2. เพื่อนที่ไม่รู้จักกาลเทศะ (ลก 11:5-8 เทียบ มธ 15:23)

 

คำอธิบาย
ผู้ที่ฟังพระเยซูเจ้าคงจะเข้าใจจากการเปรียบเทียบของพระองค์  เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นมักเกิดขึ้นในสมัยนั้น และแม้ในสมัยนี้ด้วย  เป็นต้นระหว่างพวกคนจน  แขก  หรือญาติอาจจะมาถึงในยามกลางคืน  และเราอาจจะไม่มีอาหารเตรียมพร้อมไว้  วิธีแก้ปัญหาแบบธรรมดาก็คือ  เราอาจจะไปขอยืมจากเพื่อนบ้านได้  ถ้าหากร้านขายขนมปังปิดหรือว่าอยู่ไกลเกินไป
เพื่อนมาหา แม้ว่าเพื่อนจะมาโดยไม่คาดฝัน  แต่ก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี  เขาคงจะเหนื่อยและหิว เนื่องจากการเดินทางไกล เจ้าของบ้านอยากแสดงไมตรีจิต  แต่เขาก็อยู่ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างจะลำบากใจ  เพราะเขาไม่มีอาหารเตรียมพร้อมไว้  เราไม่มีขนมปังซึ่งเป็นอาหารหลักในสมัยนั้น  และในสมัยนี้ด้วย  ในประเทศปาเลสไตน์  ในหมู่บ้าน  ตามปกติมีเตาสาธารณะและแม่บ้านแต่ละบ้านก็มีเวลาของตัวที่จะไปใช้เตาทำขนมปัง  ตามปกติเขามักจะเตรียมขนมปังหมด  แต่เขายังมีเพื่อนบ้านซึ่งอาจจะมีขนมปังเหลือ  เขาจึงได้ไปหาเพื่อนบ้านโดยหวังเต็มที่ว่าคงจะแก้ปัญหาเขาได้

อย่ารบกวนฉันเลย ประตูปิดแล้ว  น้ำเสียงตอบจากข้างในออกจะไม่เป็นมิตรเสียเลย  ทั้งนี้ก็เพราะว่าเขาต้องถูกปลุกในยามวิกาลเช่นนี้  เขาก็ต้องรู้สึกมีความรำคาญ  และมิตรภาพที่เคยมีอาจจะเย็นชาลงได้
ลูกๆ กับฉันก็เข้านอนแล้ว ตามปกติบ้านของชาวยิวที่ยากจนหรือชั้นกลางมักจะมีเพียงห้องเดียวเท่านั้น  ทั้งครอบครัวนอนบนเสื่อที่ปูบนพื้นบ้านและนอนเบียดกันเพื่อจะได้อุ่น  ถ้าหากบิดาจะต้องไปเปิดประตูจะต้องเดินข้ามลูกๆ ไป  และบางทีอาจจะเหยียบลูกเพราะพลาดพลั้งก็ได้  และเด็กอาจจะตื่นก็เป็นได้
ฉันลุกขึ้นให้สิ่งใดท่านไม่ได้ดอก  ที่สุดเขาได้ปฏิเสธ  และคิดว่าคงจะหมดเรื่องแล้ว แต่เพื่อนบ้านคนนั้นยังคงเคาะประตูต่อไป ตอนดึกๆ ที่เงียบสงัดเช่นนั้น  เสียงเคาะประตูคงจะก่อให้เกิดความรำคาญไม่ใช่น้อยเลย  และอาจจะทำให้เด็กตื่นก็ได้ และผลร้ายที่เขาอยากจะหลีกเลี่ยงก็อาจจะเกิดขึ้น
เขาจะลุกขึ้นมาให้สิ่งที่เพื่อนต้องการเพราะถูกรบเร้า  ไม่ใช่เพราะความรักหรือมิตรภาพ  แต่เพื่อจะได้หลีกหายนะที่ใหญ่กว่า  คือ  กลัวลูกจะตื่น

