สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16: พระเยซูเจ้าเสด็จมาจากไหน

นครวาติกัน, 2 มกราคม 2013 (VIS)

     ในช่วงเวลาที่สมเด็จพระสันตะปาปาทรงสอนคำสอนผู้เข้าเฝ้าครั้งแรกในปี 2013 ณ หอประชุมเปาโลที่ 6 พร้อมกับประชาชนทั่วไปมากกว่า 7,000 คน พระองค์ทรงยกหัวข้อการประสูติของพระคริสตเจ้าว่า  เป็น "สิ่งใหม่เอี่ยมที่สามารถเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์" และกำเนิดของพระเยซูเจ้า

    สมเด็จพระสันตะปาปาตรัสว่า การประสูติขององค์พระผู้เป็นเจ้า "ส่องสว่างอีกครั้งหนึ่งสู่ความมืดที่ล้อมรอบโลกของเราและหัวใจของเรา แสงนี้นำความหวังและความชื่นชมยินดี. แสงนี้มาจากไหน? จากถ้ำใน เมืองเบธเลเฮมที่คนเลี้ยงแกะพบ'พระนางมารีย์นักบุญโยเซฟ และพระกุมารในรางหญ้า '. ต่อหน้าครอบครัวศักดิ์สิทธิ์นี้ตั้งคำถามที่ลึกซึ้งอื่นว่า : ทารกน้อยและอ่อนแอสามารถนำความใหม่อย่างมากที่สุดเข้ามาสู่โลกสามารถเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ได้อย่างไร มีสิ่งที่เร้นลับในการประสูติของพระกุมารที่อยู่เหนือถ้ำนั้นไหม

    "ในพระวรสารทั้งสี่, คำตอบของคำถามที่ว่า “พระเยซูเจ้าเสด็จมาจากไหน' อุบัติขึ้นอย่างกระจ่างชัดว่า กำเนิดที่แท้จริงของพระคริสตเจ้าคือ พระบิดาเจ้า. พระบุตรทรงมาจากพระบิดาเจ้าโดยสิ้นเชิง แต่ด้วยวิธีที่แตกต่างจากประกาศกหรือผู้สื่อข่าวของพระเจ้าที่มาก่อนพระคริสตเจ้า, กำเนิดอันเร้นลับของพระเจ้านี้, “ที่ไม่มีใครรู้' อยู่ในเรื่องราววัยเด็กของพระองค์ในพระวรสารของนักบุญมัทธิวและนักบุญลูกา ซึ่งเรากำลังอ่านช่วงเทศกาลคริสตสมภพ. ทูตสวรรค์กาเบียลประกาศว่า:. 'พระจิตเจ้าจะเสด็จมาเหนือท่านและพระอานุภาพของพระผู้สูงสุดจะแผ่เงาปกคลุมท่าน เพราะฉะนั้น บุตรที่เกิดมาจะเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ และจะรับนามว่าบุตรของพระเจ้า”  เรากล่าวซ้ำคำเหล่านี้ทุกครั้งที่เราสวดบทข้าพเจ้าเชื่อ การยืนยันความเชื่อว่า “พระวจนาตถ์ทรงรับสภาพมนุษย์”  “และพระจิตเจ้าคือการรับสภาพมนุษย์ของพระนางมารีย์” เราคุกเข่าเวลาสวดวลีนี้เพราะเงาที่คลุมพระเจ้าไว้  เพราะฉะนั้น อาจพูดว่า วลีนี้ถูกเผยแสดงและธรรมล้ำลึกที่ไม่อาจเข้าใจหยั่งถึงของพระคริสตเจ้ามาสัมผัสเรา. พระเจ้ากลายเป็น
อิมมานูเอล “พระเจ้าสถิตกับเรา”.

    เมื่อเราร่วมพิธีขอบพระคุณซึ่งอาจารย์แห่งดนตรีศักดิ์สิทธิ์ประพันธ์ไว้ –อาทิเช่น พิธีขอบพระคุณโอกาสสวมมงกุฎของโมสาร์ท - เราสังเกตว่า พิธีมีอิทธิพลเหนือวลีนี้ในลักษณะเฉพาะนี้  พยายามที่จะแสดงภาษาสากลของดนตรี ที่ถ้อยคำไม่อาจแสดงได้ ธรรมล้ำลึกอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่มารับสภาพมนุษย์และการที่พระเจ้ากลายเป็นมนุษย์" ...

