แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

การนำพระวรสาร (ข่าวดี) เข้าสู่วัฒนธรรม

ctoon20    อีกประการหนึ่งในการไตร่ตรองของเรา  เกี่ยวข้องกับการนำพระวรสารเข้าสู่วัฒนธรรม ในขอบเขตของการประกาศพระวรสารและการสอนคำสอน “พระวจนาตถ์ทรงรับสภาพมนุษย์ เป็นคนจริงๆคนหนึ่ง  ในเวลา สถานที่ และทรงรับพื้นฐานจากวัฒนธรรมเฉพาะท้องถิ่นหนึ่ง”  พระคริสตเจ้าโดยการรับสภาพมนุษย์  ซึ่งพระองค์ทรงอยู่ด้วย  “นี่คือต้นกำเนิดของการเข้าสู่วัฒนธรรม”  ของพระวาจาพระเจ้า  และเป็นแบบอย่างของการประกาศพระวรสารทุกรูปแบบที่พระศาสนจักร “เรียกร้องให้นำพลังแห่งพระวรสาร เข้าไปในใจกลางวัฒนธรรมและประเพณีต่างๆ” (GDC 109)
    ตั้งแต่วันสมโภชพระจิตเจ้า เมื่อประชาชนจากภาษาที่แตกต่างกันได้รับฟังพระวาจาแห่งการช่วยให้รอดพ้นประการเดียวกัน (เทียบ กจ 2 : 1-13)  พระศาสนจักรได้สานต่อพันธกิจในการเทศน์สอนพระวรสารไปทั่วโลก  ในความหมายนี้ประวัติศาสตร์ของพระศาสนจักร  ซึ่งก็คือการประกาศพระวรสารและการสอนคำสอน  สามารถเป็นดังคำอธิบายถึงประวัติศาสตร์ของการนำพระวรสารเข้าสู่วัฒนธรรม (เทียบ พระพันธกิจขององค์พระผู้ไถ่ 52)

เราอาจจะถามตนเองว่า
    คำว่าวัฒนธรรมหมายถึงอะไร
    การนำความเชื่อเข้าสู่วัฒนธรรมหมายความว่าอะไร
    เกี่ยวกับคำถามแรก : วัฒนธรรมคือะไร ข้าพเจ้าขออ้างถึง “พระศาสนจักรในโลกสมัยนี้” ข้อ 53 คำ “วัฒนธรรม”  ตามใจความกว้างๆ  หมายถึง  ทุกสิ่งที่มนุษย์ใช้ขัดเกลา  พัฒนาคุณสมบัติหลายอย่างในกายและใจของคน  หมายถึงการที่มนุษย์พยายามบังคับโลกไว้ในอำนาจด้วยความรู้  และการทำงาน  และทำให้ชีวิตสังคมไม่ว่าในครอบครัว หรือในชุมชน บ้านเมืองทั่วไป  ให้มีมนุษยธรรมยิ่งขึ้นด้วยความเจริญของขนบธรรมเนียมและสถาบันต่างๆ  ที่สุดก็หมายถึงการที่มนุษย์แสดงออก  ถ่ายทอด  และรักษาไว้ในสถาบันของตนตามกาลเวลาที่ล่วงไป  ซึ่งความชำนาญจัดเจนและความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ทางจิต  เพื่อเป็นประโยชน์แก่ความก้าวหน้าของคนจำนวนมาก  หรือมนุษยชาติทั้งปวง
    ข้อความนี้ชี้ให้เห็นว่า  “วัฒนธรรม”  ครอบคลุมถึงชีวิตทั้งหมดของมนุษย์  ด้วยวัฒนธรรมมนุษย์สามารถกลายเป็นผู้ผลิต  ผู้แพร่หลาย  และผู้ใช้ เพราะวัฒนธรรม คือมนุษย์ค่อยๆ เปลี่ยนแปลง รวบรวม  ปฏิรูป  สูญหายและถือสิทธิ์  ในตนเองเป็นดังชีวิตของมนุษย์และประเทศชาติ  เราต้องพูดถึงวัฒนธรรมที่หลากหลายมากกว่าวัฒนธรรมเดียว  ศาสนาเป็นปัจจัยประกอบที่ปรากฏอย่างสากลในชีวิตของทุกๆ วัฒนธรรม
