แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

VII. สงครามกับนิคาโนร์ ผู้บัญชาการของกษัตริย์เดเมตริอัสที่ 1


อัลชีมัส
14     1สามปีต่อมาa ยูดาสกับทหารรู้ว่าเดเมตริอัสโอรสของกษัตริย์เซเลวคัส ทรงยกกองทัพใหญ่และกองทัพเรือมาขึ้นบกที่ท่าเรือเมืองตรีโปลี 2ทรงยึดดินแดนแถบนั้นได้ ทรงประหารกษัตริย์อันทิโอคัสและลีเซียสผู้ดูแลกษัตริย์
    3ชายคนหนึ่งชื่ออัลชีมัส ซึ่งเคยเป็นมหาสมณะ แต่ได้จงใจทำให้ตนเป็นมลทินbในสมัยที่เกิดกบฏ รู้ว่าตนไม่มีโอกาสได้ตำแหน่งคืนมาและไม่มีโอกาสเข้าใกล้พระแท่นบูชาศักดิ์สิทธิ์ได้อีก 4เขาจึงไปเฝ้ากษัตริย์เดเมตริอัสในปีหนึ่งร้อยห้าสิบเอ็ดศักราชกรีก ถวายมงกุฎทองคำ กิ่งปาล์มและกิ่งมะกอกเทศจากพระวิหารตามประเพณี แต่ในวันนั้นเขานิ่งเงียบ มิได้ทูลขออะไร 5เขาฉวยโอกาสที่จะปฏิบัติตามแผนชั่วร้ายของตนเมื่อกษัตริย์เดเมตริอัสทรงเชิญเขาเข้าร่วมประขุม ทรงซักถามว่าชาวยิวมีท่าทีและแผนการอย่างใด เขาก็ตอบว่า 6”ชาวยิวกลุ่มหนึ่งที่เรียกกันว่าพวกฮาสิเดียน มียูดาส มัคคาบีเป็นผู้นำ ก่อสงครามและเป็นกบฏ ไม่ยอมให้อาณาจักรอยู่ในความสงบ 7เพราะเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงถูกปลดจากตำแหน่งมหาสมณะซึ่งเป็นเกียรติตกทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ข้าพเจ้ามาที่นี่เพราะเหตุผลสองประการ 8ประการแรก ข้าพเจ้าเป็นห่วงผลประโยชน์ของกษัตริย์อย่างจริงใจ และประการที่สอง ข้าพเจ้าห่วงใยสถานการณ์ของเพื่อนร่วมชาติ ประชาชนทั้งหมดของเราต้องทนทุกข์ลำบากอย่างมากจากการกระทำไร้เหตุผลของกลุ่มชาวยิวที่กล่าวมานี้ 9เมื่อพระองค์ทรงทราบรายละเอียดในเรื่องนี้แล้ว ข้าแต่พระราชา ขอทรงสนพระทัยแผ่นดินและชนชาติของเราที่ถูกข่มเหง ขอทรงแสดงพระเมตตาดังที่ทรงมีต่อคนทั้งปวงเถิด 10ตราบใดที่ยูดาสยังมีชีวิตอยู่ บ้านเมืองย่อมจะมีความสงบสุขไม่ได้” 11เมื่ออัลชีมัสทูลกษัตริย์เช่นนี้ พระสหายอื่นๆของกษัตริย์ที่ไม่พอใจในความสำเร็จของยูดาสก็รีบยุยงกษัตริย์เดเมตริอัสให้กริ้วยิ่งขึ้น
    12กษัตริย์ทรงรีบเลือกและทรงแต่งตั้งนิคาโนร์ซึ่งเคยเป็นผู้บัญชาการกองช้าง ให้เป็นผู้บังคับบัญชาทหารในแคว้นยูเดียc  พระองค์ทรงส่งเขา 13มีพระบัญชาให้ฆ่ายูดาส ขับไล่ทหารของเขา แล้วให้ตั้งอัลชีมัสเป็นมหาสมณะที่พระวิหารยิ่งใหญ่ 14ชนต่างชาติจากแคว้นยูเดียที่เคยหนีจากการสู้รบกับยูดาสรวมตัวกันมาเข้าพวกกับนิคาโนร์ โดยคิดว่าความเดือดร้อนและความทุกข์ยากของชาวยิวจะนำโชคมาให้ตน

