การเสวนาด้านศาสนาสัมพันธ์ในคำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิก
นครรัฐวาติกัน, 12 พฤศจิกายน 2013 ( VIS )


          มีการแถลงข่าวหนังสือพิมพ์ที่จัดขึ้น ณ สำนักหนังสือพิมพ์ของสันตะสำนักเช้านี้ เพื่อเสนอหนังสือ "Il Dialogo Interreligioso nell'Insegnamento Ufficiale della Chiesa Cattolica ( 1963-2013 )" ( "“Il Dialogo Interreligioso nell'Insegnamento Ufficiale della Chiesa Cattolica (“Interreligious Dialogue in the Official Teaching of the Catholic Church, (1963-2013)”). ผู้ให้สัมภาษณ์ในการแถลงข่าวได้แก่พระคาร์ดินัลชอง-หลุยส์ ตอรอง (Cardinal Jean-Louis Tauran)สมณมนตรีกระทรวงเพื่อการเสวนาทางศาสนาสัมพันธ์และคุณพ่อมิเกล อันเยล อายูโซ กวีโซท ( Fr. Miguel Angel Ayuso Guixot M.C.C.J.) เลขาธิการสมณะชั้นสูงเดิม พร้อมกับพระสังฆราชฟรานเชสโก จิโอเอีย, O.F.M. Cap., (Bishop Francesco Gioia, O.F.M. Cap.)บรรณาธิการหนังสือเล่มนี้

           จุดมุ่งหมายของเล่มสาม,ซึ่งครอบคลุมอำนาจสั่งสอนของพระสันตะปาปาจากการประชุมสภาสังคายนาวาติกันที่สองจนถึงพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16, คือการเสนอความคิดที่เป็นทางการของพระศาสนจักรแก่คริสตชนคาทอลิกและศาสนิกอื่นๆ,ตามด้วยจิตตารมณ์ของ “คำแถลงเรื่องความสัมพันธ์ของพระศาสนจักรกับบรรดาศาสนาที่มิใช่คริสตศาสนา”(“Nostra Aetate”) ซึ่งสนับสนุนผู้เชื่อ, “อาศัยการเสวนาและความร่วมมือกับสมาชิกของศาสนาอื่น,และการเป็นพยานต่อความเชื่อและชีวิตคริสตชน, เพื่อยอมรับ,ปกป้องและส่งเสริมความดีด้านศีลธรรมและความดีด้านจิตวิญญาณ และค่านิยมด้านสังคม-วัฒนธรรมที่พวกเขาเชื่อ”
         พระคาร์ดินัลกล่าวว่า “การเลือกตำรา เคารพความสามารถของสมณกระทรวงเพื่อการเสวนาทางศาสนาสัมพันธ์, อย่างไรก็ตาม แง่หนึ่ง คือ การเสวนากับชาวยิว,ซึ่งเป็นความสามารถของคณะกรรมาธิการเพื่อศาสนาสัมพันธ์กับชาวยิว,กำหนดภายในสมณกระทรวงเพื่อคริสตศาสนจักรสัมพันธ์, และอีกแง่หนึ่ง การเสวนาศาสนสัมพันธ์,หรือความสัมพันธ์ต่างๆกับคริสตจักรอื่นและชุมชนวัด,ซึ่งอยู่ในขอบเขตของสภาเพื่อเอกภาพ”
           หนังสือรวบรวมเอกสารของสภาฯ ได้แก่ พระสมณสาสน์สากล,พระสมณสาสน์เตือนใจและพระโอวาทตั้งแต่(พระสันตะปาปา) นักบุญยอห์นที่ 23 ถึงสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16. มีเอกสารของสมณะชั้นสูงของคูเรียโรมันในเรื่องเสวนาศาสนาสัมพันธ์. มีเอกสารทั้งหมด 909 ซึ่งประกอบด้วยหนังสือของสมณกระทรวง 7 เล่ม, โดย (พระสันตะปาปา)นักบุญยอห์นที่ 23 จำนวน 2 เล่ม ,พระสันตะปาปาเปาโลที่ 6 จำนวน 97 เล่ม,พระสันตะปาปายอห์นที่ 1 จำนวน 2 เล่ม,(พระสันตะปาปา) นักบุญยอห์น ปอลที่ 2 จำนวน 591 เล่ม,พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 จำนวน  188 เล่ม,โรมัน คูเรีย จำนวน15 เล่ม,ตำรากฎหมาย 3 เล่ม และคณะกรรมาธิการนานาชาติ 4 เล่ม
          “ประโยชน์ของหนังสือเล่มนี้ที่มีความยาวถึง 2100 หน้า,เป็นหนังสือที่ง่ายต่อการใช้และเป็นพื้นฐานทางเทววิทยาของเสวนาด้านศาสนาสัมพันธ์ ในการสอนและปฏิบัติตามอำนาจการสอนของ
พระศาสนจักรคาทอลิก.
