แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako
ทำไมชาวคาทอลิกจึงเชื่อว่าพระนางมารีย์ทรงเป็นพรหมจารีเสมอ

mary01การเป็นพรหมจารีมีสามลักษณะ คือ การเป็นพรหมจารีเมื่อปฏิสนธิ ตอนให้กำเนิด และการเป็นพรหมจารีเสมอตลอดกาล ชาวคาทอลิกเชื่อว่าพระแม่มารีย์ทรงเป็นพรหมจารีก่อนให้กำเนิดพระคริสตเจ้า ในขณะพระคริสตเจ้าทรงบังเกิด และหลังจากนั้นด้วย ในอีกแง่หนึ่งก็คือ พระนางทรงเป็นพรหมจารีเสมอ
  • มีข้อมูลชัดเจนจากพระคัมภีร์ เรื่องการเป็นพรหมจารีในขณะปฏิสนธิพระเยซูเจ้า ในการเล่าเรื่องการปฏิสนธินั้น ทั้งนักบุญมัทธิวและนักบุญลูกา ได้เล่าว่าพระเยซูเจ้าทรงปฏิสนธิ “ด้วยเดชะพระจิต” อย่างที่เราสวดกันในบทข้าพเจ้าเชื่อ และมิใช่โดยทางการมีสัมพันธ์กับมนุษย์ นักบุญมัทธิวกล่าวไว้ชัดเจนในเรื่องนี้ “พระมารดาของพระองค์หมั้นกับโยเซฟ แต่ก่อนที่ท่านทั้งสองจะครองชีวิตร่วมกัน ปรากฏว่าพระนางตั้งครรภ์แล้วเดชะพระจิตเจ้า” (มธ 1:18)
นักบุญลูกากล่าวย้ำเรื่องนี้ว่า ตั้งแต่พระจิตเจ้าเสด็จลงมาเหนือพระนางมารีย์ บุตรในครรภ์ของพระนางทรงมีพระบิดาเจ้าสวรรค์พระองค์เดียวเท่านั้น ดังนั้น “พระองค์จึงได้รับนามว่าบุตรของพระเจ้า” ในการกล่าวถึงบรรพบุรุษของพระคริสตเจ้านั้น นักบุญลูกาบ่งชี้ว่า พระเยซูเจ้าถูกถือว่าเป็นบุตรของโยเซฟ “เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเริ่มเทศนาสั่งสอนนั้น มีพระชนมายุราวสามสิบพรรษา คนทั่วไปคิดว่า พระองค์ทรงเป็นบุตรของโยเซฟ” (ลก 3:23)
  • ดังนั้น  พระวรสารต่างก็ยืนยันไว้ชัดเจนว่า  พระเยซูเจ้าทรงปฎิสนธิโดยพระอานุภาพโดยตรงของพระเจ้าและถือว่าเป็นอัศจรรย์ที่อยู่นอกกระบวนการปกติ และพระนางมารีย์ยังคงเป็นพรหมจารี ดังที่ทูตสวรรค์กาเบรียลกล่าวยืนยันกับพระนางว่า “ไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าจะทรงกระทำไม่ได้” (ลก 1:37)
นักบุญมัทธิวยังอ้างถึงคำทำนายของประกาศกอิสยาห์ (อสย 7:14) เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันถึงเรื่องการเป็นพรหมจารีในขณะปฏิสนธิและในขณะให้กำเนิด “เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพื่อพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ตรัสผ่านประกาศกจะเป็นจริงว่า “หญิงพรหมจารีจะตั้งครรภ์และจะคลอดบุตรชาย ซึ่งจะได้รับนามว่า อิมมานูเอล” (มธ 1:22-23) ไม่ว่านักวิชาการทางด้านพระคัมภีร์จะตีความเรื่องนี้อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญก็คือ ถ้อยความตอนนี้นักบุญมัทธิวต้องการบอกบรรดาผู้อ่านพระคัมภีร์ให้ทราบว่าพระนางมารีย์ยังคงเป็นพรหมจารีทั้งในขณะปฏิสนธิพระบุตรและขณะให้กำเนิดพระองค์
