แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

VI. ยูดาสสู้รบกับชนชาติใกล้เคียงและสู้รบกับลีเซียส แม่ทัพของกษัตริย์อันทิโอคัสที่ 5


เริ่มรัชสมัยของกษัตริย์อันทิโอคัสที่ 5
    9เราเพิ่งเล่าถึงวาระสุดท้ายของกษัตริย์อันทิโอคัส เอปีฟาเนส 10บัดนี้ เราจะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรัชสมัยของกษัตริย์อันทิโอคัส ยูปาเตอร์ บุตรของคนที่ดูหมิ่นพระเจ้าผู้นั้น และจะสรุปเหตุร้ายที่เป็นผลของสงครามc 11เมื่อกษัตริย์อันทิโอคัส ยูปาเตอร์สืบราชสมบัติต่อมา ก็ทรงแต่งตั้งลีเซียส ผู้ปกครองแคว้นซีเรียใต้และแคว้นฟีนีเซีย ให้เป็นผู้บริหารประเทศ 12โทเลมี มาโครน เคยปกครองทั้งสองแคว้นนี้มาก่อน เขาพยายามปฏิบัติต่อชาวยิวอย่างยุติธรรม เพื่อชดเชยความอยุติธรรมที่ชาวยิวเคยได้รับ เขาพยายามมีความสัมพันธ์อย่างดีกับชาวยิว 13เพราะเหตุนี้ บรรดาพระสหายของกษัตริย์จึงฟ้องเขาต่อกษัตริย์อันทิโอคัส ยูปาเตอร์ ทุกคนเรียกโทเลมีว่าผู้ทรยศ เพราะเขาทิ้งเกาะไซปรัสd ซึ่งกษัตริย์ฟีโลเมเตอร์ทรงมอบหมายให้เขาปกครอง ไปสวามิภักดิ์ต่อกษัตริย์อันทิโอคัส เอปีฟาเนส เมื่อโทเลมีคิดว่าตนปฏิบัติหน้าที่อย่างมีเกียรติไม่ได้ จึงฆ่าตัวตายด้วยการดื่มยาพิษ

กอร์เกียสและป้อมปราการของชาวอีดูเมอา
    14เมื่อกอร์เกียสขึ้นเป็นผู้ปกครองแคว้นอีดูเมอา เขาจ้างทหารต่างชาติแล้วหาโอกาสทำสงครามกับชาวยิวอยู่เสมอ 15เวลาเดียวกัน ชาวอีดูเมอาซึ่งคุมป้อมปราการสำคัญก็รังควานชาวยิว ต้อนรับทุกคนที่ถูกขับไล่จากกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อยั่วยุชาวยิวให้ทำสงคราม 16ยูดาส มัคคาบีและพวกอธิษฐานภาวนาทูลวอนขอพระเจ้าให้ทรงสู้รบเป็นฝ่ายตน แล้วจึงรีบเคลื่อนทัพไปยังป้อมปราการของชาวอีดูเมอา 17เมื่อโจมตีอย่างรุนแรงแล้ว เขาก็เข้ายึดสถานที่นั้นได้ ขับไล่ทหารที่เฝ้ากำแพงออกไป แล้วฆ่าฟันทุกคนที่เขาพบ มีผู้คนตายไม่น้อยกว่าสองหมื่นคน 18แต่ไม่น้อยกว่าเก้าพันคนหนีไปหลบภัยในหอมั่นคงมากสองหอ มีเสบียงอาหารและทุกสิ่งที่จำเป็นเพื่อต่อต้านการถูกล้อม 19ยูดาส มัคคาบีให้ซีโมน โยเซฟ และศักเคียส รวมทั้งทหารจำนวนมากพอที่จะล้อมป้อมต่อไปอยู่ที่นั่น แล้วยกทัพไปยังที่ที่มีความต้องการเร่งด่วนกว่า 20แต่ทหารของซีโมนบางคนที่เห็นแก่เงินยอมรับสินบนจากผู้ที่อยู่ในหอ เขารับเงินเจ็ดหมื่นดรักมา แล้วปล่อยให้คนจำนวนหนึ่งหนีไป 21เมื่อยูดาสรู้ว่าอะไรเกิดขึ้น เขาก็เรียกประชุมหัวหน้าประชากร กล่าวหาผู้ที่ขายญาติพี่น้องเพื่อเงิน แล้วปล่อยศัตรูเป็นอิสระให้กลับมาสู้รบกับตน 22เขาจึงสั่งประหารผู้ทรยศ แล้วยึดหอทั้งสองหอได้ทันที 23ยูดาสทำการรบครั้งใดก็ประสบความสำเร็จทุกครั้ง เขาประหารชีวิตคนที่อยู่ในป้อมปราการทั้งสองป้อมนั้นมากกว่าสองหมื่นคนe