    "บทข้าพเจ้าเชื่อไม่เน้นเรื่องนิรันดรภาพของพระเจ้านัก แต่พูดถึงเรามากกว่า เป็นเรื่องการมีส่วนร่วมของสามพระบุคคล และนั่นเป็นที่ตระหนักถึงการ “ออกมาจากพระนางมารีย์พรหมจารี” พระเจ้าไม่อาจเข้าสู่ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ได้หากปราศจากพระนาง และสิ่งนั้นซึ่งเป็นศูนย์กลางของการยืนยันความเชื่อก็จะไม่เกิดขึ้นด้วย    พระเจ้า คือพระเจ้าสถิตกับเรา ดังนั้น พระนางมารีย์เกี่ยวข้องกับความเชื่อชองเราอย่างปฏิเสธไม่ได้. เป็นความเชื่อที่พระเจ้าเสด็จเข้ามาในประวัติศาสตร์. ดังนั้น พระนางมารีย์ทรงจัดวางตัวตนทั้งหมดของพระนาง ให้คล้อยตามพระองค์, “การยอมรับ” ของพระนางจึงกลายเป็นตำแหน่งแห่งที่ที่พระเจ้าประทับอยู่”

    "บางกรณี เมื่อเราดำเนินชีวิตไปตามเส้นทางแห่งความเชื่อ เราก็สามารถสัมผัสได้ถึงความยากจนของเราและเป็นพยานที่ไม่เพียงพอต่อโลก.  แต่พระเจ้าได้ทรงเลือกสตรีที่ต่ำต้อยคนหนึ่ง ในหมู่บ้านที่ไม่เป็นที่รู้จัก ในชนบทห่างไกลที่สุดของจักรวรรดิโรมันอันยิ่งใหญ่. ขณะที่เราเผชิญกับความยากลำบากมากที่สุด, เราจะต้องมีความเชื่อในพระเจ้า, ฟื้นฟูความเชื่อของเราในการประทับอยู่ของพระองค์และในการกระทำของพระองค์ในเรื่องราวของเรา เฉกเช่นที่เป็นมาแล้วในชีวิตของพระนางมารีย์. “สิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์ ก็เป็นไปได้สำหรับพระเจ้า’ เมื่อเรามีอยู่กับพระองค์ เราก็เดินในเส้นทางที่ปลอดภัย และจะเปิดไปสู่อนาคตของความหวังที่มั่นคง. "...

    "อะไรเกิดขึ้นในตัวพระนางมารีย์ อาศัยการกระทำของพระจิตgเราเอง คือการเนรมิตสร้างใหม่. พระเจ้าที่ทรงบันดาลให้เกิด “ตัวตน” จากความไม่เป็นสิ่งใดด้วยการรับสภาพมนุษย์, ประทานชีวิตแก่การเริ่มต้นใหม่ของมนุษยชาติ. บรรดาปิตาจารย์ของพระศาสนจักรกล่าวถึงพระคริสตเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าทรงเป็นอาดัมใหม่เพื่อเน้นย้ำถึงการเริ่มต้นใหม่ของการเนรมิตสร้างใหม่ด้วยการประสูติของพระบุตรของพระเจ้าในพระครรภ์ของพระนางมารีย์. สิ่งนี้ทำให้เราไตร่ตรองเกี่ยวกับวิธีที่ความเชื่อที่เป็นสิ่งใหม่ในตัวเราว่าเข้มแข็งเพื่อการเกิดครั้งที่สอง. ความจริงแล้ว การเริ่มต้นของการเป็นคริสตชนอยู่ที่ศีลล้างบาป ที่ทำให้เราเกิดใหม่เป็นบุตรของพระเจ้า ที่ทำให้เรามีส่วนร่วมความสัมพันธ์เยี่ยงบุตรของพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระบุตรของพระบิดา. และข้าพเจ้าปรารถนาจะตั้งข้อสังเกตว่า ศีลล้างบาปที่ได้รับนั้น, “เราได้รับศีลล้างบาป” เป็นกรรมวาจก (ถูกกระทำ) เพราะไม่มีใครที่สามารถเปลี่ยนตัวเองให้เป็นบุตรของพระเจ้าด้วยตัวเขาเองได้. แต่เป็นของประทานที่พระเจ้าประทานแก่เราอย่างอิสระ... เพียงเราเปิดรับการกระทำของพระเจ้า อย่างที่พระนางมารีย์ได้ทำ  เพียงเราถวายชีวิตของเราแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเหมือนมอบแก่เพื่อนคนหนึ่งที่เราวางใจอย่างสมบูรณ์, ทุกสิ่งก็จะเปลี่ยนแปลง. ชีวิตของเรา
ได้รับความหมายใหม่และโฉมหน้าใหม่ ล้วนเป็นเรื่องของการเป็นบุตรของพระบิดาเจ้า พระองค์ทรงรักเราและไม่เคยทรงทอดทิ้งเราเลย”