  • ในเรื่องพรหมจารีเสมอตอลดกาลของพระนางมารีย์นั้น ถึงแม้เอเสเคียล 44:2 บอกไว้ว่า “ประตูนี้ปิดอยู่เรื่อยไป อย่าให้เปิดและไม่ให้ใครเข้าไปทางนี้ เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลได้เสด็จเข้าไปทางนี้ เพราะฉะนั้นจึงให้ปิดไว้”   นักวิชาการและนักเทววิทยายุคกลางบางท่านตีความให้การสนับสนุนเรื่องพรหมจารีเสมอของ พระนางมารีย์ ธรรมประเพณีคริสตังยืนยันเรื่องนี้กับเรา ยิ่งกว่านั้นเราจึงพึงสังเกตว่า ไม่มีข้ออ้างจากพันธสัญญาใหม่ที่กล่าวถึงพี่น้องชายหญิงของพระเยซูเจ้าโดยที่พระแม่มารีย์มีลูกคนอื่นๆ เนื่องจากว่าเป็นแค่ญาติพี่น้องหรือญาติสนิท
ธรรมประเพณีเรื่องความเป็นพรหมาจารีของพระนางมารีย์นั้นมีมาแต่ยุคแรกๆ นักบุญอิกญาซีโอแห่งอันทิโอก ตั้งแต่ศตวรรษแรกนั่นเอง (ท่านสิ้นใจที่กรุงโรม ค.ศ. 107) ในจดหมายของท่านถึงชาวสมีร์นา กล่าวไว้ว่า พระเยซูเจ้า “ทรงบังเกิดจากหญิงพรหมจารีผู้หนึ่งอย่างแท้จริง” ดังนั้นจึงยืนยันถึงการปฏิสนธิโดยที่ยังทรงเป็นพรหมจารีและให้กำเนิดโดยที่ยังทรงเป็นพรหมจารี นี้คือหลักฐานเด่นชัดจากธรรมประเพณีตั้งแต่ยุคแรก คำยืนยันของปิตาจารย์เรื่องพรหมจารีของพระนางมารีย์นั้นยังมั่นคงอยู่ตลอดมา และสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อของสัตบุรุษตั้งแต่สมัยแรกๆ เราสามารถสรุปความเชื่อนี้ได้จากคำกล่าวของนักบุญออกัสติน (ค.ศ. 354-430) “พระนางทรงปฏิสนธิโดยยังทรงเป็นพรหมจารี พระนางทรงให้กำเนิดโดยยังเป็นพรหมจารี จากนั้นไม่นานความเชื่อตามธรรมประเพณีเช่นนี้ของพระศาสนจักรก็เป็นที่ยอมรับโดยเอกฉันท์จากสภาสังคายนาแห่ง   คัลเซดอน (ค.ศ. 451)
  • ถ้อยคำ “พรหมจารีเสมอ” ที่เกี่ยวกับพระนางมารีย์นั้นใช้กันโดยทั่วไปในพระศาสนจักรมาตั้งแต่ศตวรรษแรกๆ ในศตวรรษที่ 4 นักบุญเอปีฟานิอุส (ค.ศ. 315-403) ได้นำเสนอในบทข้าพเจ้าเชื่อแห่งนิเชตามสำนวนของตะวันออก สังคายนาวาติกันที่ 2 ยืนยันเรื่องนี้ในถ้อยคำในบทขอบพระคุณในมิสซาโรมัน “พระนางมารีย์ผู้ทรงศรีพรหมจารีเสมอพระชนนีของพระเจ้า และพระเยซูคริสตเจ้า” (พระ-ศาสนจักร 52) ถ้อยคำดังกล่าวนี้ใช้อยู่บทขอบพระคุณแบบที่ 1