        ตัวชี้ 3 ประการ ได้แก่ เชิงวิเคราะห์, เชิงภูมิศาสตร์และความรู้ทั่วไป – จะทำให้ผู้ใช้ได้เนื้อหาที่น่าสนใจมากที่สุดภายใน 2-3 นาทีเท่านั้น, เป็นเพราะเพื่อค้นหาเอกสารในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์บนอินเตอร์เน็ต”,
          พระคาร์ดินัลกล่าวว่า "ความแปลกใหม่ของหนังสือเล่มนี้  คือการรวบรวมตำรับตำรา พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16...ทรงทำหมายเหตุประกอบซึ่งมีส่วนรวมสำคัญทีเดียว.  ภายในเวลา 7 ปีของสมณสมัยของพระองค์,เราพบหนังสือด้านเสวนาศาสนาสัมพันธ์จำนวน 188 เล่มจากพระสันตะปาปากิตติคุณเบเนดิกต์ที่ 16,เมื่อเปรียบเทียบกับ 591 เล่มจาก พระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 ระหว่างเวลาหนึ่งส่วนสามของศตวรรษ
หัวข้อนี้ทำเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอในแต่ละสมณสมัย. พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ทรงเสนอ “การเสวนาเกี่ยวกับความรักในความจริง”.ที่ใช้เวลา.  พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ทรงเสนอ “เสวนาเกี่ยวกับความรักในความจริง”.หนึ่งปีหลังจากพระโอวาทที่เรเกนสบูร์(Regensburg), นักวิชาการมุสลิม 38 ท่าน เพิ่มขึ้นถึง 138 คน, ได้เขียนจดหมายถึงพระสันตะปาปาในเอกสารที่มีชื่อว่า “คำที่ใช้ร่วมกันได้ระหว่าง (ศาสนาของ)เรากับ (ศาสนาของ)ท่าน, เพื่ออธิบายหลักการต่างๆของศาสนาอิสลามและแสดงความหวังสำหรับความเข้าใจร่วมกัน, และความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาอิสลามกับศาสนาคริสต์ที่มีพื้นฐานบนความรักที่มีต่อพระเจ้าและต่อผู้อื่น,ตามคำสอนของพระเยซูเจ้า.  ผลของความคิดริเริ่มที่น่าชื่นชม คือการจัดการประชุมที่เปิดรับความเห็นอย่างกว้างขวางระหว่างศาสนาอิสลามกับศาสนาคริสต์, ซึ่งยังดำเนินการอยู่มาจนถึงทุกวันนี้"
           พระคาร์ดินัลยังกล่าวว่า  เช่นเดียวกับพระสันตะปาปาองค์ก่อนๆ พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ทรงยืนยันว่า อิสรภาพทางศาสนาเป็นสิทธิที่ศักดิ์สิทธิ์และเอาไปไม่ได้ และต้องไม่สูญเสียโอกาสที่จะยืนยันเรื่องนี้. “ทำให้เชื่อมั่นว่า การปฏิเสธหรือจำกัดอิสรภาพทางศาสนา ตามที่สมัยนิยมที่ทำตามอำเภอใจหมายถึง ต้องปรับปรุงวิสัยทัศน์ที่ลดความเป็นมนุษย์ลงและความเป็นไปไม่ได้ที่จะยืนยันสันติสุขแท้แท้จริงและยั่งยืนสำหรับครอบครัวมนุษย์ทั้งหมด, ซึ่งสมเด็จพระสันตะปาปาทรงถือว่าเป็นสิ่งเดียวกับกระบวนโลกาภิวัตน์,ที่ยังดำเนินการอยู่,เป็นโอกาสที่เป็นผลข้างเคียงในการส่งเสริมความสัมพันธ์ของพี่น้องร่วมโลก"