    “ส่วนประกอบอื่นมาจากถ้อยวาจาของทูตสวรรค์ขณะแจ้งข่าวการประสูติของพระเยซูเจ้าแก่พระนางมารีย์. ทูตสวรรค์บอกพระนาง
มารีย์ว่า “พระอานุภาพของพระผู้สูงสุดจะแผ่เงาปกคลุมเขา” นี่เป็นคำเตือนถึงการเดินทางในที่เปลี่ยวของชาวอิสราเอล เมื่อเมฆศักดิ์สิทธิ์ปกคลุมประโจมนัดพบเหนือหีบพันธสัญญา ซึ่งประชากรอิสราเอลแบกไปกับพวกเขา นี่ชี้แสดงถึงการประทับของพระเจ้า. ดังนั้น พระนางมารีย์คือกระโจมศักดิ์สิทธิ์ใหม่ เป็นหีบพันธสัญญาใหม่.

    พระเจ้าทรงยอมรับสถานที่ประทับในโลกนี้เมื่อพระนางมารีย์ทรงตอบ “ค่ะ” กับถ้อยคำของอัครทูตสวรรค์. หากปราศจากคำนี้ ก็ไม่มีสิ่งใดในจักรวาลบรรจุในครรภ์ของหญิงพรหมจารีได้

    "ให้เรากลับไปยังคำถามที่เราเริ่มไว้ เกี่ยวกับกำเนิดของพระเยซูเจ้า สรุปด้วยคำถามของปิลาต ข้าหลวงโรมันว่า “ท่านมาจากไหน”. จากการไตร่ตรองของเรา ทำให้เห็นชัดเจนว่า ตั้งแต่เริ่มพระวรสาร จุดเริ่มต้นแท้ของพระเยซูเจ้าคืออะไร พระองค์ทรงเป็นพระเอกบุตรของพระบิดาเจ้า. พระองค์ทรงมาจากพระเจ้า. เรากำลังเผชิญหน้ากับธรรมล้ำลึกที่มีแก่นสารที่เราเฉลิมฉลองในช่วงเวลาแห่งคริสตสมภพ:  ด้วยพระพลานุภาพของพระจิตเจ้า ทำให้พระบุตรแห่งพระเจ้ามารับสภาพมนุษย์ในครรภ์ของพระนางมารีย์พรหมจารี. นี่คือการแจ้งข่าวที่ดังก้องใหม่และทำให้หัวใจเต็มไปด้วยความหวังและความชื่นชมยินดี เพราะทุกครั้งที่ทำให้เรามั่นใจว่า แม้ว่าเรามักจะรู้สึกอ่อนแอและยากจนจนไม่สามารถเผชิญหน้ากับความยากลำบากและความชั่วร้ายของโลกก็ตาม  พระพลานุภาพของพระเจ้า ทรงกระทำการและกระทำสิ่งมหัศจรรย์เสมอด้วยการแสดงและงานมหัศจรรย์อย่างถูกต้องในความอ่อนแอของเรา. พระหรรษทานของพระองค์คือความเข้มแข็งของเรา "