นิคาโนร์สร้างมิตรภาพกับยูดาส
    15เมื่อชาวยิวรู้ว่านิคาโนร์กำลังยกทัพมา และชนต่างชาติกำลังร่วมโจมตีด้วย ต่างก็โปรยฝุ่นใส่ศีรษะ ทูลวอนขอความช่วยเหลือจากองค์พระผู้ทรงตั้งประชากรของพระองค์ตลอดไป และทรงปกป้องผู้ที่เป็นส่วนมรดกของพระองค์ตลอดมาด้วยเครื่องหมายอัศจรรย์ 16เมื่อผู้นำออกคำสั่ง ชาวยิวก็ออกเดินทางจากที่นั่นทันที เข้าโจมตีข้าศึกใกล้หมู่บ้านเดสเสาd 17ซีโมนพี่ชายของยูดาสเตรียมสู้รบกับนิคาโนร์แล้ว แต่กำลังจะพ่ายแพ้ เพราะข้าศึกเข้าโจมตีโดยฉับพลันe 18ส่วนนิคาโนร์เมื่อรู้ว่าทหารของยูดาสมีความกล้าหาญและความกระตือรือร้นที่จะสู้รบเพื่อบ้านเกิดเมืองนอน ก็ไม่กล้าสู้รบจนนองเลือดเพื่อตัดสินเรื่องนี้ 19เขาส่งโปสิโดนิอัส ธีโอโดทัส และมัทธาธิอัส มาเจรจาสงบศึก 20ผู้นำทั้งสองฝ่ายปรึกษากันถึงข้อตกลงในสัญญาเป็นเวลานาน แล้วแจ้งให้กองทัพของตนรู้ ทุกคนเห็นด้วยและยอมรับข้อตกลงในสัญญา 21มีการกำหนดวันที่ผู้นำจะต้องมาพบกันเป็นส่วนตัว รถศึกจะออกมาจากแต่ละฝ่าย แล้วจัดที่นั่ง 22ยูดาสให้ทหารถืออาวุธเตรียมพร้อมอยู่ในที่ตั้ง เกรงว่าจะถูกข้าศึกหักหลังเข้าโจมตีโดยฉับพลัน แต่การประชุมก็จบลงโดยมีสัญญาสงบศึก 23นิคาโนร์ยังพักอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม ไม่ทำสิ่งใดไม่ถูกต้อง เขาให้ผู้ที่มารวมเป็นฝ่ายตนกลับไป 24ให้ยูดาสอยู่กับตนตลอดเวลา และเป็นมิตรกับยูดาสอย่างจริงใจ 25เขาแนะนำยูดาสให้แต่งงานและมีบุตร ยูดาสจึงแต่งงานและดำเนินชีวิตอย่างสงบเยี่ยงสามัญชนf

อัลชีมัสยุยงให้เกิดสงครามอีก
    26เมื่ออัลชีมัสเห็นว่านิคาโนร์กับยูดาสเป็นมิตรกัน ก็นำสำเนาสัญญาที่ทั้งสองคนทำขึ้นไปถวายกษัตริย์เดเมตริอัส ทูลกล่าวหาว่านิคาโนร์มีแผนร้ายต่อบ้านเมือง แต่งตั้งยูดาสผู้เป็นกบฏต่ออาณาจักรให้สืบตำแหน่งต่อจากตน 27คำใส่ร้ายของคนชั่วร้ายผู้นี้ทำให้กษัตริย์กริ้วมาก มีพระราชสารไปถึงนิคาโนร์ว่าพระองค์ไม่พอพระทัยสัญญา และทรงสั่งให้จับยูดาสมัคคาบีเป็นนักโทษส่งไปที่เมืองอันทิโอกทันที 28เมื่อนิคาโนร์รับพระบัญชานี้ ก็รู้สึกสับสน เพราะไม่ต้องการผิดสัญญากับผู้ที่มิได้ทำสิ่งใดผิด 29แต่เพราะขัดพระบัญชาไม่ได้ นิคาโนร์จึงคอยหาโอกาสgจะปฏิบัติตามพระบัญชาโดยใช้กลอุบาย 30ยูดาส มัคคาบีสังเกตว่านิคาโนร์มีกิริยาเย็นชาต่อตน และเมื่อพบกันก็มีกิริยาหยาบคายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เข้าใจว่าความเย็นชาเช่นนี้ไม่เกิดผลดีแน่นอน จึงรวบรวมผู้คนของตนจำนวนไม่น้อยไปหลบซ่อน ไม่พบนิคาโนร์อีก