ยูดาสชนะทิโมธีและยึดเมืองเกเซอร์ f
    24ทิโมธีซึ่งแต่ก่อนเคยแพ้ชาวยิว รวบรวมกำลังพลต่างชาติจำนวนมาก และกองทหารม้าจากแคว้นอาเซียจำนวนไม่น้อย ยกมาเพื่อใช้กำลังยึดแคว้นยูเดีย 25เมื่อทิโมธีมาถึง ยูดาสมัคคาบีกับคนของเขาโปรยฝุ่นบนศีรษะเพื่ออธิษฐานภาวนาต่อพระเจ้า สวมผ้ากระสอบ 26กราบลงหน้าพระแท่นบูชา วอนขอพระเจ้าให้ทรงพระเมตตาต่อเขา และแสดงพระองค์เป็นศัตรูต่อศัตรูของเขา เป็นปรปักษ์ต่อปรปักษ์ของเขา ดังที่ธรรมบัญญัติกล่าวไว้
    27เมื่ออธิษฐานจบแล้ว เขาจับอาวุธ ออกจากเมืองไประยะหนึ่ง แล้วหยุดใกล้ศัตรู 28พอรุ่งสาง กองทัพทั้งสองฝ่ายก็เข้าปะทะกัน ฝ่ายหนึ่งมั่นใจว่าจะประสบความสำเร็จและมีชัยชนะ เพราะความกล้าหาญของตน และเพราะมีความวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วย ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งสู้รบเพราะความโกรธ
    29ขณะที่กำลังสู้รบกันอย่างดุเดือด ศัตรูเห็นชายห้าคนปรากฏบนท้องฟ้า สูงสง่า ขี่ม้าสายบังเหียนทองคำ นำหน้าชาวยิว 30ชายห้าคนนี้นำยูดาสมาอยู่ตรงกลาง ใช้โล่ล้อมเขาไว้ บังเขาไม่ให้ถูกอาวุธบาดเจ็บ ยิงธนู ขว้างสายฟ้าเข้าใส่ศัตรู ทำให้ศัตรูตกตะลึงและนัยน์ตาบอดไป ศัตรูจึงสับสนอลหม่าน แตกกระจัดกระจายไปg 31ทหารราบสองพันห้าร้อยคนและทหารม้าหกร้อยคนถูกฆ่าตาย 32ทิโมธีหนีเข้าไปในป้อมที่มั่นคงชื่อเกเซอร์ มีเคเรอัสเป็นผู้บังคับบัญชาป้อม  33ยูดาสมัคคาบีและคนของเขาล้อมป้อมไว้เป็นเวลาสี่วัน  ด้วยความมุ่งมั่น 34คนที่อยู่ในป้อมวางใจในความมั่นคงของสถานที่ กล่าวดูหมิ่นพระเจ้าและด่าแช่งอย่างหยาบคายอยู่ตลอดเวลา 35รุ่งเช้าวันที่ห้า ชายหนุ่มยี่สิบคนในกองทัพของยูดาส มัคคาบี โกรธที่พวกศัตรูดูหมิ่นพระเจ้า จึงเข้าโจมตีกำแพงป้อมอย่างกล้าหาญ ฆ่าฟันศัตรูทุกคนที่พบเหมือนสัตว์ร้ายที่กำลังโกรธ 36ส่วนคนอื่นปีนกำแพงอีกด้านหนึ่งของป้อม จุดไฟเผาหอและจุดไฟคลอกผู้ดูหมิ่นพระเจ้าเหล่านั้นตายทั้งเป็น ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งพังประตูใหญ่ให้กำลังพลที่เหลือเข้ามายึดเมืองได้ 37ทิโมธีไปซ่อนตัวอยู่ในบ่อเก็บน้ำ แต่ก็ถูกฆ่าพร้อมกับเคเรอัสน้องชาย และอปอลโลฟาเนส 38เมื่อทหารชาวยิวประกอบวีรกรรมนี้แล้ว เขาก็ร้องเพลงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า ขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงพระเมตตาต่ออิสราเอลอย่างใหญ่หลวง และประทานชัยชนะให้

