พระคัมภีร์ (THE HOLY BIBLE)

พระคัมภีร์ คือ หนังสือที่บรรจุพระวาจาของพระเป็นเจ้า อยากทราบว่าพระเป็นเจ้าทรงมีพระประสงค์อย่างใด คริสตชนก็จะอ่านพระคัมภีร์ด้วยความรู้สึกสำนึกว่า พระเป็นเจ้ากำลังตรัสกับเรา พระคัมภีร์มิใช่หนังสือเล่มเดียว แต่เป็นเหมือน “ตู้หนังสือ” เลยทีเดียว เพราะประกอบด้วยหนังสือเล่มต่างๆ ถึง 73 เล่ม แบ่งออกเป็น 2 ภาค คือ
1) ภาคพันธสัญญาเดิม (THE OLD TESTAMENT) มีทั้งหมด 46 เล่ม
2) ภาคพันธสัญญาใหม่ (THE NEW TESTAMENT) มีทั้งหมด 27 เล่ม
อาศัยการมาบังเกิดของพระเยซูเจ้าเป็นจุดแบ่งพระคัมภีร์ทั้งสองภาค ผู้เขียนพระคัมภีร์มีมากมาย บางเล่มเราทราบนามผู้บันทึก แต่ก็มีจำนวนมากที่เราไม่ทราบว่าใครเป็นผู้บันทึก    เพราะพระคัมภีร์จำนวนไม่น้อยที่เกิดขึ้นจากการเล่าด้วยปากเปล่าในสมัยโบราณขณะที่ยังไม่มีตัวอักษรบันทึกลงไว้        การเล่าสืบต่อมาจากชั่วคนหนึ่งถึงชั่วคนหนึ่งมีอยู่ในหนังสือพระคัมภีร์ทั้งพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่    เช่นแม้ในสมัยที่มีตัวอักษรใช้แล้ว เรื่องราวและคำเทศน์สอนของพระเยซูเจ้าก็เกิดจากการบอกเล่า และเทศน์สอนของบรรดาอัครสาวกเป็นเวลานานก่อนที่จะมีผู้บันทึกเรื่องราวเหล่านั้นลงไว้เป็นลายลักษณ์อักษร