    31เมื่อนิคาโนร์รู้ว่ายูดาสรู้ทันตน จึงขึ้นไปที่พระวิหารยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ ขณะที่บรรดาสมณะกำลังถวายเครื่องบูชาตามปรกติ แล้วสั่งให้ส่งตัวยูดาสมาให้ 32บรรดาสมณะต่างสาบานว่าตนไม่รู้ว่ายูดาสอยู่ที่ใด 33นิคาโนร์จึงยื่นมือขวาไปทางพระวิหาร สาบานว่า “ถ้าท่านทั้งหลายไม่จับยูดาสส่งเป็นเชลยมาให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะทำลายพระวิหารของพระเจ้าให้ราบเป็นหน้ากลอง จะรื้อแท่นบูชาลง แล้วสร้างวิหารสวยงามถวายแด่เทพเจ้าดีโอนีสิอัส” 34พูดแล้วเขาก็จากไป บรรดาสมณะต่างชูมือไปทางท้องฟ้า ทูลขอพระผู้ทรงปกป้องประชากรของเราอยู่ตลอดเวลาว่า 35”ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ไม่ทรงต้องการสิ่งใดเลย ถึงกระนั้นก็พอพระทัยตั้งพระวิหารนี้เป็นที่ประทับของพระองค์ในหมู่ข้าพเจ้าทั้งหลาย 36บัดนี้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งเพียงพระองค์เดียว โปรดทรงพิทักษ์ที่ประทับของพระองค์นี้ที่เพิ่งได้รับการชำระ ให้พ้นมลทินตลอดไปเถิด”

การตายของราซิส h
    37ชายคนหนึ่งชื่อราซิส เป็นผู้อาวุโสที่กรุงเยรูซาเล็ม ถูกฟ้องต่อนิคาโนร์ว่าเป็นผู้รักชาติยิว เขาได้รับความเคารพนับถืออย่างสูง ทุกคนเรียกเขาว่าบิดาของชาวยิว เพราะความใจดีของเขา 38ตั้งแต่เริ่มการกบฏ มีผู้ฟ้องว่าเขาปฏิบัติลัทธิยิวอย่างเคร่งครัด ยอมเสี่ยงทั้งร่างกายและวิญญาณเพื่อศาสนา 39นิคาโนร์ต้องการแสดงให้ทุกคนรู้ว่าเขาเกลียดชังชาวยิว จึงส่งทหารมากกว่าห้าร้อยคนไปจับราซิส 40เขาคิดว่าการจับกุมราซิสได้จะทำให้ชาวยิวหมดกำลังใจ 41แต่เมื่อกองทหารกำลังจะยึดหอที่ราซิสอยู่ และพังประตูเข้าไปที่ลานภายใน ก็ได้รับคำสั่งให้นำไฟมาเผาประตู ราซิสเห็นว่าตนถูกล้อมทุกด้าน จึงใช้ดาบพยายามฆ่าตัวตาย 42เขาเลือกตายอย่างกล้าหาญดีกว่าตกในมือของคนชั่วร้ายและถูกสบประมาทอย่างไม่สมกับศักดิ์ศรีของตน 43แต่ความรีบร้อนในการต่อสู้ทำให้เขาแทงพลาด เมื่อกองทหารกรูกันเข้าประตูมา ราซิสจึงวิ่งขึ้นไปบนกำแพงอย่างเด็ดเดี่ยว แล้วกระโจนลงมาที่กลุ่มชนข้างล่างอย่างกล้าหาญ 44กลุ่มชนเหล่านี้รีบถอยเปิดทางให้ ราซิสจึงตกลงกลางที่ว่าง 45แต่เขายังมีลมหายใจ ลุกขึ้นด้วยโทสะ วิ่งฝ่ากลุ่มชนทั้งที่มีเลือดไหลออกมาจากบาดแผลเหวอะหวะ ขึ้นไปยืนอยู่บนก้อนหินสูงชัน 46เมื่อเลือดไหลเกือบหมดร่างกายแล้ว เขาใช้มือทั้งสองข้างล้วงไส้พุงออกมา โยนไปที่กลุ่มชน ร้องทูลพระผู้ทรงเป็นเจ้าแห่งชีวิตและลมหายใจให้คืนชีวิตและลมหายใจแก่ตนอีก แล้วเขาก็สิ้นใจเช่นนี้i