ลีเซียสปราชัย a
11    1หลังจากนั้นไม่นาน ลีเซียสผู้ดูแลกษัตริย์ เป็นพระญาติและเป็นผู้บริหารประเทศ ไม่พอใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมาก 2จึงระดมกำลังพลทหารราบประมาณแปดหมื่นคน และทหารม้าทั้งหมด ยกทัพมาสู้รบกับชาวยิว เขามีแผนการจะทำให้กรุงเยรูซาเล็มเป็นที่อยู่ของชาวกรีก 3จะเก็บภาษีจากพระวิหารเหมือนที่เคยเก็บจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชนชาติอื่น และจะขายตำแหน่งมหาสมณะทุกปี 4เขาไม่คำนึงถึงพระอานุภาพของพระเจ้าเลย กลับมั่นใจอย่างยิ่งในทหารราบจำนวนมาก ทหารม้าหลายพันคนและช้างแปดสิบเชือก 5เมื่อเขายกทัพมาถึงแคว้นยูเดีย เข้ามาใกล้เมืองเบธ-ซูร์ ซึ่งมีป้อมปราการป้องกัน อยู่ห่างจากกรุงเยรูซาเล็มราวสามสิบกิโลเมตร ก็ล้อมเมืองไว้ 6เมื่อยูดาส มัคคาบีและคนของเขารู้ว่าลีเซียสกำลังล้อมป้อมอยู่ ก็มาชุมนุมกับประชาชนทุกคน วอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า ร้องคร่ำครวญด้วยน้ำตานองหน้า ขอให้ทรงส่งทูตสวรรค์มาช่วยอิสราเอลให้รอดพ้น 7ยูดาส มัคคาบีจับอาวุธเป็นคนแรก ปลุกใจคนอื่นให้มาร่วมเสี่ยงชีวิตกับตนเพื่อช่วยเหลือญาติพี่น้อง ทุกคนออกเดินทางไปด้วยความกล้าหาญ 8เมื่อเขายังอยู่ใกล้กรุงเยรูซาเล็ม ทันใดนั้นทหารม้าคนหนึ่งปรากฏต่อหน้าเขา สวมเสื้อขาวและถืออาวุธทองคำ 9ทุกคนจึงร่วมกันขอบพระคุณพระเจ้าที่ทรงพระเมตตา จิตใจของเขาฮึกเหิมขึ้น พร้อมจะโจมตีทั้งมนุษย์และสัตว์ป่าที่ดุร้ายที่สุดและกำแพงเหล็ก 10เขาเดินหน้าเป็นขบวนตามผู้ร่วมรบที่มาจากสวรรค์ เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเมตตาต่อเขา 11เขาบุกเข้าใส่ศัตรูเหมือนสิงโต ฆ่าฟันทหารราบหนึ่งหมื่นหนึ่งพันคน และทหารม้าหนึ่งพันหกร้อยคน ส่วนคนอื่นจำต้องหลบหนีไปหมด 12คนที่หนีไปได้ส่วนมากบาดเจ็บ ต้องทิ้งอาวุธ ลีเซียสก็ต้องหนีเอาชีวิตรอดอย่างน่าอับอายด้วย

ลีเซียสทำสัญญาสงบศีกกับชาวยิว
    13แต่ลีเซียสไม่ใช่คนโง่ เขาไตร่ตรองถึงเรื่องความพ่ายแพ้ที่เพิ่งได้รับ ก็รู้ว่าที่ชาวฮีบรูไม่มีวันแพ้ก็เพราะพระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพทรงสู้รบเคียงข้างเขา 14ลีเซียสจึงส่งผู้ถือสารไปเสนอข้อตกลงสันติภาพโดยมีเงื่อนไขอย่างยุติธรรม และสัญญาจะชักชวนbกษัตริย์ให้ยอมเป็นมิตรกับชาวยิวด้วย 15ยูดาส มัคคาบีเป็นห่วงผลประโยชน์ส่วนรวม จึงตกลงตามข้อเสนอของลีเซียสทุกประการ ส่วนกษัตริย์ก็ทรงยอมตามที่ยูดาส มัคคาบีขอร้องลีเซียสเป็นลายลักษณ์อักษรสำหรับชาวยิวc
    16จดหมายที่ลีเซียสเขียนถึงชาวยิวมีความว่าดังนี้
    “ลีเซียสขอส่งความสุขมายังชาวยิว 17ยอห์นกับอับซาโลมdที่ท่านส่งมาได้มอบเอกสารที่แนบมาด้วย ขอให้ข้าพเจ้ารับรองข้อเสนอที่กล่าวไว้ 18ทุกสิ่งที่ต้องเสนอแด่กษัตริย์อันทิโอคัสe ข้าพเจ้าได้ทูลเสนอให้ทรงพิจารณา และข้อเสนอที่เป็นไปได้ พระองค์ก็ทรงอนุมัติ 19ถ้าท่านยังคงจงรักภักดีต่อประเทศ ข้าพเจ้าจะพยายามส่งเสริมผลประโยชน์ของท่านในอนาคตด้วย 20ข้าพเจ้ามอบอำนาจให้ผู้ถือสารและผู้แทนของข้าพเจ้าปรึกษากับท่านในรายละเอียด 21สวัสดี” ปีหนึ่งร้อยสี่สิบแปด วันที่ยี่สิบสี่ เดือนดิโอสโครินธิอัสf
    22พระราชสารของกษัตริย์มีความว่าดังนี้
    “กษัตริย์อันทิโอคัสgขอส่งความสุขมายังลีเซียสพี่ชาย 23พระราชบิดาของเราเสด็จไปอยู่กับบรรดาเทพเจ้าhแล้ว เราปรารถนาให้พลเมืองของอาณาจักรทำการงานของตนได้โดยสะดวก 24เราได้ยินว่าชาวยิวไม่เห็นด้วยกับนโยบายของพระราชบิดา ในเรื่องการดำเนินชีวิตแบบกรีก เขาอยากดำเนินชีวิตตามแบบของตนมากกว่า จึงขอให้เราอนุญาตให้เขาปฏิบัติตามประเพณีของตน 25เราปรารถนาให้ประชาชนนี้พ้นจากความวุ่นวายด้วย เราตัดสินให้คืนพระวิหารแก่เขา และให้เขาดำเนินชีวิตตามประเพณีของบรรพบุรุษได้ 26จะเป็นการดีถ้าท่านจะส่งทูตไปพบเขาเพื่อทำสัญญามิตรภาพ เมื่อเขารู้ถึงการตัดสินใจของเรานี้แล้ว เขาจะได้ดีใจ ทำการงานของตนอย่างสะดวกอีกครั้งหนึ่ง”
    27พระราชสารของกษัตริย์ถึงประชากรชาวยิวมีความว่าดังนี้
    “กษัตริย์อันทิโอคัสขอส่งความสุขมายังผู้อาวุโสของชาวยิว และถึงชาวยิวทั้งปวง 28เราหวังว่าท่านสบายดี เราเองก็สุขสบายดี 29เมเนเลาส์บอกเราว่าท่านปรารถนาจะกลับบ้านไปทำการงานของท่าน 30เพราะฉะนั้น ผู้ที่ออกเดินทางภายในวันที่สามสิบของเดือนซันธิคัสจะได้รับประกันความปลอดภัย 31และได้รับสิทธิในฐานะที่เป็นชาวยิว ให้ใช้กฎบัญญัติเรื่องอาหารและกฎบัญญัติอื่นๆดังที่เคยปฏิบัติมาแต่เดิม เขาจะไม่ถูกผู้ใดรบกวนเพราะความผิดที่ทำโดยไม่รู้ 32เราส่งเมเนเลาส์มายืนยันให้ท่านแน่ใจi 33สวัสดี” ปีหนึ่งร้อยสี่สิบแปด วันที่สิบห้าเดือนซันธิคัส
    34ชาวโรมันยังส่งจดหมายมาถึงชาวยิวมีความว่าดังนี้
    “ควินทัส เมมมิอัส และทิตัส มานิอัสj ทูตของชาวโรมัน ขอส่งความสุขมายังชาวยิว 35เราเห็นชอบด้วยกับข้อตกลงที่ลีเซียส พระญาติของกษัตริย์อนุมัติแก่ท่าน 36ส่วนเรื่องที่เขาตัดสินว่าควรเสนอต่อกษัตริย์นั้น เมื่อท่านพิจารณาแล้ว จงรีบส่งผู้แทนนำเรื่องมาบอกเราด้วย เพื่อเราจะได้เสนอต่อกษัตริย์อย่างที่จะเป็นประโยชน์แก่ท่าน เรากำลังจะไปเมืองอันทิโอก 37ขอได้รีบส่งบางคนมาแจ้งความคิดเห็นของท่านให้เราทราบด้วย 38สวัสดี” ปีหนึ่งร้อยสี่สิบแปด วันที่สิบห้าเดือนซันธิคัสk