    เราสามารถกล่าวถึงวัฒนธรรมคริสตชน เมื่อความเข้าใจร่วมกันของชีวิตมนุษย์ในปัจจุบันเปี่ยมไปด้วยความเชื่อ เพื่อว่า “สารแห่งพระวรสารจะเป็นพื้นฐานความคิด พื้นฐานชีวิต เป็นมาตรฐาน หลักในการตัดสิน เป็นหลักเกณฑ์ในการปกครองดูแล วัฒนธรรมบ่งถึงจริยธรรมของประชาชน รวมทั้งสถาบันและโครงสร้างต่างๆ”  (คำปราศัย ของสมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 2  กับคณะอาจารย์ในมหาวิทยาลัยเมเดอลิน  5 กรกฎาคม 1986 ข้อ 2)
    กลับมาดูคำว่า “การเข้าสู่วัฒนธรรม”  ข้าพเจ้าขออ้างถึง  พระพันธกิจขององค์พระผู้ไถ่ ข้อ 52 ที่กล่าวถึงการเข้าสู่วัฒนธรรม  “การเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิดซึ่งค่านิยมทางวัฒนธรรมที่ถ่องแท้ โดยการนำเข้ามารวมไว้ในคริสตศาสนา และการฝังรากของคริสตศาสนาลงไว้ในวัฒนธรรมต่างๆ ของมนุษย์”
    หนังสือคู่มือแนะแนวทั่วไปสำหรับการสอนคำสอน  ที่สรุปถึงการสอนของพระศาสนจักร เรื่องการเข้าสู่วัฒนธรรม ว่า
    “การนำความเชื่อเข้าสู่วัฒนธรรม ภายในขอบข่ายการแลกเปลี่ยนอันน่าพิศวง ประกอบไปด้วยคุณค่าอันมั่งคั่งทั้งปวงของชนชาติต่างๆ อันเป็นมรดกได้มอบให้กับพระคริสตเจ้า เป็นกระบวนการที่มาจากส่วนลึกทั่วโลกและเป็นไปอย่างช้าๆ  มิใช่เป็นเพียงการปรับปรุงภายนอกที่มุ่งทำให้สารคริสตชนดึงดูดความสนใจได้มากขึ้น หรือประดับไว้อย่างผิวเผิน ตรงกันข้าม  หมายถึง การเข้าสู่ชั้นลึกๆ ที่สุดของตัวบุคคล และชนชาติต่างๆ โดยอาศัยพระวรสารที่สัมผัสส่วนลึกๆ ของพวกเขา “การไปถึงแก่นและฝังราก” ลงในวัฒนธรรมต่างๆ ของพวกเขา” (GDC 109)
    การนำความเชื่อเข้าสู่วัฒนธรรม  มิได้หมายถึงเฉพาะทางด้านภาษา  และสัญลักษณ์ที่ให้แก่วัฒนธรรม แต่หมายถึงการยอมรับและเจริญชีวิตตามพระวรสารด้วยคุณค่าที่ลึกซึ้ง ด้วยความปรารถนาที่จำเป็นต่อชีวิต  ฝังแน่นอยู่ในมนุษย์วิทยา  และเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรม  การส่งเสริมการสอนคำสอนเรื่องการเข้าสู่วัฒนธรรม  หมายถึง การ สอนคำสอนในรูปแบบใหม่  ในการเคารพต่อความคิดภายนอกของการสอนที่เป็นเพียงการช่วยเหลืออย่างผิวเผิน หรือความเสื่อมถอยของกลยุทธ์ที่ทำให้เพลิดเพลิน  ในความเป็นจริงหมายถึงการทำให้ธรรมล้ำลึกของพระคริสตจ้ามาพบกับวัฒนธรรม เพื่อเป็นการช่วยเหลือมนุษย์ที่ทรงเผยแสดงพระองค์แก่มนุษย์ “การสอนคำสอนจึงต้องพยายามศึกษาวัฒนธรรมเหล่านี้  รวมถึงองค์ประกอบสำคัญต่างๆ  ต้องเรียนรู้ถึงวิธีการแสดงออกที่สำคัญ  ต้องเคารพคุณค่า  และความร่ำรวยที่มีอยู่ในวัฒนธรรมนั้นๆ  ด้วยท่าทีเช่นนี้  การสอนคำสอนจึงสามารถเสนอความรู้เกี่ยวกับธรรมล้ำลึก  และชี้ให้เห็นแบบชีวิตคริสตชนที่แท้ในจารีตประเพณีที่เป็นอยู่ รวมถึงการเฉลิมฉลองและความนึกคิดแบบคริสตชนซึ่งซ่อนเร้นอยู่ในวัฒนธรรมนั้น” (CT 53)
    สำหรับการสอนคำสอน (ทั้งครูคำสอนและผู้ที่เรียนคำสอน)  สิ่งนี้เป็นการยกระดับวิถีการรับผิดชอบทั้งหมด ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้
    ก. ความรู้ที่เพียงพอเกี่ยวกับเนื้อหาของความเชื่อคาทอลิก ซึ่งถ่ายทอดให้กับสัตบุรุษที่เป็นเกณฑ์ขั้นพื้นฐานสำหรับการเข้าสู่วัฒนธรรมอย่างแท้จริง ผู้เป็นศิษย์ของพระคริสต์ย่อมมีสิทธิที่จะได้รับพระวาจาแห่งความเชื่อแบบครบถ้วนสมบูรณ์  ทั้งในด้านของความครบถ้วน  ความสมบูรณ์ และด้านความชัดเจน ความมีชีวิตชีวา  ไม่ใช่อยู่ในรูปตกๆ หล่นๆ มีการแปลงปนหรือแบบย่นย่อ  ทั้งนี้เพื่อให้คารวกิจตามความเชื่อของพวกเขาบรรลุผลอย่างสมบูรณ์  การปล่อยปละละเลยบางเรื่องที่กระทบกระเทือนความครบถ้วนสมบูรณ์ของเนื้อหานั้น  เป็นจุดอ่อนที่เป็นอันตรายของการสอนคำสอน และเสี่ยงต่อการที่จะไม่บังเกิดผลสมกับที่พระคริสตเจ้า และคริสตชุมชนหวังว่าจะได้รับตามสิทธิของตน (CT 30) ในปัจจุบันหนังสือคำสอนพระศาสนจักรคาทอลิกจะนำเสนอจุดเด่นๆ ที่จำเป็นต่างๆ เพื่อประโยชน์ในงานอภิบาล ซึ่งเป็นมาตรฐานการทดสอบของกระบวนการต่างๆ ของการเข้าสู่วัฒนธรรม
    ข. ความรู้อย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับวัฒนธรรมมีผลกระทบต่อกันทั้งสองฝ่าย  ที่จริงการสอนคำสอน  “เป็นส่วนหนึ่งของการเสวนาด้านวัฒนธรรม” (CT 53)  เราตระหนักว่าวัฒนธรรมไม่สามารถมีอยู่อย่างโดดเดี่ยวในมนุษย์  มีอยู่ในฐานะวัฒนธรรม  “metissagge”  ส่งผลกระทบต่อทั้งสองฝ่าย ซึ่งบางอย่างครอบงำหรือที่มีลักษณะเหมือนกัน (ระบบอุดมการณ์ ฯลฯ) ซึ่งเป็นวัฒนธรรมไร้พรมแดน อยู่รวมกัน  และมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมท้องถิ่น การปฏิบัติหน้าที่ในการสอนคำสอนเป็นหน้าที่สำคัญที่จะส่งเสริมการประสานนานาวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน  โดยเฉพาะระหว่างวัฒนธรรมสากลและวัฒนธรรมท้องถิ่น สิ่งนี้ควรหลีกเลี่ยงการทำให้วัฒนธรรมต่างๆ อยู่อย่างโดดเดี่ยว ขาดการประสานกัน หรือวัฒนธรรมใดมีอิทธิพลต่ออีกวัฒนธรรมหนึ่ง ด้วยการรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันในการสร้างสรรค์อย่างแท้จริงจากภายในนานาวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน
    ค. พึงจำไว้ว่าวัฒนธรรมคือมิติของพระวรสาร ในหนังสือการสอนคำสอนในยุคปัจจุบัน ข้อ 53  ได้อธิบายไว้ว่า “พระวรสารมิอาจอยู่โดดเดี่ยว  โดยแยกจากวัฒนธรรมซึ่งพระวรสารได้แทรกตัวเข้ามาตั้งแต่สมัยนั้นได้ (เช่น โลกในยุคพระคัมภีร์ หรือตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น เช่น สภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมที่พระเยซู ชาวนาซาเร็ธ ได้ทรงพระชนม์อยู่) ทั้งมิอาจสามารถแยกจากวัฒนธรรมที่พระวรสารได้เข้าไปมีบทบาทอยู่เป็นเวลานับศตวรรษมาแล้ว”
    ง. ประกาศการเปลี่ยนแปลงสิ่งซึ่งพระวรสารได้กระทำในวัฒนธรรม ด้วยการประกาศพระวรสาร  การสอนคำสอน เป็นความจำเป็นที่จะต้องมีความตั้งใจอย่างชัดแจ้ง ที่จะนำวัฒนธรรมอื่นๆ ให้มาพบกับวัฒนธรรมแห่งความเชื่อ “พลังของพระวรสารนั้นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง  และการให้กำเนิดใหม่ๆ ในทุกๆ ที่  เมื่อมาสัมผัสกับวัฒนธรรมเข้าก็ได้แก้ไขส่วนประกอบหลายอย่างของวัฒนธรรมนั้นให้ถูกต้องยิ่งขึ้น การสอนคำสอนจะไม่เป็นการสอนคำสอน ถ้าพระวรสารมาสัมผัสกับวัฒนธรรมแล้ว พระวรสารเองกลับเปลี่ยนไป”  (CT 53)
    จ. ยืนยันถึงความเป็นเลิศและความเป็นจริงว่า  พระวรสารไม่เคยปิดล้อมวัฒนธรรม  “แท้จริง  ครูคำสอน... ไม่ยอมรับคำสอนที่ขาดวิ่น เพราะถูกตัดทอนหรือเนื้อหาถูกบดบังลดเลือนไปโดยการปรับ  หรือกระทั่งในการใช้ภาษาซึ่งอาจจะเป็นอันตรายต่อประมวลข้อความเชื่อที่มีค่าอย่างยิ่งได้”  (CT 53)
    ฉ. ส่งเสริมการแสดงออกแบบใหม่ของพระวรสารที่เหมาะสมกับวัฒนธรรมการประกาศพระวรสาร  ซึ่งกลายเป็นภาษาแห่งความเชื่อ  ซึ่งเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมของศาสนา  และเป็นเครื่องมือที่ทำให้สมบูรณ์และเป็นหนึ่งเดียวกัน  
    ครูคำสอน “จะต้องทำให้วัฒนธรรมสมบูรณ์ขึ้น  โดยช่วยให้ก้าวพ้นจุดบกพร่องหรือสิ่งที่ผิดวิสัยมนุษย์ที่ปรากฏอยู่  และเชื่อมโยงคุณค่าของวัฒนธรรมนั้นเข้ากับความไพบูลย์ของพระคริสตเจ้า”  (CT 53)
