การส่งเสริมกระแสเรียกการเป็นพระสงฆ์คือการท้าทายที่คงที่สำหรับพระศาสนจักร

นครรัฐวาติกัน 25 มิถุนายน 2012 (VIS)

    การประชุมแถลงข่าวหนังสือพิมพ์จัดขึ้นในเช้าวันนี้ สำนักพิมพ์ของสันตะสำนักสนอ “คู่มืองานอภิบาลสำหรับส่งเสริมกระแสเรียกเพื่อพระสงฆ์” (Pastoral Guidelines for  Fostering Vocations to Priestly Ministry).พระคาร์ดินัล Zenon Grocholewski สมณมนตรี, พระอัครสังฆราช Jean-Louis Brugues O.P.เลขาธิการ,และ Msgr. Angelo Vincenzo Zani รองเลขาธิการประจำสมณกระทรวงเพื่อการศึกษาคาทอลิก. พระคาร์ดินัลอธิบายว่าจะมีการใช้เอกสารนี้ในการประชุมใหญ่ เพราะมีการตอบและคำแนะนำจากสภาพระสังฆราชต่างๆ. และสมเด็จพระสันตะปาปาทรงเห็นชอบกับเอกสารล่าสุดลงวันที่ 25 มีนาคม 2012 ซึ่งเป็นวันครบรอบปีที่ 12 ของสมณสารเตือนเรื่อง ““เรามอบนายชุมพาบาลแก่พวกท่าน” ("Pastores dabo vobis".)

    เอกสารแบ่งเป็นสามภาค ซึ่งภาคแรก จะพิจารณาสถานการณ์ปัจจุบันของกระแสเรียกการเป็นพระสงฆ์ในโลกปัจจุบัน. และรูปแบบที่เกี่ยวข้องของงานอภิบาล. ภาคที่สอง เป็นการวิเคราะห์อัตลักษณ์ของพระสงฆ์ที่ทำศาสนบริการ. ภาคที่สาม เป็นข้อเสนอแนะบางอย่างสำหรับงานอภิบาลกระแสเรียก. พระคาร์ดินัลกล่าวว่ากุญแจสำคัญในการเข้าใจเอกสารนี้ คือความคิดที่ว่า "การส่งเสริมกระแสเรียกการเป็นพระสงฆ์เป็นการท้าทายที่คงที่สำหรับพระศาสนจักร”

    ภาคแรกของเอกสารระบุปัจจัยสามประการที่ขัดขวางงานอภิบาลด้านกระแสเรียก . เหนือสิ่งอื่นใด  ปัจจัยที่เห็นชัดในพระศาสนจักรต่างๆของธรรมประเพณีคริสต์ในตะวันตกคือ  มาจากอัตราการเกิดลดลง และวิกฤตในครอบครัว  การแผ่ขยายของชีวิตจิตแบบโลกียวิสัย และความยุ่งยากของการดำเนินชีวิตสงฆ์และการทำศาสนบริการ

    พระคาร์ดินัล Grocholewski กล่าวว่า"ในแง่ของความยุ่งยากเหล่านั้น  ขาดสภาพที่ช่วยให้มั่นใจว่าพระหรรษทานของกระแสเรียกต้องพบดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ในพระศาสนจักร และการเปิดตัวแก่เยาวชนเพื่อกระแสเรียกการเป็นพระสงฆ์” นี่รวมถึง "การผลิตดินแดนที่อุดมสมบูรณ์สำหรับชีวิตคริสตชนในชุมชนวัด ...หน้าที่การสวดภาวนาที่ไม่มีสิ่งใดมาแทนได้...ความสำคัญของงานอภิบาลเชิงบูรณาการ..ซึ่งเป็นแรงขับใหม่ของการประกาศพระวรสารและการกระทำพันธกิจ... อันเป็นบทบาทที่สำคัญของครอบครัว...การเป็นพยานที่ร่าเริงและมีมนุษยสัมพันธ์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระสงฆ์... ประสิทธิภาพของการศึกษาในงานอาสา... ความสำคัญของโรงเรียนและมหาวิทยาลัย”