เหตุการณ์ที่เมืองยัฟฟาและยัมเนีย
12     1เมื่อตกลงกันเช่นนี้แล้ว ลีเซียสก็กลับไปเฝ้ากษัตริย์a ส่วนชาวยิวทำไร่ทำนาได้อีก 2แต่ผู้ปกครองเขตแดนบางคน ได้แก่ทิโมธีและอปอลโลเนียส บุตรของเยนเนอัส เฮโรนิมัสและเดโมโฟน รวมทั้งนิคาโนร์ ผู้บังคับบัญชาทหารรับจ้างชาวไซปรัส ไม่ยอมให้ชาวยิวดำเนินชีวิตอย่างสงบและทำงานอย่างสันติ  3ชาวเมืองยัฟฟาทำความผิดร้ายแรง เขาเชิญชาวยิวที่อยู่ในหมู่ของตน พร้อมทั้งบุตรภรรยาให้ลงเรือที่เขาจัดขึ้น เหมือนมิได้มีเจตนาร้ายต่อชาวยิวแม้แต่น้อย 4แต่ทำไปเพราะเป็นข้อตกลงของชาวเมือง ชาวยิวยินดีรับคำเชิญโดยไม่ระแวง เพราะปรารถนาจะเป็นมิตรกัน  แต่เมื่ออยู่กลางทะเล ชาวยัฟฟาทำให้ชาวยิวจมน้ำตายไม่น้อยกว่าสองร้อยคน
    5เมื่อยูดาสรู้เรื่องที่ชาวยัฟฟาทำต่อเพื่อนร่วมชาติอย่างป่าเถื่อน เขาก็ออกคำสั่งแก่คนของตน 6ร้องทูลพระเจ้าผู้ทรงพิพากษาอย่างยุติธรรม เดินทัพเข้าโจมตีผู้ที่ฆ่าญาติพี่น้องของเขา  ในเวลากลางคืนเขาจุดไฟเผาท่าเรือ เผาเรือ ฆ่าทุกคนที่มาลี้ภัยอยู่ที่นั่นด้วยดาบ 7แต่ประตูเมืองปิดอยู่ เขาจึงถอยทัพ ตั้งใจจะกลับมาโจมตีอีกในภายหลังเพื่อกวาดล้างชาวเมืองยัฟฟาให้หมดสิ้น
    8เมื่อยูดาสรู้ว่าชาวเมืองยัมเนียต้องการใช้วิธีการเดียวกันกับชาวยิวที่อยู่ในเมืองของตน 9เขาก็เข้าโจมตีชาวเมืองยัมเนียในเวลากลางคืน จุดไฟเผาท่าเรือและเรือรบ แสงไฟลุกโชติช่วงเห็นได้ไกลถึงกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งอยู่ห่างออกไปสี่สิบแปดกิโลเมตร