      การสอนคำสอนมีงานที่แตกต่างกันในการประสานความเชื่อกับวัฒนธรรม  เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้  หนังสือคู่มือแนะแนวทั่วไปสำหรับการสอนคำสอนได้กล่าวไว้ว่า

  • ชุมชนพระศาสนจักรต้องคำนึงถึงการเป็นหลักในการเข้าสู่วัฒนธรรม  ครูคำสอนต้องเป็นทั้งเครื่องหมายและเครื่องมือที่บังเกิดผลในเรื่องนี้  พร้อมกับมีความลึกซึ้งในศาสนาของตนแล้วนั้น  พวกเขาควรมีไหวพริบอย่างดีทางด้านสังคม  และเป็นผู้ที่หยั่งรากลงในวัฒนธรรมของตนได้อย่างดี
  • หนังสือคำสอนท้องถิ่นต้องตอบสนองความต้องการของวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน  นำเสนอพระวรสารในความสัมพันธ์กับความปรารถนา  คำถาม และปัญหาต่างๆ  ซึ่งเราพบในวัฒนธรรมเดียวกันนี้ ในเรื่องนี้ เราควรสังเกตว่าในการเตรียมหนังสือคำสอนระดับชาติ การ   ปรับปรุงหนังสือคู่มือแนะแนวการสอนคำสอนระดับชาติ เช่นเดียวกับการเตรียมหลักเกณฑ์ และแนวทางด้านคำสอนต้องเป็นสิ่งที่ปฏิบัติภายใต้การแนะนำดูแลของบรรดาพระสังฆราชของประเทศ
  • การสนใจเรื่องการประสานข่าวดีเข้าสู่วัฒนธรรมที่เหมาะสม ในผู้ที่กำลังเรียนคำสอนเพื่อเตรียมเข้าเป็นคริสตชน และในสถาบันอบรมคำสอน ควรตระหนักถึงการใช้ภาษาสัญลักษณ์ และคุณค่าต่างๆ ทางวัฒนธรรมที่ผู้เรียนคำสอนและผู้เตรียมเป็นคริสตชนเจริญชีวิตอยู่เข้าไปด้วย
  • นำเสนอสารคริสตชนในแนวทางพร้อมเสมอที่จะให้คำอธิบายแก่ทุกคน ที่อยากทราบเหตุผลแห่งความหวังของพวกเขา (1 ปต 3:15)  การเตรียมการตอบคำถามที่ดี  ในการเสวนาระหว่างความเชื่อและวัฒนธรรมเป็นวิถีทางที่จำเป็นในสมัยปัจจุบัน


    ดังนั้น การสอนคำสอนจำเป็นต้องเปิดสู่วัฒนธรรมสมัยใหม่  และช่วยให้หลีกเลี่ยงการครอบงำด้วยความคิดและความรู้สึกของตัวเอง  แต่ควรสร้างชีวิตฝ่ายจิต รวมทั้งแสวงหาและค้นพบจุดที่เป็นหลักยึดจากพระวรสารในทัศนคติที่ร่วมสมัย
    ในระหว่างการเข้าเฝ้า (Ad Limina) เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคมปีนี้ (ค.ศ.1998) สมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 2 ได้ทรงกล่าวไว้ว่า “การมีส่วนร่วมอย่างยิ่งใหญ่ในการให้การศึกษาคาทอลิกที่แท้จริง สามารถทำให้วัฒนธรรมของอเมริกาได้รับการฟื้นฟู  จนเชื่อมั่นได้ว่ามนุษย์สามารถเข้าใจถึงความจริงของสิ่งต่างๆ และในการเข้าใจความจริงนี้สามารถทำให้มนุษย์รู้ถึงหน้าที่ของพวกเขาต่อพระเจ้า ต่อตนเอง และต่อเพื่อนพี่น้อง...และเติบโตสู่อิสรภาพอย่างแท้จริง  โดยอาศัยการยอมรับในความจริงนั้น...”