นิคาโนร์พูดหมิ่นประมาทพระเจ้า
15     1เมื่อนิคาโนร์รู้ว่ายูดาสและทหารอยู่ในแคว้นสะมาเรีย ก็ตัดสินใจจะเข้าโจมตีโดยไม่ต้องเสี่ยงอันตรายในวันสับบาโตเพราะเป็นวันหยุดงานของชาวยิว      2ชาวยิวที่ถูกบังคับให้เป็นฝ่ายนิคาโนร์ขอร้องว่า “อย่าฆ่าคนจำนวนมากอย่างทารุณและป่าเถื่อนในวันสับบาโตเลย จงเคารพวันที่พระผู้ทรงเห็นทุกสิ่งทรงยกย่องให้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์กว่าวันอื่นๆเถิด”
    3แต่คนชั่วร้ายที่สุดผู้นี้ถามว่า บนสวรรค์มีผู้ทรงอำนาจที่ออกกฎให้ถือวันสับบาโตจริงหรือ 4เขาทั้งหลายก็ตอบว่ามีองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงชีวิตอยู่จริง พระองค์ทรงปกครองในสวรรค์ พระองค์ทรงบัญชาให้ถือวันสับบาโต 5นิคาโนร์พูดว่า “เราก็เป็นผู้ปกครองบนแผ่นดิน เราขอสั่งให้ท่านจับอาวุธขึ้นทำตามพระบัญชาของกษัตริย์” ถึงกระนั้น เขาก็ทำตามแผนการโหดร้ายของตนไม่สำเร็จ

ยูดาสปลุกใจทหาร
    6นิคาโนร์ผู้ยโสต้องการโอ้อวด ตั้งใจจะสร้างอนุสาวรีย์aเพื่อระลึกถึงชัยชนะต่อยูดาสและทหารของเขา 7แต่ยูดาส มัคคาบียังมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม และหวังว่าตนจะได้รับความช่วยเหลือจากองค์พระผู้เป็นเจ้า 8เขาจึงปลุกใจบรรดาทหารของตนไม่ให้กลัวการโจมตีของชนต่างชาติ แต่ให้ระลึกถึงความช่วยเหลือที่เคยได้รับจากสวรรค์ในอดีต และบัดนี้ให้มีความหวังว่าพระผู้ทรงสรรพานุภาพจะประทานชัยชนะครั้งนี้ให้ด้วย 9เขาอ้างถ้อยคำจากธรรมบัญญัติและจากบรรดาประกาศกb มาให้กำลังใจเหล่าทหาร และเตือนให้ระลึกถึงการต่อสู้ต่างๆที่เคยชนะมาแล้ว เขาทำให้เหล่าทหารมีใจฮึกเหิม 10เมื่อพูดปลุกใจเช่นนี้แล้ว เขาก็ออกคำสั่ง ชี้ให้เห็นว่าชนต่างชาติขาดความจริงใจเพราะละเมิดคำสาบาน 11ยูดาสมอบอาวุธให้ทหารแต่ละคน ทั้งโล่และหอกที่ให้ความปลอดภัยและถ้อยคำปลุกใจที่ให้ความกล้าหาญ เขาทำให้ทหารมีกำลังใจโดยเล่าถึงความฝันที่น่าเชื่อถือ ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นนิมิตอย่างหนึ่งc