การยกกองทัพไปแคว้นกีเลอาด
    10เมื่อยูดาสและทหารออกเดินทางจากเมืองไปได้ราวหนึ่งกิโลเมตรครึ่งbเพื่อไปสู้รบกับทิโมธี ก็ถูกชาวอาหรับโจมตี ชาวอาหรับกลุ่มนี้มีทหารราบจำนวนห้าพันคนเป็นอย่างน้อย และทหารม้าห้าร้อยคน 11ทั้งสองฝ่ายสู้รบกันอย่างดุเดือด กำลังพลของยูดาสมีชัยชนะเพราะพระเจ้าทรงช่วยเหลือ ชาวอาหรับเร่ร่อนที่พ่ายแพ้วอนขอให้ยูดาสทำสัญญาเป็นมิตรกับตน สัญญาจะให้สัตว์เลี้ยงแก่ชาวยิว และจะช่วยเหลือทุกวิถีทาง 12ยูดาสก็ตกลงสงบศึกด้วย เพราะเห็นว่าจะใช้คนเหล่านี้เป็นประโยชน์ได้หลายทาง หลังจากจับมือเป็นมิตรกันแล้ว ชาวอาหรับก็กลับไปที่กระโจมของตน
    13ยูดาสโจมตีอีกเมืองหนึ่งชื่อคัสปิน เมืองนี้มีเชิงเทินป้องกัน มีกำแพงเมืองล้อมรอบ ชาวเมืองเป็นชนหลายเชื้อชาติ 14ชาวเมืองเชื่อมั่นว่ากำแพงเมืองของตนแข็งแรง มีเสบียงอาหารสะสมไว้มาก จึงดูถูกยูดาสและทหารที่ล้อมเมืองอยู่ เขาดูหมิ่นพระเจ้า กล่าววาจาหยาบคายที่ไม่ควรกล่าวถึง 15แต่ยูดาสกับทหารทูลขอให้พระผู้ปกครองยิ่งใหญ่ของโลกทรงช่วยเหลือ พระองค์ทรงเคยทำให้กำแพงของเมืองเยริโคในสมัยของโยชูวาพังทลายโดยไม่ต้องใช้เครื่องกระทุ้งกำแพงหรืออุปกรณ์อื่นๆเลย ยูดาสโจมตีกำแพงเมืองอย่างรุนแรงประดุจสัตว์ร้าย 16ฆ่าฟันผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน จนทะเลสาบซึ่งกว้างประมาณครึ่งกิโลเมตรใกล้ๆเมืองดูเหมือนเต็มไปด้วยเลือดที่ไหลลงไป เขายึดเมืองได้ตามพระประสงค์ของพระเจ้า

การสู้รบที่คาร์นิโอน
    17ยูดาสและทหารเดินทางต่อไปจากที่นั่นประมาณหนึ่งร้อยสี่สิบสี่กิโลเมตรมาถึงเมืองคารักส์     ที่นั่นมีชาวยิว
กลุ่มหนึ่งที่เรียกกันว่า “ชาวทูเบียน”c 18แต่เขาไม่พบทิโมธีในบริเวณนั้น เพราะทิโมธีออกจากที่นั่นไปแล้วโดยไม่ได้ทำอะไร นอกจากให้กองทหารที่เข้มแข็งมากอยู่ในที่แห่งหนึ่ง 19แต่โดสิเธอัสและโสสิปาเตอร์ นายทหารสองคนของยูดาส มัคคาบี ยกกำลังไปทำลายล้างทหารมากกว่าหนึ่งหมื่นคนที่ทิโมธีให้อยู่ในป้อม 20ขณะนั้น ยูดาส มัคคาบีแบ่งกองทัพเป็นสองส่วน แต่งตั้งผู้บังคับบัญชาแต่ละส่วน ยกทัพไล่ตามทิโมธีซึ่งมีกำลังพลเป็นทหารราบหนึ่งแสนสองหมื่นคน และทหารม้าสองพันห้าร้อยคน 21เมื่อทิโมธีรู้ว่ายูดาสกำลังยกทัพมา เขาก็ส่งผู้หญิง เด็กและสัมภาระเดินทางล่วงหน้าไปยังที่ที่เรียกว่า “คาร์นิโอน”d  สถานที่นี้เข้าถึงได้ยาก และไม่มีทางจะยึดได้เพราะทางเข้าแคบมาก 22เมื่อศัตรูเห็นทหารส่วนแรกของยูดาสมาถึง ก็หวาดกลัวมาก เพราะพระผู้ทรงเห็นทุกอย่างทรงสำแดงพระองค์แก่เขาเหล่านั้น เขาหนีแตกกระจายกันไปคนละทิศละทาง ได้รับบาดเจ็บจากพวกเดียวกัน เพราะถูกดาบของเพื่อนทหารแทง 23ยูดาสไล่ตามอย่างกระชั้นชิด ฆ่าฟันศัตรูล้มตายประมาณสามหมื่นคน
    24ทิโมธีตกอยู่ในเงื้อมมือของทหารใต้บังคับบัญชาของโดสิเธอัสและโสสิปาเตอร์ แต่ด้วยความเจ้าเล่ห์ เขาขอให้ไว้ชีวิตของตนแล้วปล่อยไป เพราะอ้างว่าตนยังมีพ่อแม่และญาติพี่น้องของทหารหลายคนเป็นตัวประกันอยู่ คนเหล่านี้จะต้องลำบาก 25เมื่อทิโมธีสาบานยืนยันอย่างแข็งขันว่าจะไม่ทำร้ายพ่อแม่ญาติพี่น้อง ทหารเหล่านี้จึงปล่อยตัวทิโมธีไปเพื่อความปลอดภัยของญาติพี่น้อง
    26ยูดาสเดินทัพไปยังคาร์นิโอน ซึ่งเป็นวิหารของเทพีอาทาร์กาติสe ฆ่าศัตรูสองหมื่นห้าพันคน