การอบรมด้านคริสตศาสนสัมพันธ์ในผู้ทำงานคำสอน

    ความต้องการ
    พร้อมกับสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 พระศาสนจักรคาทอลิกฟังเสียงของพระจิตเจ้า อุทิศตนเองในการแสวงหาการฟื้นฟูเอกภาพคริสตจักร การสร้างเอกภาพที่เห็นได้ชัดขึ้นมาใหม่ระหว่างคริสตศาสนิกชนซึ่งเป็นพระประสงค์ของพระคริสตเจ้า และเป็นความจำเป็นสำหรับชีวิตของพระศาสนจักรคาทอลิก (เทียบ เพื่อให้พวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน ข้อ 3)
    เมื่อเวลาแห่งพระทรมานของพระองค์มาถึง  พระเยซูเจ้าทรงภาวนา  “เพื่อให้ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน” (ยน 17:21)  พระเจ้าทรงมอบเอกภาพให้กับพระศาสนจักร  และพระองค์ประสงค์จะโอบกอดทุกคน  มิใช่เป็นเพียงส่วนประกอบ  แต่เป็นศูนย์กลางของงานพระองค์
    แหล่งกำเนิดของเอกภาพคริสตชนอยู่ในพระตรีเอกภาพ  ของพระบิดา พระบุตร  และพระจิต  สัตบุรุษเป็นหนึ่งเดียวกัน  เพราะในพระจิตเจ้าพวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกับพระบุตร  และในพระองค์พวกเขาแบ่งปันความเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา (DE 8-9) นี่เป็นรากฐานในการแสวงหาเอกภาพคริสตชน และการเสวนาระหว่างศาสนาต่างๆ ในมิติที่ลึกซึ้ง ซึ่งเป็นความจริงที่รับการเปิดเผย
    ฉะนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะวาดมโนภาพว่า  การอบรมด้านฟื้นฟูเอกภาพคริสตจักรในการสอนคำสอน เป็นสิ่งที่สามารถแยกออกจากการเปิดเผยของพระเจ้า ซึ่งเป็นคลังที่พระศาสนจักรคาทอลิกสงวนรักษาไว้

การสอนคำสอนและการอบรมด้านคริสตศาสนสัมพันธ์
    คู่มือแนะแนวฯ ได้ให้หลักการและกฎเกณฑ์ต่างๆ  เรื่องการฟื้นฟูเอกภาพคริสตจักร  ซึ่งมีกล่าวไว้ในหนังสือการสอนคำสอนในยุคปัจจุบันข้อ 32 - 33  ที่จะช่วยตอบคำถามในการสอนคำสอน  ในฐานะเป็นดังเครื่องมือในการอบรมฟื้นฟูเอกภาพคริสตจักร
    ประการแรก  การสอนคำสอนต้องชี้แจงได้อย่างชัดเจน  ทั้งความแน่วแน่และเมตตาจิตต่อคำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิก ต้องเคารพต่อฐานานุกรมของความจริง และหลีกเลี่ยงการแสดงออกหรือการกระทำใดๆ ที่อาจจะเป็นการขัดขวางการเสวนา (เทียบ UR 11)
    เมื่อกล่าวถึงพระศาสนจักรอื่นๆ และกลุ่มคริสตจักรต่างๆ จำเป็นต้องแสดงถึงการสอนของเขาอย่างถูกต้องและซื่อสัตย์ พระจิตเจ้ามิได้ปฏิเสธที่จะใช้กลุ่มต่างๆ เหล่านี้เป็นดังเครื่องมือแห่งการช่วยให้รอดพ้น  การกระทำดังนี้เป็นการเน้นย้ำความจริงแห่งความเชื่อ  ซึ่งเกิดจากการแบ่งปันของคริสตศาสนิกชนกลุ่มต่างๆ (เทียบ CT 32)
    “สิ่งหนึ่งที่คริสตชนคาทอลิกพึงได้รับจากการสอนดังกล่าวนี้คือ เป็นการช่วยให้เข้าใจความเชื่อของตนอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น สร้างความใกล้ชิด และความนับถือต่อพี่น้องคริสตชนอื่นๆ ซึ่งก็จะเอื้อต่อการร่วมมือกันในการแสวงหาหนทางสู่เอกภาพในความจริงอย่างสมบูรณ์” (CT 32)