    ส่วนพระอัครสังฆราช Brugues อธิบายภาคที่สองของเอกสารว่าครอบคลุมส่วนประกอบเฉพาะที่ “ต้องชูประเด็น เพราะถูกข่มขู่หรือการไม่เอาธุระอันมาจากความยุ่งยากตามที่ทราบในชีวิตพระศาสนจักร และวัฒนธรรมร่วมสมัย.ความเสี่ยงนี้เตือนถึงการเบี่ยงเบนที่อันตรายจากคุณค่าของกระแสเรียกการทำศาสนบริการของพระสงฆ์”

    องค์ประกอบเหล่านี้ครอบคลุม “แนวโน้มหนึ่งสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงก้าวหน้าของสังฆภาพเข้าสู่การเป็นอาชีพหนึ่ง” สิ่งนี้เชื่อมโยงกับ “อันตรายของแนวคิดของ “การดำเนินชีวิตด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์(activism)ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงกับ “อันตรายของแนวคิดนี้ (activism) ที่มากเกินไป ปัจเจกนิยมที่เพิ่มขึ้นซึ่งบ่อยครั้งปิดกั้นพระสงฆ์ให้รู้สึกโดดเดี่ยวถูกกดดันและเก็บตัว และสับสนเรื่องบทบาทในพระศาสนจักรซึ่งเกิดขึ้นได้เมื่อเราสูญเสียสำนึกของการแยกแยะระหว่างบทบาทกับหน้าที่รับผิดชอบ และไม่ใช่ทุกคนมาร่วมมือกันในการทำพันธกิจเดียวที่ได้รับมอบหมายแก่ประชากรของพระเจ้า”

    ภาคที่สองยังเน้นข้อเท็จจริงที่ว่า เข้าใจ ศาสนบริการของพระสงฆ์ ว่าอยู่“ในกรอบของการเสวนาเรื่องความรักระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ ถึงแม้มีอยู่ในกระแสเรียกทั้งหมดก็ตาม ตั้งสมมติฐานได้ว่าเป็นลักษณะของการเรียกร้องให้มีความสัมพันธ์ที่มั่นคงและรูปแบบเฉพาะกับพระเยซูเจ้าเอง อันเป็นต้นแบบของสังฆภาพในพันธสัญญาใหม่.. . ความสัมพันธ์ใหม่ที่เฉพาะเจาะจงกับพระเยซูเจ้าเป็นเหตุให้บุคคลได้รับเรียกให้มีความสัมพันธ์ใหม่ที่เฉพาะเจาะจงกับความสัมพันธ์กับชุมชน
คริสตชนอย่างเท่าเทียมกัน”

    ในที่สุด ภาคสามของเอกสารมุ่งเน้นที่มุมมองหนึ่งของข้อมูลสำหรับศาสนบริการของพระสงฆ์. เหล่านี้ครอบคลุม “ประสบการณ์ที่ลึกซึ้งของชีวิตประชาคม เพื่อหลีกเลี่ยงรูปแบบใหม่ของการได้รับศีลบวช...บูรณาการที่สมบูรณ์และวุฒิภาวะด้านอารมณ์..การมีส่วนร่วมอย่างเข้มข้น ด้วยท่าทีนอบน้อมเชื่อฟังในบริบทของพระศาสนจักร พร้อมด้วยความรักที่เป็นรูปธรรมสำหรับพระศาสนจักรท้องถิ่นของเขาเอง... การเปิดรับมิติสากลของพันธกิจด้วยใจกว้าง... บทบาทที่สำคัญของคนที่ร่วมกระแสเรียกและ ...การนำเสนอบุคคลตัวอย่างสำหรับพระสงฆ์”

    มงซินญอร์ Angelo Vincenzo Zani กล่าวปิดการประชุมแถลงข่าว เพื่ออธิบายวิธีที่เอกสาร “ย้ำข้อเท็จจริงที่ว่า  “ดินแดนที่บังเกิดผลสำหรับกระแสเรียกคือชุมชนวัดที่ฟังพระวาจา สวดภาวนาในพิธีกรรม และการแสดงเมตตาธรรม. เอกสารเรียกร้องให้พระศาสนจักรทั้งหมดเพิ่มความพยายามในการให้การศึกษาผู้คนเพื่อต้อนรับการเรียกของพระเจ้าให้มาเป็นพระสงฆ์ ซึ่งพระญาณเอื้ออาทรยังคงแพร่สิ่งที่เราเชื่อในปัจจุบัน และปรับให้เข้ากับความจำเป็นของพระศาสนจักรและการประกาศพระวรสารของโลก”