ยูดาสยกทัพกลับผ่านเมืองเอโฟรนและชีโธโปลิส
    27เมื่อยูดาส มัคคาบีปราบและทำลายศัตรูแล้ว เขาก็ยกทัพไปโจมตีเมืองเอโฟรนซึ่งมีป้อมปราการป้องกัน ลีซาเนียสfพำนักอยู่ที่นี่กับชาวเมืองจำนวนมากหลายเชื้อชาติ ชายฉกรรจ์ตั้งมั่นอยู่บนกำแพงเมือง สู้รบอย่างกล้าหาญ ภายในป้อมมีอุปกรณ์สงครามและลูกธนูจำนวนมาก 28แต่ชาวยิวทูลขอพระผู้ทรงอานุภาพ พระองค์ก็ทรงทำลายกำลังของศัตรูด้วยพระอานุภาพ เขาจึงยึดเมืองได้ ฆ่าฟันผู้คนที่อยู่ในเมืองถึงสองหมื่นห้าพันคน 29แล้วเขารีบไปจากที่นั่นเพื่อโจมตีเมืองชีโธโปลิสg ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงเยรูซาเล็มประมาณหนึ่งร้อยสิบกิโลเมตร 30แต่ชาวยิวที่อยู่ที่นั่นยืนยันว่าชาวเมืองชีโธโปลิสมีน้ำใจดี  และปฏิบัติต่อตนอย่างใจกรุณา แม้ในยามยากลำบาก 31ยูดาสกับทหารขอบใจชาวเมืองชีโธโปลิสและชักชวนให้เป็นมิตรกับชาวยิวต่อไป ในที่สุดก็มาถึงกรุงเยรูซาเล็มก่อนเทศกาลฉลองสัปดาห์ไม่นานนัก

การสู้รบกับกอร์เกียส
    32เมื่อฉลองเทศกาลที่เรียกว่า “เป็นเตกอสเต” แล้ว ชาวยิวก็ยกทัพไปสู้รบกับกอร์เกียส ผู้บัญชาการทหารแคว้นอีดูเมอา 33กอร์เกียสนำกำลังพลทหารราบสามพันคน ทหารม้าสี่ร้อยคนออกมา 34ในการสู้รบครั้งนั้น ชาวยิวถูกฆ่าไม่กี่คน 35ชายคนหนึ่งชื่อโดสิเธอัส เป็นทหารม้าที่เก่งกล้าคนหนึ่งในกองทหารชาวทูเบียนh จู่โจมเข้าใส่กอร์เกียส จับชายเสื้อคลุมทหารของเขา ลากไปด้วยกำลัง ตั้งใจจะจับเป็นชายชั่วร้ายผู้นี้ แต่ทหารม้าชาวทราเชียพุ่งเข้าใส่โดสิเธอัส ฟันบ่าเขาจนแขนขาด กอร์เกียสจึงหนีไปที่เมืองมาริสา 36ส่วนเอสดรินกับทหารสู้รบอยู่เป็นเวลานานจนเหนื่อยอ่อน ยูดาสจึงวอนขอองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ทรงต่อสู้เคียงข้างตน และทรงเป็นผู้นำในการสู้รบ 37แล้วเขาก็โห่ร้องเป็นสัญญาณออกศึก และขับร้องเพลงสรรเสริญiเป็นภาษาฮีบรู จู่โจมเข้าใส่ทหารของกอร์เกียสไม่ทันให้รู้ตัว ทำให้คนเหล่านั้นต้องหนีไป