           ก่อนสรุป, สังฆมนตรีแห่งสังฆกระทรวงได้ยกย่องความเพียรและสนใจในรายละเอียดของพระสังฆราชฟรานเชสโก จีโอเอีย,ซึ่งทำงานกับเจ้าหน้าที่หลายมาสยในคณะสมณชั้นสูง,เพื่อปรับปรุงแก้ไขงานนี้และฉบับก่อนของเล่มนี้ด้วย
          คุณพ่อมิเกล อันเยล อายูโซ กวีโซท(Fr. Miguel Angel Ayuso Guixot) สรุปรายการแถลงการณ์ที่พระสันตะปาปาทรงประกาศในคำสอนที่เกี่ยวกับเสวนาพร้อมกับศาสนิกอื่นๆ. ตัวอย่างเช่น พระสันตะปาปาเปาโลที่ 6 , ใน พระสมณสาสน์ “พระศาสนจักรของพระองค์" (Ecclesiam Suam), แสดงความเชื่อมั่นที่ลึกซึ้งของพระองค์ซึ่ง  “พระศาสนจักรต้องทำการเสวนากับโลกที่เราอาศัยอยู่. นั่นคือ สารที่จะให้ ซึ่งเป็นการสื่ออย่างหนึ่ง”. สมเด็จพระสันตะปาปายอห์นที่ 1 ถึงแม้ทรงดำรงในสมณสมัย 33 วัน, ก็ทรงเดินตามเส้นทางเดิมของพระสันตะปาปาองค์ก่อน “เรียกร้องให้ทุกคนร่วมมือกันสร้างที่หลบภัย,ภายในชาติต่างๆ เพื่อต่อต้านความรุนแรงที่มืดบอดและส่งเสริมการปรับปรุงสภาพของประชากรที่อับโชค..”
         สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอลที่สองทรงพัฒนา "วัฒนธรรมแห่งการเสวนา"(Culture of dialogue)  และ,ตามด้วยเหตุการณ์ของ 11 กันยายน 2001 และผลที่น่าเศร้าที่ตามมาในภูมิภาคตะวันออกกลางและตะวันออกใกล้, ได้เสนอบัญญัติสิบประการเพื่อความสงบสุขแก่บรรดาประมุขของรัฐและผู้แทนของรัฐบาลทั่วโลก.  ในตอนต้นของสมณสมัยของพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่16และสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 ทรงปลุกให้ตื่นด้วยการตรัสว่า “พระศาสนจักรปรารถนาให้สร้างสะพานมิตรภาพกับศาสนิกของทุกศาสนาต่อไป เพื่อแสวงหาความดีที่แท้จริงของทุกคนและของสังคมโดยรวม"

          พระองค์ทรงสรุปว่า “เส้นทางยังยาวไกล” "แต่พร้อมกับสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสที่ยังคงทำเสวนาแห่งมิตรภาพต่อไป. ภายใน 2-3 เดือนเท่านั้น, สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสได้ทรงจัดประชุมหลายครั้งกับตัวแทนของศาสนาอื่นๆ และตรัสเกี่ยวกับการเสวนาระหว่างศาสนามากมายทีเดียว ขอให้เราระลึกว่า ปีนี้สมเด็จพระสันตะปาปาลงพระนามในสารประจำปีแก่ชุมชนมิสลิมที่ฉลองการสิ้นสุดของเดือนรอมฎอน"