แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

3. ชาวสะมาเรียใจดี
(ลก 10:30-37 เทียบ ยน 4:9)
 คำอธิบาย
    เหตุการณ์ที่พระเยซูเจ้าได้ทรงเล่าอุปมานี้คงจะเกิดขึ้นบ่อยใช้ได้ การที่คนเดินทางตกในเงื้อมมือของพวกโจรผู้ร้ายระหว่างเดินทางจากกรุงเยรูซาเล็มไปยังเมืองเยริโคนั้นเคยเกิดขึ้นจริงๆ เพราะเป็นหนทางที่เปลี่ยวมาก และแม้ในสมัยนี้ด้วย ในปัจจุบันเราจะเห็นตึกหลังหนึ่งใกล้ๆ เมืองเบ็ธฟาเก้ ซึ่งห่างจากกรุงเยรูซาเล็ม 2-3 ไมล์ เป็นสถานีตำรวจ ซึ่งเขาเล่ากันว่าสร้างใกล้ๆ โรงแรมซึ่งพระองค์ทรงเล่าว่าชาวสะมาเรียได้พาคนเจ็บไปที่นั่น

    สมณะและเลวี ทั้งสมณะและคนตระกูลเลวีเป็นเจ้าหน้าที่ที่ดูแลและเอาใจใส่ต่อพระวิหารที่เยรูซาเล็ม ใครๆ ก็หวังว่าเขาจะเป็นผู้ที่ถือตามบัญญัติของโมเสสอย่างเคร่งครัด เป็นต้นการแสดงความรักต่อเพื่อนมนุษย์ และช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก คนที่ถูกปล้นและได้รับบาดเจ็บนั้นคงจะเป็นชาวยิวอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น ทั้งสมณะและเลวีจำเป็นจะต้องช่วยเหลือเพราะเป็นพี่น้องร่วมชาติและถือศาสนาเดียวกันด้วย ฉะนั้น เขาจะหาทางแก้ตัวไม่ได้
    ชาวสะมาเรียผู้หนึ่ง เพื่อจะให้เห็นตัวอย่างชัดเจน พระเยซูเจ้าทรงเล่าว่าชาวสะมาเรียได้ถือตามบทบัญญัติของโมเสสในด้านความรัก ส่วนสมณะและเลวีไม่ถือ ชาวสะมาเรียเป็นชาวยิวที่มีเลือดผสมกับคนต่างชาติที่เป็นเมืองขึ้นของพวกอัสซีเรีย ตามประวัติศาสตร์เราทราบว่าในปี 722 ก่อน ค.ศ. กษัตริย์ซัลมานสาเซอร์ที่ 5 แห่งอัสซีเรียยกทัพมาตีกรุงสะมาเรีย ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรอิสราเอลหรืออาณาจักรทางภาคเหนือ เมื่อตีได้แล้วก็กวาดต้อนชาวยิวส่วนหนึ่งไปเป็นเชลย อีกส่วนหนึ่งปล่อยทิ้งไว้ที่เดิม และนำชาวเมืองต่างๆ ที่เป็นเมืองขึ้นของอัสซีเรียอพยพมาที่สะมาเรีย ที่สุดก็มีการแต่งงานกันระหว่างชาวสะมาเรียกับคนต่างชาติต่างศาสนา และหลายๆ คนได้นับถือพระเท็จเทียม แม้เขาจะไม่ละทิ้งพระยาห์เวห์ก็ตาม พวกเขาก็ยังคงนับถือหนังสือ 5 เล่มของโมเสส ยังรอคอยพระเมสสิยาห์ แต่มีพระวิหารของตัวเองที่ภูเขาเกริซิม ใกล้ๆ เมืองสะมาเรีย ชาวยิวเกลียดพวกนี้ และเขาเป็นศัตรูกันด้วย (เทียบ ยน 4) เป็นชาวสะมาเรียที่ชาวยิวสบประมาทว่าเป็นคนต่างชาติต่างศาสนา นี่แหละที่ได้แสดงเมตตาจิตต่อชาวยิวที่ถูกทำร้ายให้ได้รับการปฐมพยาบาลที่ข้างถนน ได้นำไปส่งที่โรงแรม ได้อยู่พยาบาลตลอดคืน และในวันรุ่งขึ้นได้จ่ายค่าหยูกยา ค่ารักษาและค่าที่พักให้แก่เจ้าของโรงแรม