คำสอน
พระอาจารย์เจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะสอนสานุศิษย์และเราทุกคนถึงความจำเป็นที่จะภาวนาโดยไม่หยุดหย่อน  ถ้าหากเราต้องการให้พระองค์ทรงโปรดตามที่เราขอ  อุปมาที่พระองค์ตรัสสอนเรานั้นเป็นเรื่องง่ายๆ แต่จะมีผลดีสำหรับเรามาก ถ้าหากเพื่อนมนุษย์ซึ่งมีข้อแก้ตัวร้อยแปดที่จะปฏิเสธคำขอร้องของเพื่อนยังต้องยินยอมให้  เนื่องจากเขาได้ขอโดยไม่หยุดหย่อน  เราก็มั่นใจได้เลยว่า  ผู้ที่เป็นเพื่อนของมนุษย์อย่างแท้จริงก็จะสนองตอบคำภาวนาของผู้ที่วิงวอนขอโดยไม่หยุดหย่อนเช่นกัน  ทั้งนี้ก็เพราะว่า  พระเป็นเจ้าทรงเป็นพระบิดาเจ้าของเราและพระองค์ปรารถนาที่จะช่วยมนุษย์เราอยู่แล้ว  แต่บางคนอาจจะถามว่า  ทำไมพระเป็นเจ้าจึงทรงต้องการให้เราภาวนาด้วยความพากเพียรโดยไม่หยุดหย่อน  ทำไมพระองค์ไม่ได้ทรงประทานตามที่เราขอร้องทันที  และทำไมพระองค์เมื่อทรงทราบทุกสิ่งทุกอย่างจึงไม่ประทานให้โดยที่เราไม่ต้องภาวนาขอ  ขอตอบว่าพระองค์ทรงประทานให้ตามที่เราต้องการถึง 99 เปอร์เซ็นต์แล้ว  พระองค์โปรดให้เรามีชีวิตอยู่  ให้เรามีทั้งกายและวิญญาณ  ให้เรามีสติปัญญาและน้ำใจ  ประทานความเชื่อให้แก่เรา รวมทั้งความไว้ใจและความรัก เวลาเรารับศีลล้างบาป พระองค์ได้ทรงตั้งพระศาสนจักรเพื่อแนะนำเราให้ถึงความรอดตลอดชั่วนิรันดร  ความจริงพระองค์ให้สารพัดแก่เรา  แต่เนื่องจากเรามีน้ำใจ  เรามีเสรีภาพ  ที่ยกฐานะของเราให้สูงกว่าสัตว์โลกทั้งหลาย  ฉะนั้น  พระองค์ก็ให้เราเลือกว่าเราจะเดินตามทางที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้แก่เราหรือไม่  แต่เนื่องจากหนทางนี้เป็นหนทางเหนือธรรมชาติเกินอำนาจของมนุษย์จะมีได้  และถ้าหากเราต้องการเราก็จำเป็นจะต้องขอ และนี่เป็นเพียง 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่พระองค์ให้เราขอ  และใครเล่าจะบังอาจพูดไว้ว่าพระเป็นเจ้าทรงเรียกจากเรามากเกินไป
สมมุติว่าเราจะต้องเดินทางจากกรุงเทพฯไปเชียงใหม่  และเพื่อนของเราได้ให้รถยนต์ใหม่เอี่ยมแก่เราคันหนึ่ง  ได้แนะนำให้เราขับไปตามทางที่ปลอดภัยที่สุด  และได้ติดต่อกับปั้มน้ำมันและร้านอาหารไว้เรียบร้อย  และได้จ่ายทุกสิ่งทุกอย่างให้แล้วด้วย  แต่สิ่งที่เขาขอร้องก็คือ ให้เราไปหยุดขอเติมน้ำมันตามชั้นต่างๆ เหล่านั้นเท่านั้น  เราจะบังอาจคิดว่าเพื่อนของเรานั้นจู้จี้เกินไปหรือ  เพราะคล้ายๆ ดังว่าเพื่อนของเราบังคับให้เราทำ บังคับให้เราต้องเติมน้ำมันตามสถานีต่างๆหรือ  พระบิดาเจ้าสวรรค์ได้ทรงกระทำกับเราเช่นเดียวกัน  เมื่อพระองค์ทรงสอนสานุศิษย์และเราทุกคนให้ภาวนา “โปรดประทานอาหารประจำวัน แก่ข้าพเจ้าทั้งหลายในวันนี้”
คำว่า “อาหารประจำวัน” มีความหมายรวมทั้งความต้องการฝ่ายวิญญาณและกาย  เราจะเดินทางไปสวรรค์  ไม่ใช่วิญญาณเราอย่างเดียวเท่านั้น  แต่ว่าเป็นเราทั้งครบที่มีทั้งวิญญาณและกายด้วย  เพราะฉะนั้น  เราจำเป็นจะต้องวิงวอนขอสิ่งที่เราต้องการทั้งสำหรับฝ่ายวิญญาณและกายด้วย  นี่เป็นคำสั่งของพระองค์  ในพระวรสารเราทราบว่าอัศจรรย์ประการแรกที่พระเยซูเจ้าได้ทรงกระทำคือ  การเปลี่ยนน้ำให้เป็นเหล้าองุ่นที่คานา  ทั้งนี้ก็เพื่อจะกู้หน้าเจ้าภาพไว้  เป็นความต้องการทางด้านวัตถุนี่แหละ  ในอุปมา  พระองค์ทรงสอนให้เราภาวนาโดยไม่หยุดหย่อน โดยการภาวนาเสมอๆ  เราทุกคนมีประสบการณ์ที่ดีกว่าในเวลาที่เราสบายดี  มีกินมีใช้  และบางคนเป็นเศรษฐี แต่ว่าเราได้ละเลยไม่สู้จะคิดถึงพระเป็นเจ้า เราลืมพระองค์  นี่คือความอ่อนแอของเรา  เพราะฉะนั้น  พระองค์จึงต้องคอยเตือนเราเสมอ  โดยให้เราเจ็บไข้ได้ป่วยบ้าง  พ่อแม่ญาติพี่น้องของเราเจ็บบ้าง  ยากจนขัดสนบ้าง  เพื่อจะได้เตือนลูกๆ ของพระองค์ให้คิดถึงพระองค์  และใกล้ชิดกับพระองค์บ้าง  ชีวิตในโลกนี้เป็นการเดินทางไปสู่ชีวิตนิรันดร เหมือนกับการเดินทางทั่วๆ ไป บางครั้งก็สบาย บางครั้งก็ลำบาก แต่ในที่สุดเราก็จะบรรลุถึงจุดหมายปลายทาง
พระเป็นเจ้าทรงพระประสงค์ให้เราภาวนาคิดถึงพระองค์อยู่เสมอ  และพระองค์ก็จะสดับฟังและสนองตอบคำภาวนาของเราเสมอเช่นกัน  ถ้าหากในบางกรณีเราไม่ได้รับตอบทันที  การที่ไม่ได้รับทันทีนั้นจะเป็นประโยชน์แก่เราด้วย  และเมื่อเวลามาถึงที่พระองค์เห็นว่าสิ่งที่เราขอนั้นจะบังเกิดต่อเราจริงๆ พระองค์ก็จะประทานให้ และบางครั้งประทานบางอย่างที่จำเป็นแก่เราทีเดียว  แต่เราไม่เคยคิดจะขอเสียซ้ำไป