การถวายบูชาอุทิศแก่ผู้ล่วงลับ j
    38ยูดาสรวบรวมกองทัพยกไปถึงเมืองอดุลลัมk  เมื่อสิ้นสัปดาห์ ชาวยิวก็ชำระตนตามประเพณีและถือวันสับบาโตที่นั่น 39วันรุ่งขึ้น เพราะความจำเป็นเร่งด่วน ยูดาสกับทหารlไปเก็บศพของผู้ที่ถูกฆ่าในการรบ เพื่อนำไปฝังไว้กับญาติพี่น้องในที่ฝังศพของบรรพบุรุษ 40แต่ในเสื้อของผู้ตายแต่ละคนเขาพบเครื่องรางรูปเคารพที่นับถือกันที่เมืองยัมเนียm ซึ่งธรรมบัญญัติห้ามชาวยิวสวม จึงเห็นได้ชัดว่าเพราะเหตุนี้เองทหารเหล่านี้จึงถูกฆ่า 41ดังนั้น ทุกคนถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงตัดสินอย่างยุติธรรม และทรงเปิดเผยสิ่งที่ซ่อนไว้ 42เขาอธิษฐานภาวนาวอนขอพระเจ้าให้ทรงลบล้างบาปให้หมดสิ้น ยูดาสผู้ทรงศักดิ์เตือนบรรดาทหารให้รักษาตนให้พ้นจากบาป เพราะเขาทั้งหลายได้เห็นกับตาแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นแก่ผู้ที่ตายเพราะทำบาป 43ยูดาสเรี่ยไรเงินจากทหารแต่ละคน ได้เงินจำนวนสองพันเหรียญดรักมา ส่งไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อจัดให้มีการถวายบูชาชดเชยบาป นับว่าเป็นการกระทำที่งดงามและน่ายกย่อง โดยคำนึงถึงการกลับคืนชีพของผู้ตาย 44เพราะถ้าเขาไม่มีความหวังว่าผู้ตายจะกลับคืนชีพ การอธิษฐานภาวนาเพื่อผู้ตายคงไม่มีประโยชน์และไร้ความหมาย 45แต่ถ้าเขาทำไปเพราะคิดว่าผู้ที่ตายขณะที่ยังเลื่อมใสต่อพระเจ้าจะได้รับบำเหน็จรางวัลงดงาม ก็เป็นความคิดที่ดีและศักดิ์สิทธิ์n เขาสั่งให้ถวายเครื่องบูชาชดเชยบาปของผู้ตาย เพื่อจะได้พ้นจากบาป

กองทัพซีเรียบุกรุกแคว้นยูเดีย เมเนเลาส์สิ้นชีวิต
13    1ปีหนึ่งร้อยสี่สิบเก้า ศักราชกรีกa ยูดาสและทหารรู้ว่ากษัตริย์อันทิโอคัส ยูปาเตอร์ ยกทัพใหญ่มาบุกรุกแคว้นยูเดีย 2ลีเซียส ผู้ดูแลและผู้บริหารประเทศอยู่กับพระองค์ นำกองทัพกรีกมีกำลังพลทหารราบหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นคน ทหารม้าห้าพันสามร้อยคน ช้างยี่สิบสองเชือก และรถศึกติดเคียวที่ล้อสามร้อยคัน 3เมเนเลาส์ก็ร่วมด้วย เขาใช้เล่ห์เหลี่ยมสนับสนุนกษัตริย์ มิใช่เพื่อความอยู่รอดของบ้านเกิดเมืองนอน แต่เพราะความหวังจะได้ตำแหน่งมหาสมณะคืนมา 4แต่พระเจ้าจอมกษัตริย์ทรงบันดาลให้กษัตริย์อันทิโอคัสกริ้วคนชั่วร้ายผู้นี้เมื่อลีเซียสแสดงให้กษัตริย์เห็นว่าเมเนเลาส์เป็นผู้ก่อเหตุยุ่งยากทั้งหมดนี้ กษัตริย์ทรงสั่งให้นำตัวเขาไปที่เมืองเบโรอา และประหารเขาที่นั่นตามธรรมเนียมของท้องถิ่นb 5ที่นั่นมีหอสูงราวยี่สิบห้าเมตร บรรจุขี้เถ้าจนเต็ม มีทางเดินที่ขอบข้างบนโดยรอบและมีพื้นลาดทุกด้านลงไปสู่กองขี้เถ้า 6ผู้ทำผิดฐานล่วงละเมิดสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือทำผิดอย่างหนัก ย่อมถูกผลักจากขอบยอดหอให้ตกลงมาตายc 7เมเนเลาส์ผู้ละเมิดธรรมบัญญัติพบความตายด้วยวิธีนี้ เขาไม่ได้รับแม้กระทั่งการฝังศพ 8เป็นการลงโทษที่ยุติธรรม เพราะผู้ที่ทำผิดต่อพระแท่นบูชาที่มีไฟและเถ้าบริสุทธิ์ ก็ควรจะจบชีวิตในกองเถ้า