    12นิมิตที่เขาเห็นเป็นดังนี้ เขาเห็นโอนีอัสที่เคยเป็นมหาสมณะเป็นคนดีมีคุณธรรม มีกิริยาท่าทางสุภาพอ่อนโยน คำพูดน่าฟัง ได้รับการอบรมตั้งแต่เยาว์วัยให้ปฏิบัติคุณธรรมทุกประการ กำลังยกมือขึ้นอธิษฐานภาวนาเพื่อชาวยิวทั้งปวงd  13แล้วชายอีกคนหนึ่งปรากฏขึ้น มีผมหงอกขาว ท่าทางสง่า ดูเป็นผู้ยิ่งใหญ่และทรงอำนาจ 14โอนีอัสพูดว่า “นี่คือเยเรมีย์e ประกาศกของพระเจ้า เขารักพี่น้อง และอธิษฐานเพื่อประชากรและนครศักดิ์สิทธิ์อยู่เสมอ” 15เยเรมีย์ยื่นมือขวามอบดาบทองคำให้ยูดาส ขณะที่มอบดาบ เขาพูดว่า 16“จงรับดาบศักดิ์สิทธิ์นี้ไว้เถิด ดาบนี้เป็นของประทานจากพระเจ้า ท่านจะใช้ดาบนี้ปราบศัตรู”

ความฮึกเหิมของทหาร
    17ถ้อยคำน่าฟังของยูดาส ซึ่งมีพลังทำให้คนหนุ่มมีความกล้าหาญ พร้อมจะออกไปเผชิญหน้ากับข้าศึกเยี่ยงชายฉกรรจ์ นำพลังใจมาให้ชาวยิว จนเขาตกลงใจรีบออกไปต่อสู้อย่างกล้าหาญ เข้าประจัญบานอย่างไม่กลัวตาย ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะf เพราะกรุงเยรูซาเล็ม พระวิหารและภาชนะศักดิ์สิทธิ์ตกอยู่ในอันตราย 18เขาเป็นห่วงบุตรภรรยาและญาติพี่น้องน้อยกว่าเป็นห่วงพระวิหาร 19คนที่ยังอยู่ในเมืองมีความกังวลเช่นเดียวกัน เพราะเป็นห่วงผู้ที่สู้รบอยู่ในสมรภูมิ
    20ขณะที่ทุกคนกำลังรอคอยผลการสู้รบ ข้าศึกก็เคลื่อนทัพมาตั้งแนวรบ พร้อมจะเข้าประจัญบาน ช้างประจำอยู่ตามตำแหน่ง ทหารม้าประจำอยู่ที่ปีกทั้งสองด้านgของกองทัพ 21ยูดาส มัคคาบีเห็นกำลังทัพที่อยู่ตรงหน้า เห็นอาวุธชนิดต่างๆ เห็นความดุร้ายของช้าง จึงชูมือขึ้นสู่ท้องฟ้า วอนขอองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกระทำอัศจรรย์ เขามั่นใจว่าชัยชนะไม่ขึ้นกับอาวุธ แต่ขึ้นกับการที่ทรงตัดสินว่าจะประทานให้แก่ผู้ที่เหมาะสมจะได้รับ 22เขาจึงทูลพระองค์ว่าดังนี้ “ข้าแต่พระเจ้า ในรัชสมัยของกษัตริย์เฮเซคียาห์แห่งยูดาห์ พระองค์ทรงส่งทูตสวรรค์มาฆ่าทหารหนึ่งแสนแปดหมื่นห้าพันคนในกองทัพของกษัตริย์เซนนาเคริบ 23ข้าแต่พระเจ้าแห่งสวรรค์ บัดนี้โปรดทรงส่งทูตสวรรค์ที่ดีมานำหน้าข้าพเจ้าทั้งหลาย ทำให้บรรดาศัตรูหวาดกลัวจนตัวสั่น 24ขอให้ผู้ที่กล่าวสบประมาทพระองค์ และมาโจมตีประชากรศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ถูกพระกรทรงอำนาจของพระองค์ตีให้ล้มลงเถิด” เขาจบคำอธิษฐานภาวนาด้วยถ้อยคำเหล่านี้

นิคาโนร์ปราชัยและถูกฆ่าตาย
