาไปในโลกฉันนั้น” (ยน 17:17-18) ในแง่หนึ่ง บรรดาศิษย์ “ถูกนำเข้ามาร่วมสนิทกับพระเจ้าโดยจุ่มตัวลงในพระวาจาของพระเจ้า พระวาจาจึงเป็นเสมือนอ่างน้ำที่ชำระล้างเขา เป็นพลังสร้างสรรค์ที่เปลี่ยนแปลงเขาให้เป็นบุตรของพระเจ้า”  ในเมื่อพระคริสตเจ้าคือพระวจนาตถ์ที่ทรงรับธรรมชาติมนุษย์ (ยน 1:14) ทรงเป็น “ความจริง” (ยน 14:6) ดังนั้นคำอธิษฐานภาวนาของพระเยซูเจ้าต่อพระบิดาที่ว่า “โปรดบันดาลให้เขาศักดิ์สิทธิ์โดยอาศัยความจริง” จึงมีความหมายลึกซึ้งยิ่งขึ้นว่า “โปรดทำให้เขาเป็นหนึ่งเดียวกับข้าพเจ้า ผู้เป็นพระคริสตเจ้า โปรดรวมเขาไว้กับข้าพเจ้า โปรดนำเขาเข้ามาอยู่ในข้าพเจ้า เพราะพระสงฆ์ของพันธสัญญาใหม่มีเพียงองค์เดียว คือพระเยซูคริสตเจ้า”  จึงจำเป็นที่บรรดาพระสงฆ์จะต้องรื้อฟื้นการตระหนักถึงความเป็นจริงนี้อยู่ตลอดเวลา

81.    ข้าพเจ้ายังปรารถนาจะกล่าวถึงความสำคัญของพระวาจาในชีวิตของผู้ได้รับเรียกให้เป็นสังฆานุกรด้วย ไม่เพียงแต่ในฐานะที่ตำแหน่งนี้เป็นก้าวสุดท้ายก่อนไปรับตำแหน่งพระสงฆ์เท่านั้น แต่ในฐานะที่เป็นศาสนบริการถาวรด้วย ข้อแนะนำสำหรับสถาบันสังฆานุกรถาวรกล่าวไว้ว่า “เอกลักษณ์ทางเทววิทยาของสังฆานุกรกำหนดคุณสมบัติด้านชีวิตจิตอย่างชัดเจนของผู้ปฏิบัติหน้าที่นี้ ซึ่งเป็นการรับใช้ด้านจิตใจโดยเฉพาะ แบบฉบับเลอเลิศในเรื่องนี้ก็คือพระคริสตเจ้าในฐานะผู้รับใช้ พระองค์ทรงอุทิศพระชนมชีพทั้งหมดเพื่อรับใช้พระเจ้าและเพื่อความดีของมวลมนุษย์”  จากมุมมองนี้จึงเข้าใจได้ว่า ในมิติต่างๆของสังฆานุกร “องค์ประกอบเฉพาะด้านชีวิตจิตของสังฆานุกรก็คือพระวาจาของพระเจ้า สังฆานุกรได้รับเรียกมาให้เป็นผู้ประกาศเป็นทางการอย่างที่ว่าเขาต้องเชื่อสิ่งที่เขาประกาศ ต้องสอนสิ่งที่เขาเชื่อ และดำเนินชีวิตตามที่เขาสั่งสอน”  ข้าพเจ้าจึงขอเตือนบรรดาสังฆานุกรให้หล่อเลี้ยงชีวิตของตนด้วยการอ่านพระคัมภีร์ด้วยความเชื่อควบคู่กับการศึกษาและการภาวนา เขาจึงต้องได้รับการแนะนำให้เข้าถึงพระคัมภีร์และการอธิบายความหมายได้อย่างถูกต้อง เข้าใจความสัมพันธ์ของพระคัมภีร์กับธรรมประเพณี โดยเฉพาะให้รู้จักใช้พระคัมภีร์ในการเทศน์ การสอนคำสอน และงานอภิบาลโดยทั่วไป