ใครคือผู้เขียนพระคัมภีร์?
พระเป็นเจ้า คือ ผู้เขียนพระคัมภีร์โดยทรงดลใจให้มนุษย์บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร การบันทึกจึงเป็นไปตามความถนัดของบุคคลนั้นๆ เช่น บางคนถนัดเขียนเป็นประวัติศาสตร์ก็เขียนเป็นหนังสือ พงศ์กษัตริย์ (พกษ) หนังสือพงศาวดาร (พศด) บางคนถนัดเขียนเป็นบทเพลงก็มีหนังสือ เพลงสดุดี (สดด) เพลงคร่ำครวญ (พคค) บางคนเขียนเป็นนิทานเปรียบเทียบ หรือ เป็นบทเทศน์ เช่น หนังสือของบรรดาประกาศกต่างๆ ฯลฯ แบบการเขียนต่างๆ เหล่านี้เราเรียกว่า “แบบวรรณกรรม” (LITERARY GENRES)     พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมเขียนเสร็จเรียบร้อย ก่อนพระเยซูเจ้าเสด็จมาบังเกิดบางเล่มบันทึกหรือเล่ากันมาเป็นเวลานานนับพันปี ก่อนสมัยพระเยซูเจ้า    ความยากลำบากสำหรับเราเวลาอ่านพระคัมภีร์จึงจำเป็นที่จะต้องอ่านด้วยหัวใจและทัศนะคติของคนที่มีชีวิตอยู่ก่อนเราซึ่งความเจริญและเทคโนโลยีเป็นคนละเวลากับเรา อย่าทำเหมือนกับนักศึกษาอายุน้อยๆ บางคนเมื่ออ่านพระคัมภีร์หนังสือ “ปฐมกาล” เรื่องพระเป็นเจ้าทรงสร้างโลกจบก็กล่าวว่า “นี่มันเป็นนิทานโกหก ใครจะมีชีวิตอยู่เห็นพระเป็นเจ้าสร้างอาดัมและเอวา แล้วอายุยืนยาวต่อมาเล่าให้เราฟัง” หากกล่าวเช่นนี้ เราก็คงเป็นเด็กที่มีทัศนคติคับแคบ ไม่เข้าใจชีวิต เรากำลังเอาโลกทัศน์ของคนที่มีชีวิตอยู่ในทศวรรษที่ 21 ไปตัดสินคนที่มีชีวิตและเทคโนโลยีห่างความเจริญจากเราเกือบ 4,000 ปี เราไม่แสวงหาความจริงจากพระคัมภีร์แต่เรากำลังแสวงหาความรู้ทางประวัติศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์    เราลืมไปว่าเดี๋ยวนี้เวลาเราสอนเด็กนักเรียนเรายังต้องใช้สื่อการสอน เช่น ภาพยนตร์ดีๆ บางเรื่องที่สะท้อนคุณธรรม สามารถทำให้เด็กๆ ชมแล้วสะเทียนใจกลับไปกระทำความดีโดยที่ครูแทบไม่ต้องสอนอะไรเพิ่มเติมอีกเลย ทำไมคนโบราณเมื่อ 4,000 ปีก่อนเขาจะไม่สามารถใช้เรื่องเล่า หรือ สื่อเพื่อสอนความจริงบางอย่างแก่ลูกหลานของเขา    ความจริงที่เกี่ยวกับพระเป็นเจ้าที่เขาได้รับการดลใจจากพระ แต่เขียนลงเป็นภาษามนุษย์ผู้มีข้อจำกัดมากมายในชีวิตให้เข้าใจ เชื่อและเห็นความจริง หนังสือพระคัมภีร์คือ หนังสือที่สอนความจริงของชีวิต มิใช่หนังสือประวัติศาสตร์ แม้จะเขียนเล่าประวัติศาสตร์ มิใช่หนังสือวิทยาศาสตร์ แม้จะเล่าเรื่องอันเป็นเหตุเป็นผลแห่งความเป็นจริงของโลก

การอ่านพระคัมภีร์จึงต้องเริ่มต้นทัศนคติและความเข้าใจผู้คนที่มีชีวิตอยู่ห่างไกลจากยุคสมัยของเรา แต่มีปัญหาที่ต้องการคำตอบในชีวิตไม่แตกต่างไปจากสมัยของเราเลย  ความอึดอัดคับข้องใจในการดำเนินชีวิตบนโลก ความทุกข์ยากลำบากที่มนุษย์ใฝ่หาตลอดมา คือ การได้กลับไปพักผ่อนในองค์พระเป็นเจ้าผู้เป็นความสุขเที่ยงแท้ที่สุดในชีวิตมนุษย์หลังความตายความบอดมืดในการดำเนินชีวิตผิดพลาดไป การสิ้นหวังในชีวิต สิ้นหวังกับคนและข้าวของเงินทองวัตถุ    สุดท้ายเรายังมีหวังเพราะเรามีพระเป็นพ่อผู้ใจดี ยังคงเป็นสุดยอดปรารถนาในชีวิตผู้คนเรื่อยมา และจะเป็นเช่นนี้เรื่อยไปจนสิ้นพิภพ

อยากอ่านพระคัมภีร์ให้เข้าใจทำอย่างไร?
1) ต้องสวดภาวนาขอความสว่างจากพระจิตเจ้า เพราะพระคัมภีร์มิใช่หนังสืออ่านเล่นทั่วๆ ไป แต่เป็นพระวาจาของพระเป็นเจ้า
2) พยายามศึกษาแบบวรรณกรรม (LITERARY GENRES) ของหนังสือพระคัมภีร์เล่มนั้นๆ ว่าเป็นการเขียนด้วยวิธีใด รูปแบบใด
3) ศึกษาประวัติศาสตร์และภูมิหลังของผู้เขียนว่าอยู่ในยุคสมัยใด พวกเขามีทัศนคติความคิดความเข้าใจต่างกับเราอย่างไร แก่นแท้ปัญหาในยุคสมัยของเขาคืออะไร?