    25บรรดาทหารของนิคาโนร์เคลื่อนที่เข้ามาพร้อมกับเสียงแตรและเพลงศึก 26ส่วนทหารของยูดาสยกออกมาต่อสู้ศัตรูพร้อมกับคำอธิษฐานภาวนาวอนขอพระเจ้า 27มือของเขาสู้รบ แต่จิตใจของเขาอธิษฐานภาวนาต่อพระเจ้า เขาฆ่าศัตรูไม่น้อยกว่าสามหมื่นห้าพันคน และชื่นชมยิ่งนักที่พระเจ้าทรงสำแดงพระอานุภาพ 28เมื่อการสู้รบสิ้นสุดและทุกคนกำลังถอยกลับด้วยความยินดี เขาก็พบนิคาโนร์สวมเสื้อเกราะนอนตายอยู่ที่นั่น 29เสียงตะโกนสับสนอลหม่าน ถวายพระพรแด่พระผู้ทรงสรรพานุภาพเป็นภาษาของบรรพบุรุษ
    30แล้วยูดาสผู้เป็นคนแรกอยู่เสมอhที่ต่อสู้ด้วยร่างกายและจิตใจเพื่อปกป้องเพื่อนร่วมชาติ และรักเพื่อนร่วมชาติมาตั้งแต่เยาว์วัย สั่งให้ตัดศีรษะและแขนของนิคาโนร์นำไปกรุงเยรูซาเล็ม 31เมื่อมาถึงที่นั่น เขาเรียกประชุมเพื่อนร่วมชาติ ให้บรรดาสมณะมายืนหน้าแท่นบูชา แล้วส่งคนไปเรียกผู้ที่อยู่ในป้อมปราการออกมา 32เขาให้คนเหล่านั้นดูศีรษะของนิคาโนร์คนชั่วร้าย และดูแขนของผู้หมิ่นพระเจ้าที่เคยชูขึ้นท้าทายพระวิหารของพระผู้ทรงสรรพานุภาพอย่างโอหัง 33เขาสั่งให้คนตัดลิ้นของนิคาโนร์ผู้ดูหมิ่นพระเจ้าเป็นชิ้นๆ เพื่อเป็นอาหารของนก สั่งให้แขวนแขนไว้หน้าพระวิหาร ให้ทุกคนเห็นผลของการกระทำโง่เขลาiของเขา 34ทุกคนจึงเงยหน้าขึ้นยังท้องฟ้า สรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์ พูดว่า “ขอถวายพระพรแด่พระองค์ ผู้ทรงรักษาที่พำนักของพระองค์ให้พ้นมลทิน”
    35ยูดาสสั่งให้แขวนศีรษะของนิคาโนร์ไว้ที่กำแพงป้อมj ให้ทุกคนได้เห็นเป็นเครื่องหมายแสดงความช่วยเหลือขององค์พระผู้เป็นเจ้า 36แล้วทุกคนลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันออกข้อกำหนดให้จัดงานฉลองในวันที่สิบสามเดือนสิบสอง ที่เรียกเป็นภาษาอาราเมอิกkว่า “เดือนอาดาร์” ซึ่งเป็นวันก่อนวันโมรเดคัยl เพื่อมิให้วันนั้นผ่านไปโดยไม่มีใครสนใจ

บทส่งท้ายของผู้เรียบเรียง
    37เรื่องราวของนิคาโนร์จบลงเช่นนี้ นับแต่เวลานั้น กรุงเยรูซาเล็มอยู่ในการครอบครองของชาวฮีบรูm ข้าพเจ้าจึงขอจบเรื่องเล่าเพียงเท่านี้ 38ถ้าเรื่องที่เขียนขึ้นดีและตรงจุด ก็เป็นไปตามที่ข้าพเจ้าต้องการ แต่ถ้าเขียนไม่ดี มีค่าน้อย ข้าพเจ้าทำได้ดีที่สุดแล้ว 39การดื่มเหล้าองุ่นหรือน้ำเพียงอย่างเดียวย่อมเป็นอันตราย แต่การดื่มเหล้าองุ่นผสมกับน้ำย่อมมีรสดีและน่าดื่มกว่าฉันใด การเขียนเรื่องราวอย่างชำนาญก็ย่อมทำให้ผู้อ่านรื่นหูฉันนั้น
ขอจบเรื่องเพียงเท่านี้