    ในสามคนนี้ พระอาจารย์เจ้าถึงประยุกต์อุปมาโดยถามผู้ฟัง แน่นอน ชาวสะมาเรียเป็นผู้ที่มีความรักต่อเพื่อนบ้านอย่างแท้จริง และไม่ได้คำนึงด้วยว่าเพื่อนบ้านนั้นจะเป็นผู้ใด คนฟังก็ยอมรับเช่นเดียวกันว่าชาวสะมาเรียได้เป็นเพื่อนบ้านที่แท้จริง แต่ไม่ยอมตอบว่าเป็นชาวสะมาเรีย แต่ตอบว่าผู้ที่ได้ทำความดีนั่นแหละ แสดงให้เห็นความเป็นศัตรูระหว่างยิวกับชาวสะมาเรีย และบางทีเขาคงจะรู้สึกอับอายที่จะเอ่ยชื่อสะมาเรีย พระองค์จึงสรุปให้พวกเขาทำเช่นเดียวกัน

  คำสอน
    พระเยซูเจ้าพระองค์เองควรจะได้รับชื่อว่าเป็นชาวสะมาเรียผู้มีน้ำใจดี ซึ่งสมานแผลของผู้ป่วย รักษาและบรรเทาทุกข์ภัยไข้เจ็บนานาชนิด บันดาลให้มนุษย์ทุกคนมีความสุข และบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่ผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก และเดือดร้อนทุกคน พระองค์มิได้เพียงให้แบบฉบับในด้านความรักต่อเพื่อนมนุษย์แก่เราเท่านั้น แต่พระองค์ยังได้ทรงมีพระบัญชาอย่างเคร่งครัดให้เรารักเพื่อนมนุษย์เหมือนกับที่พระองค์ทรงรักเรา และพระองค์ยังได้เตือนเราด้วยว่า การตัดสินเราในวันพิพากษานั้น ขึ้นอยู่กับว่าเราได้แสดงความรักต่อพี่น้องของเรามากน้อยเพียงไร (มธ 25:31-46) เป็นโอกาสเหมาะใช้ได้ที่เราจะพิจารณามโนธรรมของเราอย่างตรงไปตรงมาว่าเราเป็นชาวสะมาเรียผู้มีน้ำใจดีต่อเพื่อนมนุษย์ของเราหรือไม่ ไม่จำเป็นที่เราจะต้องเดินไปตามเส้นทางจากรุงเยรูซาเล็มไปเยริโค เพื่อจะได้มีโอกาสพบผู้ประสบเคราะห์กรรม เพราะว่าผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือจากเรามีอยู่ทั่วๆ ไป และอยู่ใกล้ตัวเราด้วย เพียงแต่ว่าเราทำเป็นมองไม่เห็น หรือว่าเราไม่มีน้ำใจที่จะช่วยเหลือเขาเหมือนกับสมณะและเลวีผู้นั้นเท่านั้น เป็นไปได้ที่เราอาจจะมีข้อแก้ตัวร้อยแปดเพื่อไม่ให้เราช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ต้องการความช่วยเหลือจากเรา เช่น เรายังไม่รวยพอ ยังไม่มีเงินเหลือเฟือที่จะช่วยเหลือผู้อื่น เราจะต้องเลี้ยงดูครอบครัวของเรา ปล่อยโอกาสให้ผู้อื่นช่วยเหลือบ้าง ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นคนเกียจคร้านเอง ไม่สมควรจะช่วยเขาเพราะจะทำให้เขาเสียคน มีนิสัยเกียจคร้าน ฯลฯ เข้าใจว่าทั้งสมณะและเลวีคงจะมีเหตุผลหรือข้อแก้ตัวที่เขาไม่ได้ช่วยผู้ประสบเคราะห์ผู้นั้น เขาคงไม่ใช่เป็นคนใจร้าย หรือไม่รู้จักสงสารคน อย่างไรก็ดี พระเยซูเจ้าไม่ได้ทรงพูดถึงข้อแก้ตัวของเขา คล้ายๆ กับว่าจะแก้ตัวอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น พระอาจารย์ เราได้เห็นพระองค์ทรงหิวกระหาย หรือเป็นคนแปลกหน้า หรือไม่มีเครื่องนุ่งห่มเมื่อไรเล่า นี่เป็นข้อแก้ตัวที่ผู้ต้องโทษจะถามพระเยซูเจ้า (เทียบ มธ 25:44)