    การสอนคำสอนต้องมีมิติด้านการฟื้นฟูเอกภาพระหว่างชาวคริสต์นิกายต่างๆ ด้วย  อันจะก่อให้เกิดและหล่อเลี้ยงความปรารถนาเพื่อเอกภาพอย่างแท้จริง สิ่งนี้จะเป็นความจริงได้ถ้าเกิดจากความพยายามที่จริงใจ รวมทั้งมีความสุภาพเพื่อชำระตนให้บริสุทธิ์ เพื่อที่จะเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ในเส้นทางสู่เอกภาพ  มิใช่ด้วยการละเลยง่ายๆ หรือการยินยอมในระดับของข้อคำสอน  แต่โดยการติดตามเอกภาพที่สมบูรณ์ที่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า และอาศัยเครื่องมือที่พระองค์ทรงชี้ให้เห็น  (เทียบ CT 32)

ความร่วมมือในการฟื้นฟูเอกภาพคริสตจักรในการสอนคำสอน
    ในการเพิ่มเติมการสอนคำสอนจากปกติที่คริสตชนทุกคนต้อง ได้รับ พระศาสนจักรคาทอลิกสำนึกว่าในสถานการณ์แวดล้อมที่มีหลายศาสนาที่ต้องร่วมมือกัน  ในการสอนคำสอนเราสามารถเติบโตขึ้นสำหรับพระศาสนจักรคาทอลิกและกลุ่มคริสตจักรอื่นๆ  เช่น  การร่วมมือกันในขอบเขตที่เป็นไปได้  รวมทั้งโอกาสที่มีในการเป็นพยานต่อโลกถึงความจริงแห่งพระวรสาร
    หลักเกณฑ์  เงื่อนไข  และขอบเขตในการร่วมมือกันนั้น  หนังสือการสอนคำสอนในยุคปัจจุบัน ข้อ 33 ได้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า     “ประสบการณ์ดังกล่าวที่มีพื้นฐานทางเทววิทยาที่ร่วมกันสำหรับคริสตชนทุกคน  แต่ความเชื่อของคาทอลิกและคริสตชนอื่นๆ มิได้ร่วมกันหมดทุกอย่าง  ในบางกรณีมีการแตกต่างกันอย่างลึกซึ้ง ดังนั้น การร่วมมือกันในระหว่างศาสนาจึงมีขอบเขตจำกัดโดยธรรมชาติ แต่มิได้หมายความว่าจะต้อง “ตัดทอน”  ให้เหลือน้อยลงเฉพาะที่เห็นพ้องต้องกันเท่านั้น  ยิ่งกว่านั้น การสอนคำสอนมิได้หมายถึงเฉพาะการสอนหลักธรรมเพียงอย่างเดียว  แต่ยังหมายถึงการนำเข้าสู่ชีวิตคริสตชนที่สมบูรณ์ และนำไปสู่การมีส่วนร่วมอย่างสมบูรณ์ในศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ของพระศาสนจักรด้วย
    ดังนั้น ที่ได้มีการหาประสบการณ์ในการร่วมมือกันระหว่างศาสนาในด้านการสอนคำสอน พึงสำนึกไว้ว่า การอบรมคริสตชนคาทอลิกของพระศาสนจักรจะต้องได้รับการประกันให้ครบถ้วน  ทั้งในด้านข้อคำสอนและด้านการดำเนินชีวิตคริสตชนด้วย”  (CT 33)
     เราต้องมีความระมัดระวังอยู่เสมอในเรื่องสถานที่ของการอบรม ในเรื่องการฟื้นฟูเอกภาพคริสตจักรตามที่คู่มือแนะแนวได้กล่าวไว้คือ  ครอบครัว  เขตวัด  โรงเรียน  กลุ่ม  สมาคม  และขบวนการต่างๆ ในพระศาสนจักร  
    พระศาสนจักรทั้งครบ ผู้อภิบาล  และสัตบุรุษต้องผูกมัดตนเอง  วอนขอพระจิตเจ้าให้ประทานพระพรให้พัฒนาเอกภาพของพระศาสนจักรให้เข้มแข็ง และเพิ่มพูนความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคริสตศาสนิกชนอื่น


ที่มา : บทบาทของพระสงฆ์ในการสอนคำสอน The Role of Priests in Catechesis
พระคาร์ดินัล ดาริโอ คาสตริลลอน โฮยอส
สมณมนตรีสมณกระทรวงเพื่อพระสงฆ์