ชัยชนะของชาวยิวใกล้เมืองโมดีน
    9กษัตริย์ทรงยกทัพมา มีพระทัยโหดร้ายป่าเถื่อน     มีพระประสงค์จะปฏิบัติต่อชาวยิวอย่างเลวร้ายยิ่งกว่าที่พระราชบิดาเคยทรงกระทำ 10เมื่อยูดาสรู้เรื่องนี้ ก็สั่งประชาชนให้อธิษฐานภาวนาทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าทั้งวันทั้งคืนให้ทรงช่วยเขา ณ บัดนี้  เหมือนที่ทรงเคยทำในอดีต เพราะเขาอยู่ในอันตรายที่จะสูญเสียธรรมบัญญัติ บ้านเกิดเมืองนอนและพระวิหารศักดิ์สิทธิ์ 11และทูลขออย่าทรงปล่อยให้ประชาชนที่เพิ่งหายใจได้ต้องตกในเงื้อมมือของชนต่างชาติที่หยาบช้า 12ทุกคนร่วมใจกันทำเช่นนี้ วอนขอองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระเมตตา ด้วยการคร่ำครวญ จำศีลอดอาหารและกราบลงที่พื้นดินเป็นเวลาสามวันอย่างต่อเนื่อง ยูดาสปลุกใจเขาทั้งหลายและสั่งให้เตรียมพร้อม 13เขาเรียกบรรดาผู้อาวุโสมาประชุม ตกลงจะแก้ไขสถานการณ์โดยออกไปสู้รบด้วยความช่วยเหลือจากพระเจ้า 14ฝากความสำเร็จไว้กับพระผู้ทรงสร้างโลก ปลุกใจทหารให้สู้รบอย่างกล้าหาญ ยอมตายเพื่อธรรมบัญญัติ พระวิหาร กรุงเยรูซาเล็ม บ้านเกิดเมืองนอนและสถาบันของตน แล้วไปตั้งค่ายอยู่ใกล้เมืองโมดีน 15ให้สัญญาณแก่บรรดาทหารว่า “พระเจ้าทรงชัยชนะ” แล้วเลือกชายหนุ่มผู้กล้าหาญที่สุดเข้าโจมตีกระโจมที่ประทับของกษัตริย์ในค่าย ฆ่าศัตรูประมาณสองพันคน เขายังฆ่าช้างนำทัพกับคนขี่ช้างด้วย 16ในที่สุด เขาทำให้ค่ายของข้าศึกสับสนอลหม่านและมีความหวาดกลัวยิ่งนัก แล้วเขาก็ถอยกลับอย่างมีชัย 17ครั้นรุ่งเช้า การรบที่กล้าหาญนี้ก็สำเร็จเพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยเหลือและปกป้องยูดาส

กษัตริย์อันทิโอคัสที่ 5 ทรงทำสัญญากับชาวยิว
    18กษัตริย์ทรงรู้รสความกล้าหาญของชาวยิวเช่นนี้ จึงทรงพยายามจะใช้เล่ห์เหลี่ยมยึดสถานที่ต่างๆ 19พระองค์ทรงยกทัพไปตีเมืองเบธซูร์ ซึ่งเป็นป้อมปราการแข็งแรงของชาวยิว แต่ก็ถูกต่อต้าน ถูกตีกลับ เคราะห์ร้ายและพ่ายแพ้ 20ยูดาสเคยส่งความช่วยเหลือที่จำเป็นไปให้คนที่ถูกล้อมอยู่ในป้อม 21โรโดคัสซึ่งอยู่ในกองทัพชาวยิวทรยศ นำความลับทางทหารไปบอกศัตรู แต่เมื่อความผิดปรากฏ เขาถูกจับและประหารชีวิต 22กษัตริย์ทรงเจรจากับชาวเบธซูร์อีกครั้งหนึ่ง ทรงทำสัญญาเป็นมิตร ทรงถอยทัพ แล้วเข้าโจมตีกองทัพของยูดาส แต่ทรงพ่ายแพ้ 23ต่อมาทรงทราบว่าฟิลิปที่ทรงให้อยู่ที่เมืองอันทิโอกเพื่อบริหารประเทศเป็นกบฏ พระองค์ตกพระทัยมาก จึงทรงเชิญชาวยิวมาเจรจาเป็นมิตร ทรงยอมรับเงื่อนไขที่เป็นธรรมทุกข้อ และทรงสาบานจะรักษาสิทธิของเขา เมื่อตกลงเช่นนี้แล้ว พระองค์ก็ทรงถวายเครื่องบูชา ทรงแสดงความเคารพต่อพระวิหาร โดยประทานของกำนัลให้สถานที่นั้นdอย่างมากมาย 24ทรงต้อนรับมัคคาบีอย่างดี ทรงให้เฮเกโมนีดิสเป็นผู้บังคับบัญชาทหารจากเมืองโทเลมาอิสจนถึงดินแดนของชาวเกราร์e 25เมื่อกษัตริย์เสด็จมาถึงเมืองโทเลมาอิส ชาวเมืองไม่พอใจที่กษัตริย์ทรงทำสัญญาเป็นมิตร เขาโกรธจนต้องการจะเลิกสัญญานั้นf 26แต่ลีเซียสขึ้นเวทีปราศรัยป้องกันสัญญาอย่างสุดความสามารถ ชักชวนให้ประชาชนอยู่ในความสงบ เมื่อเขามั่นใจว่าประชาชนหายโกรธแล้ว ก็กลับไปเมืองอันทิโอก
    ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องกล่าวถึงการเข้าโจมตีและการถอยทัพของกษัตริย์อันทิโอคัส