    เราคงจะเคยพบคริสตชนผู้มีน้ำใจดีมากมาย ซึ่งรู้สึกระทมทุกข์ในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์เมื่อได้ฟัง อ่านหรือเทศน์เรื่องเกี่ยวกับพระมหาทรมานของพระเยซูเจ้า และคงจะพยายามทุกวิถีทางที่จะบรรเทาทุกข์ และความเจ็บปวดของพระองค์ ถ้าหากเขาอยู่บนเนินกัลวารีโอ แต่พระเยซูเจ้าก็ได้ให้เขาพิสูจน์ความจริงใจของเขาแล้ว “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านไม่ได้ทำสิ่งใดต่อผู้ต่ำต้อยของเราคนหนึ่ง ท่านก็ไม่ได้ทำสิ่งนั้นต่อเรา” (มธ 25:45) ผู้ที่ต่ำต้อยของพระองค์ก็คือ ผู้ที่หิวกระหาย ไม่มีเครื่องนุ่งห่ม ขาดหยูกยา ที่อยู่รอบๆ เรานั่นแหละ ที่จริงพระเป็นเจ้าไม่ได้ดูว่าเราช่วยเขามากน้อยเท่าไร หรือว่าเราใช้เวลาในการบรรเทาทุกข์เพื่อนมนุษย์มากน้อยเพียงไร แต่พระองค์ดูน้ำใจและความเสียสละของเรา ฉะนั้น แม้คนที่ยากจนที่สุดและคนที่ติดธุระมากที่สุดก็ไม่สามารถที่จะแก้ตัวได้เลย เมตตาจิตเป็นหน้าที่ของทุกคน ไม่ว่าคนมีหรือคนจน
    ถ้าหากการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ทางด้านวัตถุเป็นข้อบังคับสำหรับคริสตชนทุกคน การช่วยเหลือทางด้านวิญญาณก็ต้องผูกมัดเรามากกว่าอีก เราจะพบคนประเภทนี้ที่ต้องการความช่วยเหลือจากเราอยู่มากมายเช่นกัน มีหลายคนได้ต่อต้านพระหรรษทานของพระเป็นเจ้าอย่างบ้าบิ่น หลายคนไม่ใยดีต่อคำเทศน์และการตักเตือนของพระสงฆ์และของพ่อแม่ เรามีโอกาสจะช่วยเหลือคนพวกนี้ได้ เราก็จำจะต้องช่วย คนบางคนเสียไปเพราะอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นภัย ไม่ใช่เพราะความผิดหรือเพราะความอ่อนแอของตนเองทั้งหมด เราก็ต้องหาทางช่วยคนจำพวกนี้ด้วย ซึ่งบางทีอาจจะง่ายกว่า
    คริสตชนที่มีน้ำใจดีจะมีโอกาสหาเวลาและวิธีการที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในยามขาดแคลน ทั้งฝ่ายกายและใจ เขาจะมอบความรักให้แก่เพื่อนมนุษย์ที่ยากจน เขาจะบรรเทาใจด้วยคำพูด ที่จะทำให้เขามีกำลังใจและความสุขใจ เขาจะให้คำแนะนำที่มีประโยชน์ และเขาจะหาคนเจ็บไปหาพระศาสนจักรหรือพระสงฆ์ที่จะช่วยเหลือเขาต่อไป โลกของเราคงจะดีขึ้นและน่าอยู่มากขึ้น ถ้าหากว่าคริสตชนที่ถือตามคำสั่งสอนของพระอาจารย์เจ้าอย่างจริงจังมากกว่านี้ ขอให้เราตั้งปฏิญาณไว้ว่า ตั้งแต่วันนี้ไปจะมีชาวสะมาเรียใจดีเพิ่มขึ้นอีก 1 คนในโลก